"แม้ว่าองค์ชายจะได้กายหม่อมฉัน แต่ท่านไม่มีทางได้หัวใจ""ทั้งๆที่เจ้าเป็นพระชายาของข้าแต่เจ้ายังหวนคิดถึงบุรุษอื่นเช่นนั้นหรือ?หึข้าจะทำให้เจ้าลืมมันเอง" "ต่อให้ท่านฆ่าข้าให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่มีทางลืม"
View Moreเพราะการถูกเปรียบเทียบของฮ่องเต้ที่เป็นท่านพ่อตำหนิต่อว่าเพราะการกระทำของตัวของเขาเอง ทำให้เขาโกรธแค้นเซ่อเจาหยางผู้ที่เคยเป็นสหาย ที่มักจะโดดเด่นเกินกว่าตนจนเขาวางแผนอยากแย่งทุกอย่างที่สหายเก่ามีมาครอบครองและตำแหน่งองค์รัชทายาทที่ฮ่องเต้ต้องการให้เขารับตำแหน่งแม้ตอนแรกเขาจะไม่คิดอยากได้มันแต่เมื่อไปรับรู้อะไรบางอย่างเขาจึงตั้งมั่นจะปกป้องบัลลังก์และไม่ให้ผู้ใดที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์มาแย่งไป เขาจึงวางแผนแย่งชิงทุกอย่างมาก่อนที่อีกฝ่ายจะลงมือ แต่ทว่าความโชคร้ายที่ไม่ได้ก่อจึงบังเกิดกับหลังลั่วเออร์ บุตรสาวของใต้เท้าหวังอี้เฉินที่เป็นคนรักของสหายเก่าที่ครองรักกันมาหลายปี และมีการหารือกันว่าหากเขากลับมาจากสนามรบครั้งนี้เขาจะให้ท่านพ่อมาสู่ขอและแต่งนางเข้ามาเป็นฮูหยิน แต่ทว่ากลับเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเมื่อคนที่นางแต่งด้วยมิใช่เซ่อเจาหยางบุรุษที่นางรักแต่กลับเป็นองค์ชายผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเหี้ยมโหดและเสเพล นางทั้งโกรธทั้งเกลียดที่ไม่สามารถขัดคำสั่งพระราชโองการของฝ่าบาทได้ นางเสียใจแต่ต้องเข้าพิธีสมคลกับองค์ชายแต่ทว่านางตั้งมั่นไม่มีทางที่นางจะมอบหัวใจให้กับเขาเพราะหัวใจของนางมีเพียงแต่เซ่อเจาหยางเพียงผู้เดียว
บทที่ 1 ฎีกาเรื่องขององค์ชายสาม
ภายใต้ท้องพระโรงที่กว้างใหญ่มีฮ่องเต้เป็นประมุขที่ปกครองเหล่าประชา กำลังนั่งอ่านฎีกาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ขันทีรวมทั้งนางกำนัลคอยเหลียวมองจ้องใบหน้ากันด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นอารมณ์ของฝ่าบาทที่กำลังขุ่นมัว ร่างใหญ่ขยับปากเอ่ยออกมาทำให้ท้องพระโรงที่เงียบกริบก้องกังวาน
"ขันทีโจเจ้าไปตามองค์ชายสามมาหาข้าเดี๋ยวนี้ "
ขันทีประจำตัวของพระองค์ขยับกายถอยหลังก่อนจะก้มโค้งคำนับเพื่อรับคำสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาทกระหม่อมจะรีบไปตามองค์ชายสามมาพบฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ" ขันทีโจเอ่ยจบก็ได้เดินออกไปตามองค์ชายสามตามคำสั่ง
ตำหนักหนานฉี
