สองสาวใช้รีบเดินกลับออกไป พ่อบ้านจิ่วเดินตามทั้งคู่ออกไปเช่นกัน ก่อนที่หลิวเว่ยหยางจะหันมาหานาง
“ไปกินข้าวเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
บนโต๊ะอาหารที่เงียบผิดปกติ ได้ยินเพียงแค่เสียงช้อนและตะเกียบ ทั้งคู่นั่งกินอย่างเงียบ ๆ จนหลินอิงวางตะเกียบลงเขาจึงได้เอ่ยขึ้นมา
“อิ่มแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะข้าอิ่มแล้ว เช่นนั้น…”
“มีอย่างที่ไหนกัน สามียังไม่อิ่มเจ้าก็กล้าลุกจากโต๊ะก่อนงั้นหรือ”
หลินอิงรู้สึกวูบวาบลงไปที่ท้องเมื่อเขาพูดคำว่า “สามี” ขึ้นมา ที่จริงนับจากวันที่ออกจากวังมา และเขาบอกว่าจะออกไปนอกเมือง นางก็ไม่ได้พบเขาอีกจนกระทั่งวันนี้
“ข้าอยากกินของหวาน เจ้าไปตักให้ทีสิ”
หลินอิงลุกขึ้นอย่างว่าง่าย เพราะของหวานถูกนำมาวางก่อนหน้านี้แล้ว นางหันไปตักบัวลอยน้ำขิงมาวางให้เขา และเดินกลับมานั่งที่ของตัวเอง
“ทำไมเจ้าไม่กินเสียหน่อยเล่า กินข้าวไปเพียงเท่านั้นเจ้าอิ่มงั้นหรือ”
“ข้าอิ่มแล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ”
“ช่างเถอะ วันนี้ข้าได้ยินว่าบิดาของเจ้ามาเยี่ยมงั้นหรือ”
‘เริ่มเข้าเรื่องเสียทีสินะ’
นางคิดอยู่ในใจเมื่อแม่ทัพเอ่ยขึ้น ที่จริงเขาควรจะถามนางก่อนมื้ออาหารก็ได้ พูดจบแล้วนางก็กลับ จะได้ไม่ต้องมานั่งอึดอัดกินข้าวกับเขา จนรู้สึกว่าอาหารไม่ย่อยแบบนี้
“เจ้าค่ะ”
“น่าแปลกมาก ที่จริงต้องกลับไปเยี่ยมบ้านอยู่แล้ว แต่เหตุใดใต้เท้าเมิ่งถึงได้ใจร้อนมาหาเจ้าก่อนเวลาเช่นนี้กัน คงมิใช่ว่าเป็นห่วงบุตรสาวที่พึ่งแต่งงานออกมาหรอกกระมัง”
“มิใช่เจ้าค่ะ ก็แค่แวะมาเท่านั้น”
“งั้นหรือ เช่นนั้นคงได้ข่าวอะไรมาสินะ เช่น… เรื่องที่เจ้าเข้าวังไปรับตราตั้งระดับสี่นั่นมา”
“หากท่านแม่ทัพไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับ”
“เดี๋ยวก่อน”
“ยังมีสิ่งใดอีกหรือเจ้าคะ”
“หลังจากวันนี้ไป เจ้าต้องมาจัดเตรียมอาหารให้ข้าทุกมื้อ และต้องมากินข้าวพร้อมกับข้า ในฐานะฮูหยินแม่ทัพ”
“แต่ก่อนหน้านี้ท่าน...”
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า แม้แต่ในจวนแม่ทัพก็มีหูตาของท่านอ๋องอยู่ หากเจ้าอยากให้เขาสงสัย จนเรียกตราตั้งของเจ้าคืนละก็จะลองดูก็ได้นะ”
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะทำหน้าที่นี้ให้ดี”
“ชาข้าหมดแล้ว เติมให้ทีสิ”
หลินอิงยกชารินให้เขา เว่ยหมิงยกชาขึ้นมาดื่มและหันมามองนาง
“รินอีกถ้วยหนึ่งสิ เจ้าไม่มีแรงแม้แต่จะยกกาน้ำชาเลยงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ!”
หลินอิงเริ่มโมโห กาน้ำชาที่หนักทำให้นางเริ่มเจ็บแผลที่แขน ซึ่งถูกหวังอี้จิงทำร้าย
“พอหรือไม่!”
