Share

บทที่ 11

Author: ใบไม้ร่วงในเมืองร้าง
เมื่อเห็นการจ้องมองที่แทบจะกินเลือดกินเนื้อคนของฉินหง ฉินเหยี่ยนก็แอบหัวเราะในใจและรอชมละครฉากเดือด

ฉินหงจ้องมองไปที่ฉินซูและถามอีกครั้ง “บอกมา เจ้าทำอะไรกับชิงเหยา?”

ฉินซูวางเอามือไพล่หลังแล้วตอบอย่างมิใส่ใจ "ในเมื่อเจ้าต้องการรู้ เหตุใดมิลองเดาดูเล่า!”

“เจ้า… ข้า...”

ฉินหงกำหมัดแน่นพร้อมจะลงมือ

ฉินอี้ที่อยู่ด้านข้างรีบหยุดเขาไว้และแนะนำ “เสด็จพี่สาม เสด็จพี่องค์รัชทายาทจะทำอะไรที่มิเหมาะสมกับคนรักของท่านได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่ามู่หรงฟู่ต้องการหว่านความขัดแย้งท่าน อย่าตกหลุมพรางแผนการเขาสิ!"

“หากมู่หรงฟู่กำลังหว่านความขัดแย้งจริง ๆ เหตุใดฉิน… องค์รัชทายาทฉินมิให้คำอธิบายเล่า?”

เดิมทีฉินหงต้องการเรียกเขาด้วยชื่อจริง แต่หลังจากที่เห็นหลินซีขยิบตาให้เขา เขาก็เปลี่ยนใจ

ในพระตำหนักจินหลวน ต่อหน้าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ของราชสำนัก การเรียกองค์ชายด้วยพระนามนั้นถือเป็นอาชญากรรมอย่างยิ่ง

หากฉินซูเข้าใจจุดนี้ ตนคงมิสามารถรับผลที่ตามมาได้ คงต้องจบเห่เป็นแน่

ฉินอี้อธิบายว่า "เสด็จพี่องค์รัชทายาทคงคร้านเกินจะอธิบาย ยามนี้เป่ยเยี่ยนล้มเหลวในการขอเมืองชิ่งโจวคืน จึงใช้กลยุทธ์สร้างความแตกแยกเพื่อหว่านความขัดแย้งระหว่างพี่น้องเรา เขาต้องการให้เราต่อสู้กันเอง เสด็จพี่สาม ชัดเจนปานนี้ ท่านคงมองออกใช่หรือไม่?”

“ดี เจ้าแปด ตอนนี้ข้าจะเชื่อเจ้า แต่ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดแน่”

ฉินหงพูดจบก็หันไปจ้องมองฉินซู

ฉินซูยิ้มอย่างมิใส่ใจ แล้วหันไปมองที่มู่หรงฟู่และถามด้วยความสนใจ “มู่หรงฟู่ เจ้าบอกว่าบุตรีของใต้เท้าหลินอยู่ในตำหนักบูรพาของข้านานกว่าครึ่งชั่วยาม เจ้าได้ยินข่าวนี้จากผู้ใด?”

“หึ ข้าได้ยินจากผู้ใดน่ะรึ ดูเหมือนท่านจะเลี่ยงประเด็นแล้ว ประเด็นคือท่านทำอะไรกับนางเล่า?”

ฉินอี้ตะโกนด้วยความโกรธ "มู่หรงฟู่ พอได้แล้ว เจ้ายังจะใส่ร้ายเสด็จพี่องค์รัชทายาทของข้าอีกรึ?"

มู่หรงฟู่ตะคอกเบา ๆ "หึ สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง ใส่ร้ายที่ใดกัน!"

ฉินอี้ถ่มน้ำลายอย่างแรงและพูดด้วยความโกรธ “ถุย แม้แต่พวกเราพี่น้องยังมิรู้เรื่องนี้ องค์ชายแห่งเป่ยเยี่ยนจะรู้ดีมากกว่าเราไปได้อย่างไร?”

ฉินซูยิ้มอย่างเย็นชาและเดินไปหามู่หรงฟู่ด้วยย่างก้าวอันหนักแน่น

หัวใจของมู่หรงฟู่เต้นผิดจังหวะอย่างอธิบายมิได้ เขาถอยหลังไปสองก้าวโดยสัญชาตญาณ และถามด้วยสายตาที่ระแวดระวัง “ท่านจะทำอะไร?”