ตำหนักองค์ชายสามหรือองค์ชายเซียวอี้ องค์ชายที่ถือกำเนิดมาจากฮองเฮาเป็นบุตรชายคนรองแถมยังทำตัวไม่เหมาะสมในฐานะองค์ชายแม้แต่น้อย วัน ๆ เขาเอาแต่เที่ยวเล่นอยู่แถวหอคณิกาถนนโคมแดง ร่ำสุราเมรัยมัวเมาในกามจนมีฎีกาที่มักจะถูกส่งเข้ามาเพื่อแจ้งให้ฝ่าบาทได้รับรู้ความเสเพลไม่เอาไหนขององค์ชายสาม เพราะอีกไม่นานฝ่าบาทจะทำการแต่งตั้งให้องค์ชายสามขึ้นเป็นองค์รัชทายาทเพราะองค์รัชทายาทสายตรงหรือองค์ชายที่เกิดจากฮองเฮาบุตรคนชายคนโตมีอาการเจ็บป่วยตั้งแต่กำเนิดเพราะคิดว่าเมื่อเติบโตจะมีอาการดีขึ้นแต่ทว่ากลับมีอาการแย่ลงมากกว่าเดิม ส่วนองค์ชายสองที่เกิดจากนางสนมนั้นหากให้เป็นองค์รัชทายาทจะทำให้เสนาบดีโจมตีเพราะยังมีองค์ชายสามเซียวอี้ที่เป็นองค์ชายที่เกิดจากฮองเฮา ยามนี้มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นความหวังของฝ่าบาทคือองค์ชายสามถึงแม้จะเสเพลแต่ฝีไม้ลายมือการฟันดาบหรือแม้แต่เล่ห์เหลี่ยมนั้นเขามีมากพอที่จะรับมือจากพวกใต้เท้าได้ มีเพียงอย่างเดียวที่ีเขาต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้คือการเปลี่ยนแปลงนิสัยเพื่อให้พวกใต้เท้ายอมรับว่าองค์ชายสามเหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาท แต่ทว่าเมื่อเขาออกไปเที่ยวได้พบกับใต้เท้าที่ไม่อยากให้เขาขึ้นรับตำแหน่ง จึงเขียนฎีกายื่นให้แก่ฝ่าบาทในการกระทำตัวขององค์ชายสามเช่นนี้หรือคือผู้ที่ฝ่าบาทอยากให้เป็นฮ่องเต้คนต่อไป เรื่องนี้จึงทำให้ฝ่าบาทกลุ้มใจและเคร่งเครียดเมื่อได้อ่านฎีกา ก่อนจะให้ตามองค์ชายสามเพื่อให้เข้ามาพบ
ห้องบรรทม
"องค์ชายตื่นได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดถึงทำตนเช่นนี้" ขันทีประจำตัวขององค์ชายสามได้ปลุกเรียกองค์ชายที่บรรทมไม่ยอมตื่นเสียสี ให้ลุกขึ้นเมื่อยามนี้ขันทีของฝ่าบาทมาตามให้เข้าเฝ้า
"อื้อ ... ข้าขอนอนต่ออีกสักหน่อยเถอะนะเจ้าก็รู้ว่าเมื่อคืนนี้ข้าไม่ได้นอนสักนิด”
"เพราะองค์ชายออกไปเที่ยวเล่นนอกวังเรื่องนี้องค์ชายทำตนเองนะพ่ะย่ะค่ะ หากองค์ชายจะบรรทมจงกลับมาบรรทมหลังจากที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินมาว่ายามนี้ฝ่าบาทพิโรธมาก หากองค์ชายไม่เข้าพบคงต้องเจอเรื่องใหญ่แน่" สิ้นเสียงของขันทีองค์ชายสามลุกขึ้นใช้มือปัดผมที่ปกบังใบหน้าออกก่อนจะนั่งครุ่นคิด
"ข้าทำเรื่องอันใดให้ฝ่าบาทไม่พอใจอีกนะ...เฮ้อ! ข้าไม่อยากเข้าเฝ้าเลยขันทีลีเว่ยเจ้าไปเข้าเฝ้าท่านพ่อแทนข้าที "
"ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ หากทำเช่นนั้นหัวกระหม่อมไม่อยู่บนบ่าเป็นแน่ องค์ชายรีบเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ขันทีของฝ่าบาทรออยู่ด้านนอก "