“ยังไม่พอ”
“เช่นนั้นข้าจะไปสั่งให้คนยกชาชุดใหม่มาให้”
“เดี๋ยว!”
“โอ๊ย! … เอ่อ ปล่อยข้าก่อนข้าตกใจนะ”
มือหนาของแม่ทัพ คว้าแขนข้างที่เจ็บของนาง ทำให้หลินอิงเจ็บจนตกใจ นางรีบสะบัดแขนเขาออกทันทีเพื่อมิให้ดูผิดปกติ โชคดีที่แม่ทัพหลิวไม่ทันได้มอง สายตาเขายังคงเย็นนิ่งดุจน้ำแข็ง ไม่ต่างกับก่อนหน้านี้
“แค่รินน้ำชา เหตุใดต้องทำท่ารำคาญข้าเช่นนี้ เจ้าคงลืมไปแล้วสินะว่าฮูหยินแม่ทัพจะต้องทำตัวเช่นไร”
“ข้า…”
“ไม่ว่าจะเป็นในจวนหรือนอกจวน เจ้าก็ต้องทำตัวให้สมกับเป็นคนของจวนแม่ทัพ อย่าได้หลงลืมฐานะของตนเองจนทำให้ข้าอับอาย วางกาน้ำชาไว้เถอะ ข้าไม่อยากดื่มแล้ว เจ้าอยากกลับเรือนของเจ้าก็รีบไปเถอะ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
หลินอิงวางกาน้ำชาตรงหน้าเขา และรีบเดินออกจากห้องไปทันที เมื่อนางเดินไปแล้ว เขาถึงได้เรียกจื่อรั่วและพ่อบ้านจิ่วที่ยืนอยู่หน้าห้องเข้ามา
“ฮูหยินเดินกลับเรือนหลังไปแล้วขอรับ”
“ท่านแม่ทัพ ได้ความว่าอย่างไรหรือไม่ขอรับ”
“ดูท่าว่าเมิ่งฉีจะรอไม่ไหวแล้ว ถึงกับกล้ามาที่จวนตอนข้าไม่อยู่ เพื่อมาขอตราตั้งกับนางจริง ๆ”
“ฮูหยินบอกท่านหรือขอรับ”
“นางน่ะหรือจะบอกอะไรกับข้า ทำท่าทางอย่างกับลูกแมวจะขู่เสือเช่นนั้น หึ แค่เห็นก็รำคาญยิ่งนัก”
“นายท่านเมิ่งกับฮูหยิน มาเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็รีบกลับ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่ได้ตราตั้งนั้นไป เพราะท่าทางของทั้งคู่ดูฉุนเฉียวมากกว่าตอนที่มาขอพบฮูหยินนะขอรับ”
“ข้าได้กลิ่นยาทาแผลที่ตัวของนาง”
“ท่านแม่ทัพหมายความว่า พวกเขาทำร้ายฮูหยินหรือขอรับ”
“แต่พวกเขาพบกันไม่นาน เท่าที่ข้าดูก็ไม่มีอะไรผิดปกติ หรือว่า…”
พ่อบ้านจิ่วกะพริบตาด้วยความไม่เชื่อว่า สตรีตัวเล็ก ๆ เช่นเมิ่งหลินอิงจะทนความเจ็บปวดเช่นนั้นได้ เพราะตลอดเวลาที่คุย เขาไม่ได้ยินเสียงตบตีหรือทะเลาะกัน
“หรือว่า…”
“จื่อรั่ว”
“ขอรับ”
“ให้คนของเราสืบเรื่องสกุลเมิ่ง เกี่ยวกับมารดาของเมิ่งหลินอิง รวมถึงเรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมด”
“ขอรับ”
“ท่านแม่ทัพ นี่หรือว่าฮูหยิน…”
“พ่อบ้านจิ่ว ท่านเองก็สงสัยเช่นเดียวกับข้าใช่หรือไม่”
“นางเป็นบุตรสาวพ่อค้า แต่เมื่อท่านสั่งให้ไปอยู่ที่เรือนหลังเล็ก ทั้งรกร้างและไร้คนอาศัย แต่นางกลับไม่ปริปากบ่นเลยสักนิด อีกอย่างยังใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และยังลงมือปลูกผักและทำความสะอาดด้วยตัวเอง เมื่อเช้าข้าให้คนเอาเงินเดือนทั้งหมดของท่านไปมอบให้ นางก็ไม่ถามอะไรสักคำ แค่นำไปเก็บข้างใน และทำงานของตัวเองต่อเท่านั้นเอง”