“ตัวข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้าว่า หลิงชิงเหยาอยู่ในตำหนักของข้ามากกว่าครึ่งชั่วยาม?”

เสียงของฉินซูเย็นชา และเจือไปด้วยเจตนาสังหาร

มู่หรงฟู่นึกถึงตอนที่ฉินซูตบตนเมื่อวานนี้ก็พลันรู้สึกหวาดกลัวในทันที เขารีบไปหลบอยู่ด้านหลังเฉิงจืออี้

เฉิงจืออี้พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ท่านจะทำอะไร ที่นี่คือราชสำนักต้าเหยียนของท่าน การทะเลาะวิวาทใด ๆ ที่นี่อาจจะส่งผลต่อชื่อเสียงของพวกท่าน”

“หึ มู่หรงฟู่มุ่งร้ายป้ายสีข้า หากวันนี้เขามิชี้แจงให้ชัดเจนจะต้องถูกโบย คราวนี้ข้ามิปรานีแน่!”

“ท่าน...” เฉิงจืออี้โกรธจัด เขาประสานมือคำนับไปทางฉินอู๋ต้าวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร “องค์จักรพรรดิต้าเหยียน องค์รัชทายาทของพระองค์ตั้งใจที่จะใช้ความรุนแรง พระองค์จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้หรือ?”

ฉินอู๋ต้าวพิงบัลลังก์มังกร และพูดเบา ๆ “เจ้าขอให้องค์ชายของเจ้าชี้แจงให้ชัดเจนก็สิ้นเรื่องมิใช่รึ? หากชี้แจงให้ชัดเจนมิได้ เช่นนั้น อย่าได้พูดว่าองค์รัชทายาทต้องการจะโบยเขา เพราะมุ่งร้ายป้ายสีองค์รัชทายาทต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ข้าเองก็จะมิยอมยกโทษให้ง่าย ๆ แน่”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ มู่หรงฟู่ก็แอบบ่นในใจมิหยุด

นี่เป็นการหาเรื่องฉินซูแถมยังทำให้ตัวเองเดือดร้อนเห็น ๆ

ฉินเหยี่ยนที่อยู่ด้านข้างมิสามารถนั่งดูดายได้ในขณะนี้

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมู่หรงฟู่จะต้องเปิดเผยตัวเองอย่างแน่นอน

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็รีบแก้ไขเรื่องต่าง ๆ ให้ราบรื่นขึ้น “เสด็จพ่อ องค์จักรพรรดิ มู่หรงฟู่คงเคยได้ยินข่าวลือข้างนอกมาบ้าง นั่นเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงถามเช่นนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องเข้าใจผิด ก็ควรปล่อยไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นจะดูเหมือนพวกเราต้าเหยียนดูเป็นคนใจแคบเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินซูหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วถามว่า “เจ้าหก เจ้าดูเป็นเดือดเป็นร้อนแทนมู่หรงฟู่นัก คนที่บอกข่าวนี้ให้มู่หรงฟู่ หรือว่าจะเป็นเจ้า?"

“มิใช่ข้า ข้ามิได้ทำเช่นนั้น อย่าพูดมั่ว ๆ สิ!”

ฉินเหยี่ยนปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่แม้แต่เสนาบดีก็ยังมิเชื่อคำอธิบายไร้น้ำหนักของเขา มิต้องพูดถึงฉินซูเลย

“หืม? เช่นนั้นก็หมายความว่า มู่หรงฟู่ปั้นน้ำเป็นตัวน่ะสิ!”

ฉินซูยิ้มอย่างชั่วร้ายให้มู่หรงฟู่และพูดว่า “ดูเถอะว่า ตัวข้าจะมิทุบหัวสุนัขอย่างเจ้าได้เยี่ยงไร”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ลากมู่หรงฟู่ออกไปพร้อมจะลงมือ

มู่หรงฟู่ตกใจกลัวและพูดอย่างเร่งรีบ “ได้โปรดอย่า ข้าจะบอกแล้ว เป็นฉินเหยี่ยน เขาเป็นคนบอกข้าเรื่องนี้”

ฉินเหยี่ยนเริ่มกระวนกระวายใจและตอบโต้ในทันที “พูดมั่ว ๆ! ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าเมื่อใด? อย่ามาใส่ร้ายข้า!”