"ช่างน่ารำคาญเสียจริง " องค์ชายสามลุกขึ้นจากเตียงนอนกางแขนออกเพื่อให้ขันทีลี่จัดแจงเสื้อผ้าก่อนจะเดินออกไปด้านนอกและเดินตรงไปที่ห้องพระโรงตามคำสั่งของฝ่าบาท แต่เมื่อมาถึงหน้าห้องพระโรงองค์ชายสามได้หยุดเดินและหันกลับไปถามขันทีของฝ่าบาท
"ขันทีโจท่านพ่ออารมณ์เป็นเช่นไร "
"ยามนี้ฝ่าบาทโกรธเกรี้ยวมากพ่ะย่ะค่ะ "
"เรื่องอันใดกันนะที่ทำให้ท่านพ่อพิโรธในวันที่อากาศแจ่มใสเช่นนี้ " เอ่ยจบเขาได้ก้าวเท้าเข้าไปในท้องพระโรง ขันทีจึงตะโกนบอกฝ่าบาทว่าองค์ชายสามมาถึงแล้ว
"องค์ชายสามเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ " ฝ่าบาทจ้องใบหน้าขององค์ชายสามด้วยสายตาแข็งกร้าวในมือจับฎีกาแน่น
"ถวายบังคมฝ่าบาท" องค์ชายสามก้มโค้งคารวะฝ่าบาททันทีแต่ทว่ายามนี้ฝ่าบาทโกรธเกรี้ยวจนแทบคุมสติตนเองมิได้ขว้างฎีกาใส่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มขององค์ชายสามที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวจนใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนสี ขันทีนางกำนัลต่างพากันก้มหน้าเงียบในท้องพระโรงเต็มไปด้วยไอความรู้สึกร้อนระอุที่พร้อมระเบิดได้ทุกเวลา
"ท่านพ่อทำเช่นนี้กับข้าทำไมพ่ะย่ะค่ะ " ดวงตาขององค์ชายสามแข็งกร้าวรอยยิ้มกลับกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึง ฝ่าบาทใช้มือตบลงที่โต๊ะเสียงดังทำให้ทุกคนที่อยู่ในนั้นต้องสะดุ้งตกใจก่อนจะลุกขึ้นต่อว่าบุตรชายตนเองด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน
"เจ้ามันช่างไร้ประโยชน์ ช่างกล้าถามมาได้เช่นไรว่าเหตุใดข้าถึงทำเช่นนี้ เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกทำตนเช่นนี้เสียทีเสเพลเที่ยวเล่นจนลืมไปแล้วเช่นนั้นหรือว่าตนเองเป็นเชื้อพระวงศ์ " เพียงฝ่าบาทเอ่ยปากมาเท่านั้นองค์ชายสามแสยะยิ้มมุมปากเขารู้ได้ทันทีเลยว่าฎีกาที่กองอยู่บนโต๊ะทำงานของฝ่าบาทนั้นคงเป็นเรื่องของเขาทั้งหมด
"ท่านพ่อข้าก็เป็นเพียงบุรุษ ออกไปเที่ยวเล่นบ้างไม่เห็นจะเสียหายอีกอย่างข้าไม่ได้ทำอันใดเสียเกียรติขององค์ชายเหตุใดท่านพ่อถึงได้พิโรธข้าถึงเพียงนี้ "
"เฮอะ! เจ้ามันช่างเหมือนมารดาของเจ้าเสียจริง เจ้าทำเรื่องอันใดไว้คงจำไม่ได้สินะ เจ้าหยิบฎีกาที่อยู่ตรงหน้าของเจ้ามาอ่านดู และอธิบายให้ข้าฟัง" องค์ชายสามหยิบฎีกาขึ้นมาอ่าน เนื้อความในกระดาษถูกขีดเขียนมาว่าองค์ชายสามไม่คู่ควรที่จะขึ้นเป็นองค์รัชทายาท เพราะทำตนไม่เหมาะสมวัน ๆ ไม่อ่านตำราเรียนรู้การปกครองแต่กลับเที่ยวเล่นอยู่ที่หอคณิกากับโรงเตี๊ยมเมื่อเมามายก็หาเรื่องขุนนางแม้แต่ชาวบ้านเขาก็ไม่ละเว้น เข่นฆ่าอย่างไม่ปราณีหากให้องค์ชายสามขึ้นเป็นองค์รัชทายาทวันหนึ่งหากได้ขึ้นครองบัลลังก์ใต้หล้าหรือแม้แต่วังหลวงคงพังพินาศ เมื่อองค์ชายสามอ่านจบได้โยนฎีกาทิ้งลงพื้นพร้อมจ้องมองใบหน้าของฝ่าบาทอย่างไม่หวั่นไหวหรือเกรงกลัว