“ลุงจิ่วท่านอยู่ในจวนนี้มานาน ก็คิดว่ามันแปลกสินะ”
"ขอรับ ข้าไม่เคยเห็นบุตรสาวขุนนางคนใด ที่จะทนกับสภาพเช่นนี้ได้ ยิ่งนางเป็นบุตรของเศรษฐีร่ำรวย ไม่น่าจะทนได้กับสภาพเช่นนั้น"
“วันก่อนตอนเข้าเฝ้า นางตื่นเต้นและหวาดกลัวมาก แม้แต่ตอนที่ขึ้นไปรับตราตั้งก็ยังมีสีหน้าซีดเซียว แต่เมื่อท่านอ๋องตรัสเรื่องของครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องมารดาของนางขึ้นมา เมิ่งหลินอิงผู้นี้กลับทำเรื่องที่ข้านึกไม่ถึงขึ้นมา”
“เช่นนั้นข่าวลือที่ว่า ฮูหยินตลบหลังชิงอ๋องจนได้เงินห้าพันตำลึงทองนั้นมามอบให้กองทัพ ก็มิใช่เรื่องที่เกินจริงหรือขอรับ”
“ใช่แล้ว ทุกคนในห้องโถงเองก็ตกใจเช่นกัน ท่านอ๋องพลาดท่าให้กับนาง เพียงแค่เมิ่งหลินอิงพูดไม่กี่คำ เขาก็สูญเงินที่เอาไว้เสพสุขนั่นไปถึงห้าพันตำลึงทองเพื่อช่วยกองทัพ นางใช้ขุนนางในห้องโถงเป็นสักขีพยาน จนท่านอ๋องสิ้นหนทางแก้ตัว”
“เช่นนี้ท่านแม่ทัพก็นับว่า แต่งงานกับสตรีไม่ผิดคนแล้วนะขอรับ…เอ่อ ข้าพูดมากไปแล้ว ท่านแม่ทัพอย่าถือสาเลยขอรับ”
“ข้าจะไปห้องหนังสือสักหน่อย”
“ขอรับ”
เขาเดินมาที่ห้องหนังสือ เมื่อเดินมาที่โต๊ะก็ยกมือขึ้นมาดมกลิ่นที่ติดนิ้วทันที
“ยาทาแผลสดไม่ผิดแน่ แต่ข้าใช้ให้นางตักของหวานและเติมชาอยู่หลายครั้ง ไม่มีท่าว่าจะเจ็บนอกจากตอนที่ข้าเผลอไปบีบแขน แสดงว่าแผลไม่หนักมาก เมิ่งหลินอิง… ความเป็นมาของเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่”
เรือนหลัง
“ท่านบอกว่า… ต้องไปกินข้าวกับท่านแม่ทัพทุกวันหรือเจ้าคะ"
“ใช่แล้วเขาสั่งมาแบบนั้น”
“เช่นนั้นก็ยอดไปเลยนะเจ้าคะ”
“ฮูหยินท่านไม่ต้องกลัวท่านแม่ทัพถึงขนาดนั้นเจ้าค่ะ แม้ว่าท่านแม่ทัพจะดูเคร่งขรึมและเย็นชา แต่เพราะหน้าของเขาเป็นเช่นนั้นเอง ที่จริงแล้วท่านแม่ทัพเป็นคนมีน้ำใจมาก โดยเฉพาะกับพวกคนในจวน”
“หึหึ นั่นสินะ แต่คงไม่ใช่กับข้าแน่ ๆ”
“ทำไมท่านคิดเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ พวกท่านแต่งงานกันแล้ว ถึงอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินของเขา เหตุใดท่านจึงคิดว่าท่านแม่ทัพจะไม่รักท่านเล่าเจ้าคะ”
“นั่นคงเพราะว่า ข้ามิใช่สตรีในใจของเขา ที่อยากจะแต่งงานด้วยตั้งแต่แรกกระมัง”