“เจ้าเป็นคนพูด เมื่อคืนตอนที่ขุนนางอาวุโสเฉิงกับข้าไปที่จวนของเจ้า เจ้าเป็นคนบอกข้าเอง เหตุใดเล่า ตอนนี้แล้วยังมิคิดยอมรับอีกรึ?”

“น่าขัน เมื่อคืนเจ้ามาจวนข้าเมื่อใด ไฉนข้ามิเห็นรู้เลยเล่า?

ทั้งสองเริ่มถกเถียงกัน

เดิมทีฉินซูต้องการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟเพื่อที่พวกเขาทั้งสองจะได้ต่อสู้กันเอง

แต่แล้วฉินอู๋ต้าวก็พูด

“พอแล้ว พวกเจ้าทั้งสองหุบปากกันได้แล้ว ให้เรื่องจบลงที่นี่ ขุนนางอาวุโสเฉิง เจ้าไปได้แล้ว”

เฉิงจืออี้โค้งคำนับเล็กน้อยและนำคณะทูตเป่ยเยี่ยนออกจากพระตำหนักจินหลวนไป

“ส่วนพวกเจ้าที่เหลือ เรื่องการทะเลาะวิวาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้ามิสนใจ แต่อย่าคิดว่าข้าจะมิเตือนเจ้า จงรู้ขีดจำกัดของคุณในทุกสิ่ง มิเช่นนั้นข้าจะมิผ่อนปรน!”

พูดจบเขาก็หันกลับเดินไปที่ห้องทรงพระอักษร

เสนาบดีคนอื่น ๆ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ทำได้เพียงโค้งคำนับด้วยความเคารพแล้วแยกย้ายกันไป

หลังจากออกจากพระตำหนักจินหลวนแล้วฉินหงก็เดินตรงไปยังจวนตระกูลหลิน

หลินซีตามหลังอย่างใกล้ชิด

เมื่อถึงหน้าประตูจวนตระกูลหลิน ก็บังเอิญเห็นหลินชิงเหยาออกมาพอดี

ในขณะนี้ นางแต่งกายด้วยกระโปรงจีบสีเขียวอ่อน เข็มขัดขับเน้นเอวเรียวเล็กของนาง ดูละเอียดอ่อนและสง่างามยิ่ง

พวงแก้มแต่งแต้มด้วยสีแดงบาง ๆ ทำให้ใบหน้าที่ชุ่มชื้นของนางยิ่งดูนุ่มนวล ชวนให้นึกถึงดอกบัวที่โผล่จากน้ำ ช่างงดงามนัก

เมื่อเห็นฉินหงใบหน้าของหลินชิงเหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางถามด้วยความรู้สึกผิด “ฉี... ท่านอ๋องฉี ท่านเสด็จมาทำอันใดหรือเพคะ?”

ใบหน้าของฉินหงกลายเป็นน่าเกลียดทันทีและถามด้วยความฉุนเฉียว “เหตุใดเล่า? ตอนนี้ตัวข้ามาหาเจ้ามิได้แล้วรึ? เจ้าหมายความเยี่ยงนี้ใช่หรือไม่?”

“ท่านอ๋อง ชิงเหยามิได้หมายความเช่นนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ นางเพียงดีใจเกินไปที่ท่านเสด็จมา”

ในขณะที่หลินซีอธิบายก็พลางรีบขยิบตาให้หลินชิงเหยา

นางกัดริมฝีปากสีแดงของเขาเบา ๆ โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้หมายความเยี่ยงนั้น ท่านทรงเข้าใจผิดแล้วเพคะ”

“ได้ เช่นนั้นตัวข้าขอถามเจ้า เมื่อวานนี้เจ้าหลอกลวงข้าด้วยเหตุใด? เจ้าอยู่ในตำหนักบูรพาเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม เหตุใดเจ้าต้องปกปิดข้า? รีบบอกข้ามา!”

ฉินหงจ้องไปที่หลินชิงเหยาโดยหวังในใจว่านางจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่ตน

โดยมิคาดคิดหลินชิงเหยาเพียงกัดริมฝีปากสีแดงของนางแน่น และก้มหน้าลงมิพูดอะไร

หลินซีกังวลมากจนนางกระทืบเท้าและเร่งเร้า “ชิงเหยา รีบอธิบายให้ท่านอ๋องฉีฟัง เร็วเข้าสิ รีบบอกท่านอ๋องว่าเมื่อวานนี้เจ้ามิได้ไปที่ตำหนักบูรพา เร็ว ๆ สิ!"