"หากท่านพ่อจะเชื่อเช่นนี้จะให้ข้าอธิบายไปทำไมพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างตำแหน่งองค์รัชทายาทข้าเองก็มิได้ต้องการท่านพ่อมอบตำแหน่งนี้ให้แก่องค์ชายห้าเสียดีกว่า " องค์ชายสามเอ่ยจบโค้งคำนับและเดินหันหลังให้กับฝ่าบาทอย่างไม่สะทกสะท้านแต่ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้ผู้เป็นบิดาถึงกลับเกี้ยวโกรธมากกว่าเดิม
"เจ้ามันไม่น่าเกิดมาเป็นบุตรของข้าเลย ตำแหน่งรัชทายาทมิใช่ผู้ใดจะมารับตำแหน่งได้สวรรค์ได้ลิขิตให้เจ้าแล้วแต่เจ้ากลับละทิ้ง ต่อจากนี้ข้าขอสั่งห้ามให้เจ้าออกไปเที่ยวยามวิกาล หากเจ้าไม่เชื่อฟังข้าข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ที่ชายแดนติดแคว้นอื่นที่ทุรกันดาน หากเป็นเช่นนั้นเจ้าอาจจะสำนึกได้บ้าง " ฝ่าบาทยื่นคำขาดสุดท้ายให้แก่องค์ชายเขาหยุดเดินเพียงครู่อย่างชะงัก เพราะรู้ดีว่าชายแดนติดแคว้นทุรกันดานนั้นเป็นเช่นไร
บทที่ 44 ข้ารักท่านใต้เท้าเซ่อรู้สึกอับอายที่บุตรชายได้รับความพ่ายแพ้ต่อองค์รัชทายาท ตระกูลเซ่อทุกคนต่างได้รับโทษและใต้เท้าที่รวมตัวกันวางแผนก็ถูกลงโทษด้วยเช่นกัน โทษของเจาหยางคือการถูกโบยตีก่อนจะนำไปแคว้นคอประจานให้แก่ราษฎรได้เห็นถึงการก่อกบฏและประสงค์ร้ายต่อราชวงศ์จะถูกลงโทษเช่นไร แม้จะมีคุณงามความดีต่อแผ่นดินแต่ถ้าหากคิดร้ายก็ไม่ละเว้นก่อนจะนำร่างไปโยนให้แร้งกิน สนมตระกูลเซ่อถูกปลดให้เป็นเพียงสาวใช้และองค์ชายห้าถูกตัดขาดกับราชวงศ์มิอาจจะเข้ามาในวังหลวงได้อีกต่อไปใต้เท้าเซ่อถูกรุมประชาทัณฑ์ชาวบ้านหรือผู้ที่เคยถูกเขาข่มเหงรังแกขว้างหินขว้างดินใส่จนเขาถึงแก่ความตายภายในวังหลวงกลับมาสุขสงบอีกครั้ง แม้ลั่วเออร์จะเห็นชอบการลงโทษแต่ทว่าในใจของนางลึก ๆ ยังคงคิดถึงใบหน้ารอยยิ้มของเจาหยางแต่มิใช่เพราะนางคิดถึงเพราะความรักแต่ทว่านางกลับเสียดาย หากเขาเลือกเดินทางถูกต้องและคอยช่วยเหลือองค์รัชทายาทอาจจะเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ที่ทุกคนนับหน้าถือตา"พระชายาเพคะ วันนี้หม่อมฉันจะออกไปอยู่ที่ตำหนักของนางในแล้วจะได้พบพระชายาอีกไม่เพคะ" หนิงเอ๋อเดินเข้ามาหาลั่วเออร์ที่ศาลารับลม นางได้เข้ามาเป็นนางในฝึกหัด