รสรักที่นางมิเคยได้ลิ้มลอง เมื่อท่านแม่ทัพเริ่มลาดเลื้อยนิ้วสากไปตามเรือนร่างของนาง และหยุดที่ปทุมคู่สวยอีกครั้ง นางก็รู้แล้วว่าถึงเวลาแล้ว“อย่าเกร็งมาก ข้าจะค่อย ๆ เข้าไป”“เจ้าค่ะ ข้าจะพยายาม”เพียงแค่แท่งร้อนที่ทั้งใหญ่และดุดันนั้นสอดเข้ามา หลินอิงก็เริ่มจิกนิ้วมาที่ไหล่กว้างของเขา นางรู้สึกเจ็บและประหม่าเล็กน้อย แต่เขาก็มิได้ทำให้นางทรมานอยู่นาน เพราะหลังจากความเจ็บในสัมผัสแรก จากนั้นทั้งคู่ก็หลงลืมวันเวลาอยู่บนเตียงอุ่น ท่ามกลางเสียงร่ำร้องฉลองชัยชนะในคืนนี้“อื้อ…ทะ ท่านพี่ อื้อ”จูบหนักแน่นและพร้อมจะดูดกลืนนางได้ทั้งตัว ถูกส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่า หลินอิงแทบจะรับศึกรักนี้ไม่ไหวแล้ว หลังจากที่เขาจับนางเปลี่ยนท่า ยกขาขึ้นพาดบ่า จับให้นอนตะแคงโดยมีเขาสวมกอดอยู่ด้านหลัง แรงกระแทกมาแต่ละครั้งหนักแน่นและดุดันสมกับเป็นขุนศึกผู้กล้า เสียงลมหายใจร้อนรดมาที่ซอกคอ ตามด้วยริมฝีปากเย็นที่ฝังแน่นตามลงมา“ข้า…อ๊าาา ท่านพี่เจ้าคะ”มีเพียงเสียงลมหายใจแหบต่ำของเขาเป็นคำตอบ ว่านางยังพักไม่ได้ หากเขาไม่อนุญาต ร่างบางเกร็งตัวขึ้นอีกครั้ง เขาส่งนางไปถึงฝั่งนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตัวเขาเองพึ่งจะคำรามออกม
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจ เว่ยหยางหันไปมองที่ยอดเขาซึ่งเขาเคยพานางมา และเขาก็เห็นว่าผู้ที่ยิงธนูช่วยเขาเมื่อครู่นี้ มิใช่ทหารของเขาอย่างแน่นอน แม้ว่าจะเล็งได้ตรงจุดแต่กำลังก็มิได้ทำให้ฆ่าคนตายได้ แค่หยุดพวกเขาเอาไว้ได้เท่านั้น“เมิ่งหลินอิง เจ้านี่อยู่เฉยไม่ได้เลยจริง ๆ”ค่ายทหารเมื่อกองทัพเริ่มทยอยเข้ามาในค่ายทหาร แม่ทัพหลิวก็ถูกนำมาที่กระโจมเพื่อทำแผลทันที หลินอิงวิ่งเข้ามาหลังจากที่ท่านหมอทำแผลให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว“จากนี้คงต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลและใส่ยาเช้าเย็น อาการอย่างอื่นไม่มีอะไรหนักหนามากขอรับ”“ขอบคุณท่านหมอ”เมื่อหมอและคนอื่น ๆ ออกไปแล้ว เพราะเย็นนี้มีงานเลี้ยงฉลองที่ชนะศึก และทุกคนจะได้กลับบ้าน จึงทำให้ไม่มีใครอยากจะอยู่แต่ในกระโจม หลินอิงเดินเข้ามา และมองไปที่เว่ยหยางซึ่งนั่งอยู่ที่เตียง“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอบอกข้าว่าแผลที่ไหล่ของท่านไม่ลึกมาก แค่ใส่ยาก็หาย”“วันนี้เจ้าไปไหนมา”“ข้า…”“อย่าได้คิดจะโกหกข้าเชียว กุนซือเผิงช่วยเจ้าไม่ได้หรอกนะ”“ท่านโกรธข้าหรือ”“เจ้าไม่รู้หรือว่ามันอันตราย หากว่ามิใช่กองทัพของข้าแล้วละก็”“แต่ที่นั่นทั้งสูงและปลอดภัย กองทัพที่เหลือ