หลินชิงเหยาหายใจเข้าลึก ๆ มองตรงไปที่ฉินหงแล้วพูดว่า “ใช่ เมื่อวานหม่อมฉันอยู่ในตำหนักบูรพานานกว่าครึ่งชั่วยาม อย่างที่ท่านคิด ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วและหม่อมฉันทำด้วยความสมัครใจ ท่านพอใจในสิ่งที่หม่อมฉันพูดแล้วหรือไม่?”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมาฉินหงและหลินซีก็ตกตะลึง!

เมื่อตั้งสติได้แล้วฉินหงก็โกรธมาก

ด้วยเสียง "ชักดาบ" เขาดึงดาบออกมาจากมือขององครักษ์

จากนั้นเขาก็ยกมันขึ้นและฟาดลงอย่างแรง!

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 865

    จวนอ๋องฉู่องครักษ์คนหนึ่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่เบื้องหน้าฉินอวี่"ทูลท่านอ๋องฉู่ ฝ่าบาทมิทรงเห็นด้วยที่จะส่งทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน อีกทั้งยังทรงส่งแม่ทัพฉงไปประจำการที่ชายแดนเหนือพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าแน่ใจหรือว่าเสด็จพ่อปฏิเสธชัดเจน?" ฉินอวี่ถามย้ำ"พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง การที่ฝ่าบาททรงส่งแม่ทัพฉงไปชายแดนเหนือ น่าจะประสงค์ฉวยโอกาสโจมตี""ดูเหมือนว่าเสด็จพ่อต้องการฉวยโอกาสโจมตีตลบหลังเป่ยเยี่ยน ขณะที่พวกเขากำลังสู้กับแคว้นฉี"พูดถึงตรงนี้ ฉินอวี่ขมวดคิ้วแล้วกล่าว "แล้วแคว้นฉีจะรับมืออย่างไร? เสด็จพ่อทรงส่งหัวหน้าโหรหลวงไปเกลี้ยกล่อมหรือไม่?"องครักษ์พยักหน้า "ส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ และตามรายงานข่าวที่น่าเชื่อถือ หัวหน้าโหรหลวงเดินทางขึ้นเหนือไปแล้ว น่าจะไปเจรจากับอ๋องเซียงหยางพ่ะย่ะค่ะ""ดี! ดีมาก! การกระทำของเสด็จพ่อเช่นนี้ มิต่างกระไรกับการประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่าต้าเหยียนของเราละทิ้งฉินซูองค์รัชทายาทผู้นี้ไปแล้ว!""ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เมื่อองค์รัชทายาทถูกละทิ้ง เขาก็ทำได้แค่รอความตายเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งรัชทายาทองค์ใหม่ ก็ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าท่านอ๋องอีกแล้

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 864

    ฉงชูโม่ชะงักไป แล้วถามย้ำ “เจ้าแน่ใจนะว่าหัวหน้าโหรหลวงขึ้นเหนือไปเพื่อช่วยองค์รัชทายาท?”“อืม อาจารย์พูดเองว่าจะมิทอดทิ้งองค์รัชทายาท”“แต่เขาไปเพียงลำพัง จะมีประโยชน์กระไรมากมาย?”กู้เสวี่ยเจี้ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อันที่จริงอาจารย์ก็ลำบากใจเช่นกัน หากเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ทรงออกทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน สุดท้ายต้าเหยียนของเราก็คงหนีมิพ้นเคราะห์กรรม ราษฎรในแผ่นดินก็จะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะอาจารย์คำนึงถึงจุดนี้ เขาจึงมิได้เตือนฝ่าบาทอย่างตรงไปตรงมา”ได้ยินดังนั้น ฉงชูโม่ก็ขมวดคิ้วแล้วเงียบไปเพราะระหว่างทางที่กลับมา นางได้ลองประมาณกำลังพลทั้งสามฝ่ายดูแล้วกำลังพลของเป่ยเยี่ยนและต้าเหยียนรวมกันอย่างมากก็มีประมาณเก้าแสนถึงหนึ่งล้านนาย ส่วนแคว้นฉีลำพังแค่กองทัพทหารม้าหุ้มเกราะก็มีจำนวนคนถึงหนึ่งล้านนายแล้ว นี่ยังมิรวมทัพอื่น ๆ อีกอีกทั้งแคว้นฉียังมีรากฐานที่มั่นคง อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหล่าทหารใช้ก็เป็นของชั้นเลิศหากเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ แม้เป่ยเยี่ยนและต้าเหยียนจะร่วมมือกัน ก็ยากที่จะเอาชนะได้ที่นางมาหาหัวหน้าโหรหลวง ก็เพียงแต่หวังว่าอีกฝ่ายจะคิดหาทางออกที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 863

    เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปาก “ฝ่าบาท หากหัวหน้าโหรหลวงสามารถเกลี้ยกล่อมอ๋องเซียงหยางได้ เมื่อเขากลับมาแล้ว ค่อยให้เขาคิดหาทางแก้ไขก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น หึ! เดิมทีตัวข้ายังปวดหัวอยู่ว่าจะลดทอนความดีความชอบขององค์รัชทายาทลงอย่างไร เจ้านั่นก็เหลือเกิน ใจกล้าสังหารบุตรชายอ๋องเซียงหยาง นี่ถือว่าเขาก่อเรื่องเอง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เบาแรงข้าลงไปได้มากโขเลยทีเดียว”เฉาฉุนหัวเราะแห้ง ๆ มิได้ตอบกระไรฉินอู๋ต้าวยืดเส้นยืดสาย แล้วหันกลับไปยังห้องบรรทมภายในสำนักหอดูดาวหลวงทันทีที่เหลยเจิ้นกลับมา กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ถามอย่างใจร้อน “อาจารย์ ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ จะส่งทัพไปช่วยเหลือเป่ยเยี่ยนเมื่อใด?”“ฝ่าบาทจะมิส่งทัพไป” เหลยเจิ้นตอบสั้น ๆ“ว่ากระไรนะ?! มิส่งทัพไปช่วยหรือ หากเป่ยเยี่ยนถูกทำลาย กองทัพแคว้นฉีก็จะหันคมดาบมายังต้าเหยียนของเรามิใช่หรือ หลักการง่าย ๆ แค่นี้ฝ่าบาทมิได้ทรงคำนึงถึงหรือเจ้าคะ?”“ใช่ว่าฝ่าบาทมิได้คำนึงถึง เพียงแต่หากส่งทัพไปช่วยเป่ยเยี่ยน ก็เท่ากับการประกาศสงครามกับแคว้นฉี ด้วยกำลังของแคว้นฉี แม้ต้าเหยียนกับเป่ยเยี่ยนจะร่วมมือกัน

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 862

    เว่ยเจิงมีสีหน้าประหลาดใจอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขามิคาดคิดว่าฉินอู๋ต้าวตั้งใจจะสละองค์รัชทายาทจริง ๆเหลยเจิ้นขมวดคิ้วเล็กน้อย มองฉินอู๋ต้าวอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่งแล้วส่ายหน้าช้า ๆ“เกรงว่ามิง่ายนัก เมื่ออ๋องเซียงหยางทำลายเป่ยเยี่ยนลงแล้ว เก้าในสิบส่วนย่อมต้องบุกเข้ามา และฉวยโอกาสยึดต้าเหยียนของเราไปด้วย”เว่ยเจิงเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่มากมายในช่วงหลังมานี้ หนานเยวี่ยก็เป็นองค์รัชทายาทที่ยึดครองมาได้ หากสละองค์รัชทายาทไป เกรงว่าจะถูกคนทั่วหล้าวิพากษ์วิจารณ์เอาได้พ่ะย่ะค่ะ”“คนทั่วหล้าจะวิพากษ์วิจารณ์ข้าอย่างไร ข้ามิสน! สิ่งที่ข้าใส่ใจคือชีวิตของราษฎรนับล้านในแผ่นดินต้าเหยียนของข้า!”ฉินอู๋ต้าวลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวต่อ “ท้ายที่สุดแล้วหายนะครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่รัชทายาทก่อขึ้น ในฐานะจักรพรรดิแห่งต้าเหยียน ข้าย่อมมิอาจปล่อยราษฎรในแผ่นดินต้องพลอยรับเคราะห์กรรมไปด้วย ดังนั้น ขุนนางเหลย ข้าอยากจะขอให้เจ้าเดินทางขึ้นเหนือด้วยตนเอง ไปเกลี้ยกล่อมอ๋องเซียงหยาง ตราบใดที่เขามิระบายโทสะกับต้าเหยียนของเรา องค์รัชทายาทจะเป็นอย่างไรก็ให้เขาจัดการ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 861