บทที่ 43 ลงโทษอย่างสาสม"ใครบอกเป็นเพราะเจ้าที่เป็นองค์ชายไม่เอาไหนต่างหาก ข้าจงรักภักดีต่อแผ่นดิน หวังว่าวันหนึ่งจะเป็นแม่ทัพที่ดีและเป็นกองกำลังให้ฮ่องเต้เช่นเจ้าในภายภาคหน้าแต่เจ้าทำลายทุกอย่าง เจ้าทำร้ายหัวใจของข้า ทำให้ข้าต้องแย่งชิงคืนมาเช่นนี้อย่างไรเล่า " เจาหยางตั้งท่าได้สู้กับเซียวอี้อีกครั้ง จนทั้งสองทะลุกำแพงห้องพังทลายล้มลง เสียงดังจึงถึงห้องของลั่วเออร์ตึง!"นั่นเสียงอะไรกัน ทำไมถึงดังอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้หรือว่าแม่ทัพเจาหยางบุกมาที่ตำหนักนี้แล้ว " ลั่วเออร์ไม่รีรอนางร้อนใจจึงเปิดประตูออกไปด้านนอกเพื่อดู แต่ก็ต้องถูกองครักษ์เข้ามาห้ามไม่ให้ออกไปเสียก่อน"พระชายาจะออกไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ""ข้าได้ยินเสียงดังที่ตำหนักนี้ข้าเป็นห่วงองค์รัชทายาทกลัวว่าเขาจะรับมือแม่ทัพเจาหยางไม่ได้ ""พระชายาอย่าร้อนใจไปพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้องครักษ์ไป๋เหลียนก็อยู่กับองค์รัชทายาท พระชายาเข้าไปอยู่ในห้องดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ " ลั่วเออร์มองลอดใต้แขนขององครักษ์ที่ยืนบังนางเห็นแม่ทัพเจาหยางกำลังจะใช้ดาบจัดการกับเซียวอี้ที่ล้มลงกับแผ่นไม้ฝาผนังที่เสียงดังเมื่อครู่ นางคือต้นเหตุทุกอย่างที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นและเ
บทที่ 42 ก่อกบฏรุ่งเช้าวันต่อมาไป๋เหลียนที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของแม่ทัพเจาหยางได้เข้ามารายงานต่อเซียวอี้ที่กำลังนั่งหน้าเคร่งเครียดเพื่อรับมือจากแม่ทัพ"ทูลองค์รัชทายาท ยามนี้กองทัพของแม่ทัพเจาหยางจะเคลื่อนขบวนในยามวิกาลพ่ะย่ะค่ะ ข้าได้ยินมาว่าเขาบอกกล่าวกองกำลังเพื่ออ้อมล้อมวังหลวงในคืนนี้ในเวลายามที่ทุกคนต่างหลับใหล จำนวนทหารของแม่ทัพมีประมาณสี่ร้อยนายจะรับมือเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ""ทหารของเจาหยางมีสี่ร้อยนายหรือ? เช่นนั้นกองกำลังของเราก็มีไม่น้อยไปกว่าเขาเพราะความช่วยเหลือของท่านแม่ ข้าจะวางแผนตลบหลัง ขันทีลี่เว่ยไปแจ้งกองกำลังมาหาข้าที่นี่""พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย ""ส่วนเจ้าค่ำคืนนี้ทำตามแผนของข้า ส่วนพระชายาข้าจะให้องครักษ์เงาอีกกลุ่มไปเฝ้านางเอง มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถรับมือแม่ทัพเจาหยางได้ จงทำตามนี้" เซียวอี้บอกแผนการให้ไป๋เหลียนได้รับรู้ จากนั้นเมื่อกองกำลังมาถึงเขาได้บอกแผนการในการรับมือครั้งนี้ให้แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและทุกคนต่างพากันหลบซ่อนจนกว่ากองกำลังของแม่ทัพเจาหยางจะล้อมวังหลวงจากนั้นค่อยให้ทหารออกมาล้อมกองทัพของแม่ทัพเจาหยาง เซียวอี้ครุ่นคิดมาทั้งคืนเขาจะไม่ให้เกิดการ