วันถัดมา“ท่านแม่ทัพ ท่านมั่นใจแล้วหรือที่จะ เอ่อ…”“กุนซือ ท่านคิดว่าแผนการนี้มีอะไรต้องแก้ไขงั้นหรือ หากว่าท่านมีแผนการอื่น ที่ดีกว่าแผนที่ฮูหยินขอข้าเสนอมา ก็พูดออกมาได้เลย”“แม้ว่าจะดูรอบคอบ แต่จะทำอย่างไรถึงจะให้ศัตรูเชื่อว่าเรื่องนี้มิใช่กลลวง”“เรื่องนั้นง่ายมาก เราต้องปล่อยข่าวออกไป และให้พวกเขาปล้นเสบียงไปก่อนครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาจะเชื่อข่าวเรื่องนี้ทันที”“อะไรนะ เราต้องเสียเสบียงให้ข้าศึกก่อนงั้นหรือ ท่านแม่ทัพนี่มันจะไม่เสี่ยงไปสักหน่อยหรือ”นางกองหวังพูดขึ้นมา เมื่อรู้ว่าต้องใช้เสบียงจริงในการหลอกล่อ เขาก็เกิดกลัวขึ้นมา แต่กุนซือเผิงอิ้งกลับตบพัด และหันมายิ้มให้กับแม่ทัพหลิวและฮูหยิน“จะตกปลา หากไม่ใช้เหยื่อก็คงไม่ได้ปลาใหญ่ ข้าเข้าใจแผนการของฮูหยินแล้ว นี่ช่างเป็นการพลิกกลยุทธ์ทางการค้ามาใช้กับกองทัพได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ”“ขอบคุณท่านกุนซือ เช่นนั้นแผนการที่เหลือเราก็เร่งวางแผนกันได้แล้วสินะ”“แน่นอนขอรับ”“เช่นนั้นข้าออกไปก่อน”“ไม่ต้องหรอก เจ้าเป็นคนคิดแผนนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมมีสิทธิ์ที่จะรู้แผนการทั้งหมด มาเถอะ”แม่ทัพหลิวโอบเอวนางมาที่โต๊ะซึ่งมีแผนที่อยู่ พวกเขาใช้เว
เสียงทุ้มต่ำของหลิวเว่ยหยาง ทำให้นางจำได้ในทันที นางทิ้งกระบอกและมองเขาชัด ๆ อีกครั้ง จื่อรั่วถูกสั่งให้ออกไปรอข้างนอก หลังจากยืนตกตะลึงไปกับน้ำที่สาดออกมาโดนทั้งคู่ “ทะ ท่านแม่ทัพ!”"ข้าเอง"นางโผเข้ากอดเขาในทันที เว่ยหยางได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของนางก็รู้ว่าที่จริงแล้ว ฮูหยินของเขากลัวมากเพียงใด อีกอย่างตัวนางที่สั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด“ข้าเองหลินอิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ตะ ตัวท่านเปียกไปหมด ข้าขอโทษ ข้าคิดว่าท่านเป็น…เป็น…”“เจ้าใจเย็นก่อน ข้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้นเจ้าอย่าตกใจ เดิมทีแค่คิดจะแวะมาหาเจ้าเท่านั้น แต่ดูท่าตอนนี้คงต้องเปลี่ยนชุดเสียแล้ว”หลินอิงรีบหันไปเตรียมชุดใหม่ให้เขา ระหว่างที่แม่ทัพหลิวเดินไปอาบน้ำที่ห้องด้านหลัง เมื่อเดินออกมาก็เห็นหลินอิงวางชุดใหม่ให้เขา นางกำลังสาละวนทำบางอย่างอยู่ข้างนอก เมื่อเขาเปลี่ยนชุดเสร็จจึงได้เห็นหมั่นโถวที่พึ่งนึ่งออกมาใหม่ ๆ กับหมูแดดเดียวที่แค่เห็นก็รู้สึกน้ำลายสอ“นี่เจ้าเตรียมให้ข้าหรือ”“เจ้าค่ะ ในครัวมีแป้งเหลืออยู่นิดหน่อย ข้าก็เลยรีบไปนึ่งมาให้ ท่านรีบกินก่อนเถอะ”เขานั่งลงและเริ่มกินอีกครั้ง ศึกที่ยืดเยื้อมาหลายวันทำให้เ