    หวังฉือตุลาการศาลต้าหลี่ก้าวออกมากล่าวว่า "ฝ่าบาท ข้าน้อยเห็นว่าการที่องค์รัชทายาทสังหารบุตรชายของอ๋องเซียงหยางเป็นการกระทำที่บีบบังคับยิ่ง มิอาจตำหนิพระองค์ได้ หากมิส่งกำลังไปช่วยเหลือเป่ยเยี่ยน เกรงว่าในภายภาคหน้าภัยจะมาถึงตัว ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"ตาเฒ่าเนี่ยหงสนับสนุน "ข้าน้อยก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าเป่ยเยี่ยนกับต้าเหยียนของเราจะขัดแย้งกันมาโดยตลอด แต่ยามนี้หากมิร่วมมือกันต่อต้านแคว้นฉี หลังจากที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ ต้าเหยียนของเราก็จะไม่มีกำลังต่อต้านอีกต่อไป ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"หลินซีเสนาบดีกรมพระคลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ก้าวออกมา "ฝ่าบาท ข้าน้อยก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ การร่วมมือกับเป่ยเยี่ยนยังพอเห็นโอกาสเอาชนะได้บ้าง หากปฏิเสธที่จะส่งกำลังไปช่วยเหลือ หลังจากเป่ยเยี่ยนถูกทำลาย พวกเราก็จะต้องเผชิญหน้ากับคมดาบของกองทัพทหารม้าหุ้มเกราะนับล้านของแคว้นฉีโดยตรง""ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท การช่วยเหลือเป่ยเยี่ยน จะทำให้ภายในต้าเหยียนของเรามิได้รับผลกระทบจากไฟสงคราม มิฉะนั้นหากวันใดทัพใหญ่ของแคว้นฉีบุกเข้ามา ต้าเหยียนของเราย่อมต้องประสบกับ

  • องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน   บทที่ 860

    ฉินซูกำชับ "แม่ทัพใหญ่ ท่านควรส่งคนกลับไปเสริมกำลังป้องกันเมืองเจียหยางก่อน หากอ๋องเซียงหยางบุกโต้กลับ เมืองเจียหยางก็คือแนวป้องกันสุดท้ายของเรา""ก่อนมา ข้าได้สั่งให้คนเสริมกำลังป้องกันเมืองไว้แล้ว เรื่องนี้บุตรแห่งนักปราชญ์วางใจได้เลย!""เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยม"ฉินซูพูดจบ ก็จ้องมองแผนที่ทรายตามิกะพริบ ความคิดในสมองแล่นอย่างรวดเร็วเห็นดังนั้น ลู่อวี้และมู่หรงอวิ๋นเจิงก็ฉลาดพอที่จะมิส่งเสียงรบกวน......แคว้นต้าเหยียนท้องพระโรงของพระราชวังเมืองหลงเฉิงเมื่อฉงชูโม่เห็นฉินอู๋ต้าวก็รีบเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้ฟังทันทีฉินอู๋ต้าวเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "เจ้าว่ากระไรนะ? รัชทายาทกล้าสังหารบุตรชายอ๋องเซียงหยางแห่งแคว้นฉีเชียวหรือ?!"ขุนนางทั้งราชสำนักต่างก็ตกใจหน้าซีดเซียว และต่างมองไปที่ฉงชูโม่เป็นตาเดียว!แม้แต่เหลยเจิ้นยังมีสีหน้าประหลาดใจฉงชูโม่พยักหน้าช้า ๆ "เพคะฝ่าบาท หยวนหัวคิดจะทำเรื่องต่ำช้ากับกู้เสวี่ยเจี้ยน หลังจากองค์รัชทายาทเสด็จไปถึง ก็ได้สังหารเขาทันที"ได้ยินดังนั้น บรรดาขุนนางระดับสูงที่ต้องการตำหนิฉินซูเกิดความกระดากทันทีด้วยกู้เสวี่ยเจี้ยนเป็นศิษย์ของหัวหน้

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status