บทที่ 41 วางแผนรับมือฝั่งด้านแม่ทัพเซ่อเจาหยางเขากลับมาจากตำหนักหนานฉี มาปรึกษาหารือท่านพ่อคิดจะก่อกบฏท่านใต้เท้าเซ่อไม่ห้ามแถมยังให้ความสนับสนุนเซ่อเจาหยางอีกด้วย เขาจึงตระเวนออกไปหาใต้เท้าที่อยู่ภายใต้ความควบคุมท่านพ่อเพื่อขอความร่วมมือในการชิงบัลลังก์ในครั้งนี้ ข้ากลับจากเรือนใต้เท้าท่านหนึ่งเห็นองค์รัชทายาทกำลังพาลั่วเออร์ออกจากวังหลวงเพียงลำพังจึงได้แอบตามไป ได้เห็นหมู่บ้านในหุบเขาที่เซียวอี้แอบซ่อนไว้ รอยยิ้มของลั่วเออร์ที่เคยเป็นของเขายามนี้ถูกเซียวอี้ครอบครองจนหมดสิ้นไม่ว่าจะเป็นใจหรือกายของนาง ดวงตาร้อนระอุในอกเต็มไปด้วยความเคลียดแค้น ยิ่งเห็นชาวบ้านที่นี่รักและเทิดทูลเขายิ่งไม่พึงพอใจ เมื่อเห็นว่าเซียวอี้พาลั่วเออร์กลับวังหลวงความคิดชั่วร้ายของเจาหยางที่ก่อเกิดจึงสั่งการให้ทหารของตนไปจัดการสอบถามชาวบ้านแต่เมื่อชาวบ้านตอบคำถามไม่ตรงความคิดของเขาจึงสั่งให้ทหารจัดการฆ่าทิ้งให้หมดทุกคนไม่ละเว้น เขาอยากเห็นความเจ็บปวดของเซียวอี้ที่พรากคนรักของเขาไป หากเขารู้ว่าหมู่บ้านและชาวบ้านที่เขาให้การช่วยเหลือตายกันหมดคงจะเจ็บปวดเจียนตายเมื่อตรวจสอบแล้วไม่เหลือผู้เหลือรอดเขาจึงจุดไฟเผาให้
บทที่ 40 เป็นฝีมือเขาในห้องของลั่วเออร์มีจื่อหลินที่แต่งกายให้อยู่นางเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามผู้เป็นนาย"พระชายาเพคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันเพคะพระชายาถึงได้พากันกลับวังหลวงจนท้องฟ้ามืดมิดเช่นนี้แล้วเด็กนั้นคือใครกันเพคะ" ลั่วเออร์หันไปมองหน้าของนางกำนัลเสมือนพวกนางรู้พากันเดินออกจากห้องเหลือเพียงจื่อหลิน"เด็กนั่นเป็นเด็กที่องค์รัชทายาทช่วยเหลือเอาไว้ ข้างนอกวังเกิดเรื่องขึ้นทำให้ข้ากับองค์รัชทายาทกลับมาล่วงเวลาเช่นนี้ วันนี้ข้าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินจนไม่มีเรี่ยวแรงจะเอ่ยแล้วเจ้าไปพักเถิดนะ รุ่งสางข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง ""เพคะพระชายา " จื่อหลินวางแปรงผมลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง เดินออกไปด้านนอกไม่นานเซียวอี้ได้เสด็จมาหาลั่วเออร์เพื่อมฟังคำพูดของนางเหตุใดนางถึงรู้ว่าเป็นแม่ทัพเจาหยางและเขามาพบนางเพราะการใด"มาแล้วหรือเพคะ ""ข้ารู้ว่าเจ้าตกใจและเสียใจเพียงใดแต่เรื่องที่ข้าต้องการจะรู้จากปากเจ้าในวันนี้ข้าต้องรู้ให้ได้ "ลั่วเออร์ลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้พรางสูดลมหายใจให้ทั่วท้องและเล่าเรื่่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แก่เซียวอี้ฟัง"อะไรกันเจาหยางคิดทำลายข้าจนถึงขั้นจะให้เจ้าปลงพระชนม์ข้าอย่างนั้นห