“รอบ ๆ ค่ายหรือ แล้วจะไม่เป็นอันตรายหรือเจ้าคะ”“ไม่หรอก รอบ ๆ บริเวณนี้มีทหารอารักขา อีกอย่างที่นี่เป็นเขตของเยี่ยนตู ไปกันเถอะ”“เจ้าค่ะ”นางเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย เมื่อเดินออกมาจื่อรั่วก็ถูกสั่งให้เตรียมม้า เขาก็เตรียมมาสองตัว แม่ทัพหลิวจึงหันมาบอกเขาอีกครั้ง“แค่ตัวเดียวก็พอ ไม่ต้องตามข้าไปหรอก สั่งให้คนเฝ้าที่นี่ดี ๆ ก็พอ”“ขอรับ”จื่อรั่วแอบยิ้ม เมื่อเห็นท่านแม่ทัพและฮูหยิน ที่เอาแต่เดินก้มหน้าเพราะเขาบอกว่าจะใช้ม้าแค่ตัวเดียว นางถูกเขาจูงมือไปที่ม้าตัวโปรดของเขาเอง ก่อนจะอุ้มนางขึ้นไปนั่งและตามขึ้นไปอย่างชำนาญ“จับเอาไว้ให้แน่น แต่อย่าไปดึงแผงคอมันแรงเล่า หากมันเจ็บเดี๋ยวจะวุ่นวาย”“เจ้าค่ะ”เสียงที่กระซิบอยู่ข้างกกหู ยิ่งทำให้หลินอิงรู้สึกวูบวาบจนหมดแรง เขาพานางขี่ม้าออกจากค่าย ตรงไปยังเชิงเขาข้าง ๆ ค่าย ซึ่งแต่เดิมค่ายทหารก็อยู่บนเนินเขาอยู่แล้ว เพื่อมองเห็นศัตรูได้ในระยะไกล เมื่อขึ้นเขาไปอีกไม่นานก็ถึงยอดเขาที่มีต้นไม้ใหญ่และต้นน้ำที่ไหลผ่านด้านหลังค่ายทหาร “สวยมากเลย”“คิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องชอบที่นี่ ข้าเองก็ชอบมาที่นี่เวลาที่ต้องการคิดอะไรบางอย่าง”“ท่านมีอะไรที่คิดไม่ต
“ท่านอย่าโทษคนอื่น เรื่องนี้ข้าคิดเอาไว้ตั้งแต่ที่มาแล้ว เหตุใดท่านจึงต้องห้ามด้วย”“แม้ว่าก่อนหน้านี้ที่เจ้าเดินทางมา จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเจ้าขนส่งเสบียง แต่ขากลับไปเจ้าคิดหรือว่าข่าวจะไม่เล็ดลอดออกไป”“ข้า… ไม่ทันคิดเรื่องนี้ แต่ข้ามีอาวุธ มีคนคุ้มกันข้าขี่ม้าเป็นแล้วก็…”“เหลวไหล! คิดว่าเพียงเท่านี้จะรักษาชีวิตเจ้าได้อย่างนั้นหรือ ช่างโง่เขลายิ่งนัก”หลินอิงนิ่งไปเมื่อเขาพูดเช่นนี้ แม้จะรู้ว่าเขาพูดออกมาก็มีความจริงที่นางคิดไม่ถึง แต่ที่สุดแล้วเขามีทางเลือกจะใช้วิธีพูดที่ดีกว่านี้ได้ แต่กลับไม่ทำ“หลินอิง ข้า…ไม่ได้ตั้งใจ”“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจที่ท่านพูดแล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านจะสั่งการเถิดเจ้าค่ะ ข้าหิวแล้ว”“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกินข้าวก่อน เสร็จแล้วจะได้มานอนพักผ่อน เจ้าเหนื่อยมาหลายวันแล้ว”นางลุกขึ้นทันที เขาจะเดินมาจับตัวนาง แต่หลินอิงเดินเลี่ยงออกมาทันที เป็นครั้งแรกที่เว่ยหยางรู้สึกเจ็บปวดเมื่อถูกนางเมินเฉย แต่พอนึกย้อนกลับไปก็พอจะเข้าใจที่นางโกรธ“วันนี้มีเนื้อกินแล้ว เจ้ากินมาก ๆ หน่อยร่างกายจะได้อบอุ่น”“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ระหว่างทางข้าเองก็ไม่ได้อดถึงขนาดขาดแคลนอา