บทที่ 39 ช่างโหดร้ายลั่วเออร์ปาดน้ำตาลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่มกำมือแน่นภาวนาให้ยังพอมีคนเหลือรอด นางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้รีบหันไปมองเห็นเซียวอี้อุ้มหนิงเอ๋อกลับมา ลั่วเออร์ดีใจราวกับคำอ้อนวอนของนางเป็นจริง นางวิ่งเข้าหาหาทั้งสองทันที“สวรรค์หนิงเอ๋อเจ้าปลอดภัย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้าเพียงใด” เซียวอี้วางหนิงเอ๋อหลงจากอ้อมแขน นางวิ่งเข้าไปโอบกอดลั่วเออร์แน่น“พี่ลั่วเออร์ข้ากลัว กลัวเหลือเกินเจ้าค่ะพวกเขาช่างโหดร้ายเพื่อน ๆ ของข้าท่านแม่ของข้าต่างพากันอ้อนวอนพวกเขาไม่มีความเมตตาสักนิด ท่านแม่ก้มลงเพื่อวอนขอชีวิตแต่เขากลับใช้ดาบบั่นคอท่านแม่ชั่วพริบตา อึก อึก ข้ากลัวเจ้าค่ะ เพื่อน ๆ ของข้าหนีไม่ทันถูกคนใจร้ายจัดการจนไม่เหลือ พี่ลั่วเออร์ท่านอย่าทิ้งข้าไปอีกคนนะเจ้าคะ ข้าไม่เหลือใครแล้ว” เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของหลินเอ๋อต่างพากันสงสาร ร่างเล็กสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ฝืนใจข่มความกลัวเพื่อบอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่ ลั่วเออร์กอดนางแน่นพรางร้องไห้เด็กตัวเล็กเพียงนี้ต้องมาพบเจอเรื่องโหดร้ายแถมยังต้องเสียทุกคนไปคงสะเทือนใจไม่น้อย“ข้าอยู่นี่แล้ว ข้าไม่มีท
บทที่ 38 เปลวไฟแห่งความสูญเสียระหว่างทางกลับวังหลวงเซียวอี้ได้พาลั่วเออร์ควบม้าขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อพานางไปดูพระอาทิตย์ตกดิน ตรงที่เขาพานางมาเป็นหน้าผาสูงชันมองเห็นด้านล่างที่เป็นแผ่นดินกว้างใหญ่มองเห็นหมู่บ้านที่นางเพิ่มจะกลับมาเมื่อครู่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ เท่านั้น“องค์ชายพาหม่อมฉันมาที่นี่ทำไมกันเพคะ”“ข้าอยากให้เจ้าเห็นที่ที่งดงามยากนักที่จะได้มาที่เช่นนี้เพราะต่อจากนี้ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าเองก็ไม่ค่อยมีเวลาให้เจ้าต้องคอยดูแลฝ่าบาทและทำงาน วันนี้เป็นโอกาสดีที่พาเจ้าออกมาอยากให้เจ้าได้รับบรรยายกาศดี ๆ ก่อนกลับวังหลวง” เขากระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะยื่นมือให้นางจับเพื่อลงมา ลั่วเออร์จับมืออย่างไม่ลังเลลงมายืนใกล้หน้าผากวาดตามองไปจนทั่ว ลมเย็นสบายฝูงนกบินว่อนเต็มท้องฟ้าพากันโผบินกลับรังกันเป็นฝูง ท้องฟ้าเริ่มทอประกายแสงสีทองอร่ามกระทบใบหน้างามอย่างผ่องใส“งดงามเหลือเกิน” เซียวอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของลั่วเออร์ได้เอ่ยออกมา นางคิดว่าเขาชมดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า นางจึงเอ่ยตอบกลับเขา“หม่อมฉันก็ว่าเช่นนั้นเพคะ”“ข้าไม่ได้หมายถึงดวงอาทิตย์แต่เป็นเจ้าต่างหากที่งดงาม” ไม่ร
บทที่ 37 ใจเจ้าเปลี่ยนไปใบหน้าของเจาหยางเริ่มเปลี่ยนสีคล้ายรู้แล้วว่าลั่วเออร์กำลังจะทำอะไรต่อจากนี้"ของพวกนี้ข้าขอคือท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ ข้ามิอาจจะทำเรื่องที่ท่านแม่ทัพต้องการได้และต่อจากนี้เราอย่ามาเจอกันดีกว่าและเลิกเรียกข้าว่าลั่วเออร์สักที เพราะยามนี้ข้าคือพระชายาขององค์รัชทายาทมิใช่ลั่วเออร์ของท่านอีกต่อไป "น้ำเสียงเย็นชาบาดจิตผู้ที่ได้ยินสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจราวกับถูกสายฟ้าผ่าลงกลางใจ"เกิดอะไรขึ้น! ทำไมเจ้าถึงเอ่ยมาเช่นนี้เจ้ายังรักข้าอยู่มิใช่หรือแล้วเรื่องที่ข้าให้เจ้าทำล้วนแต่เป็นประโยชน์ของเจ้าที่จะได้มาอยู่กับข้า ""เลิกพูดว่าเป็นผลประโยชน์ของข้าเสียที คำว่ารักของท่านนั้นท่านไม่รักข้า แต่ท่านรักตนเองต่างหากท่านแม่ทัพไตร่ตรองให้ดีว่าสิ่งที่ทำให้ข้าทำนั้นทำเพื่อผู้ใด ทุกอย่างล้วนทำเพื่อท่านเท่านั้นนี่มิใช่ความรัก แต่เป็นความเห็นแก่ตัววันที่ท่านมอบยานี้ให้ข้าเสมือนท่านยื่นความตายให้กับข้า วันนี้ข้าขอคืนผ้าเช็ดหน้ากับหัวใจคืนให้ท่านอย่าได้มาเกี่ยวข้องกันอีกเลย เพราะลั่วเออร์ได้ตายจากท่านในวันที่ท่านส่งมอบยาให้ข้าแล้ว" คำพูดของลั่วเออร์ทำให้เจาหยางสะอึกและไม่สามารถเอ่ยปากพูดอะ
บทที่ 36 ตัดสินใจท้องพระโรงเสนาบดีที่ได้รับสารจากฝ่าบาทพากันมายืนรอฝ่าบาทที่ท้องพระโรงเพื่อรับฟังเรื่องอาการเจ็บป่วย ทุกคนตางพากันพูดคุยหารือเสียงดัง ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางเริ่มเป็นกังวลหากเรื่องที่ฝ่าบาทประชวรเป็นเรื่องจริงอีกไม่นานบัลลังก์ต้องตกเป็นขององค์รัชทายาท เขาจ้องมองไปยังเจาหยางที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นักเจาหยางจึงเดินเข้ามาหาท่านพ่อของตน"เรื่องที่เจ้าไปทำถึงขั้นไหนแล้วเหตุใดถึงได้ชักช้าเช่นนี้""ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันหลังจากที่แยกย้ายข้าจะไปหาลั่วเออร์เพื่อถามนางอีกครั้งขอรับ ""เราจะรอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว เจ้ารีบไปคาดคั้นให้นางเร่งมือหน่อย""ขอรับท่านพ่อ" ทั้งสองพูดคุยกันเสร็จได้แยกย้ายประจำที่เพราะบัดนี้ฝ่าบาทได้เสด็จมาแล้ว ภายใต้สายตาของเหล่าเสนาบดีหลายคนเห็นใบหน้าของฝ่าบาทก็รับรู้ได้ทันทีว่าเรื่องข่าวลือเป็นความจริง เพราะฝ่าบาทถูกขันทีกับองค์รัชทายาทประคองออกมา เพียงไม่กี่วันอาการของฝ่าบาททรุดลงอย่างรวดเร็ว"ฝ่าบาทเสด็จ" เสียงขันทีแจ้งบอกทุกคนเสนาบดีโค้งคำนับลงพร้อมเพียงกัน"ถวายบังคมฝ่าบาทขอให้พระองค์มีพระกรกายแข็งแรงหมื่นปีหมื่น ๆ ปี" ฝ่าบาทนั่งลงบนบัลลังก์กวาดตาม
Comments