LOGINรุ่งเช้าแสงแดดยังอ่อนจัดจ้าผ่านม่านหมอกบาง ๆ ที่คลี่คลุมท้องนา
เสียงไก่ขันแว่วจากเรือนใกล้ ๆ ตามด้วยเสียงควายลากไถจากทางหมู่บ้าน มู่หว่านเหยาเก็บตะกร้าหวายใบเล็กใส่เหรียญเงินที่หานเจ๋อมอบให้เมื่อคืน แล้วคลุมผ้าบางสีอ่อนคล้ายแพรทอมือ
เมื่อออกมาหน้าเรือน หานเจ๋อก็ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
เขายิ้มบาง ๆ หว่านเหยายิ้มตอบกล่าว “ไปกันเถอะ”
น้ำเสียงของนางนุ่มนวลขึ้นกว่าทุกวัน
จนหานเจ๋อสติแทบจะล่องลอย
ทั้งสองเดินเคียงกันไปตามทางดินเลียบคันนา
หยาดน้ำค้างเกาะบนยอดหญ้าเป็นประกาย สายลมเช้าเย็นสบายจนผมของหญิงสาวปลิวระเริง เสียงล้อเกวียนจากระยะไกลดังเอื่อย ๆ ประสานกับเสียงพูดคุยของชาวบ้านที่พากันมุ่งหน้าไปตลาดเช่นเดียวกัน
ตลาดหมู่บ้านตั้งอยู่กลางลานกว้าง มีทั้งแม่ค้าขายผัก ผลไม้ ไข่เป็ดไข่ไก่ รวมถึงเครื่องปั้นดินเผาและผ้าทอมือ
กลิ่นขนมถั่วบดและแป้งทอดลอยคลุ้งชวนให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้าน
แม้ มู่หว่านเหยา จะแต่งกายเรียบง่าย ผ้าฝ้ายสีอ่อนทอด้วยมือ ผมถักเปียม้วนขึ้นอย่างเรียบร้อย ทว่ากิริยาท่าทางของนางกลับแฝงความอ่อนช้อยสง่างามอย่างยากจะปิดบังได้
แต่ละก้าวเดินของนางมีระเบียบ เรียบละเมียด เป็นสตรีชั้นสูงที่ผ่านการอบรมมาอย่างดี
ตรงกันข้ามกับ หานเจ๋อ ที่เดินเคียงอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มในเสื้อผ้าเก่าซีดจากแสงแดด ผิวดำคล้ำเพราะแรงงานกลางทุ่งนา มือใหญ่เต็มไปด้วยรอยด้านและรอยแผลจากการทำงานหนัก
ทว่าดวงตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความซื่อและอบอุ่น
เมื่อทั้งคู่เดินเคียงกันผ่านตลาดจอแจ
ภาพนั้นสะดุดสายตาผู้คนไม่น้อย
หญิงสาวผู้มีท่วงท่างามละมุนดุจบุปผาในวัง กับชายชาวนาผิวเข้มที่ยิ้มเรียบง่าย ภาพคู่นี้ขัดแย้งอย่างประหลาด แต่กลับดูไม่ใช่นายบ่าว...
เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นเป็นระลอก
“เจ้าไม่รู้หรือ นั่นคือหานเจ๋อ... ชาวนาที่แต่งกับบุตรสาวขุนนางต้องโทษนั่นเอง”
“อะไรนะ? หญิงสูงศักดิ์จะอยู่กับกินกับชาวนาเนี่ยนะ?”
“ข้าก็ว่าอยู่ ใบหน้านางช่างงามเหลือเกิน ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนบ้านนาแน่ ๆ”
“ฮึ! ถึงงามเพียงใดก็เถอะ สุดท้ายก็ต้องอยู่กับชายผิวคล้ำในท้องนา ไม่รู้จะทนได้กี่เดือนกันเชียว”
“แต่ดูสิ หานเจ๋อท่าทางรักนางยิ่งนัก”
เสียงซุบซิบเจือทั้งความอยากรู้อยากเห็นและความเย้ยหยันแผ่วลอดตามหลังพวกเขาไป
บางคนหัวเราะคิกคัก บางคนทำเพียงส่ายหน้า แต่สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องหญิงสาวผู้นั้น ราวกับกำลังเฝ้ามองเรื่องราวแปลกประหลาดที่ยากจะเชื่อ หว่านเหยายังคงซื้อของที่ต้องการไม่ได้ใส่ใจคำพูดเหล่านั้น
พอซื้อของเสร็จก็ชวนหานเจ๋อกลับ
หานเจ๋อคิ้วขมวดแน่น ใบหน้าที่เคยยิ้มกลับกลายเป็นเคร่งขรึม เขาหันมองรอบข้างทีละน้อย ก่อนก้มศีรษะลงพยายามเดินให้เร็วขึ้น
มู่หว่านเหยาเองก็รับรู้ได้ถึงเสียงเหล่านั้นทุกถ้อยคำ มุมปากยกขึ้นน้อย ๆ นางคิดในใจ “ไม่ว่ายุคใดสมัยใด เรื่องนินทาก็ไม่เคยสูญสิ้น...”
“หานเจ๋อ...” เสียงของนางแผ่วเบา
ชายหนุ่มที่เดินนำอยู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมา
ในดวงตาที่เคยขุ่นมัวเพราะโทสะค่อย ๆ คลายลง เหลือเพียงความอ่อนโยนและห่วงใย
มู่หว่านเหยามองเขาแผ่ว ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ
“อย่าใส่ใจเลย คำพูดของคนมีไว้ให้ผ่านไป ไม่ใช่ให้จดจำ”
หานเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาเขาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
พวกเขาเดินไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงโกลาหลจากลำคลอง
ชาวบ้านหลายคนกำลังยืนล้อมวงส่งเสียงร้องตระหนก
“ช่วยด้วย! เด็กตกน้ำ!”
“รีบขึ้นมาเร็ว!”
หานเจ๋อวางตะกร้าทันที รีบวิ่งเข้าไปดูพร้อมหว่านเหยา
ที่ริมตลิ่งมีชายสองคนกำลังช่วยกันดึงร่างเด็กหญิงตัวเล็กขึ้นจากน้ำ แต่ร่างนั้นแน่นิ่ง ดวงหน้าเขียวคล้ำ ไร้ลมหายใจ
“ไม่หายใจแล้ว!” หญิงชราผู้หนึ่งร้องเสียงสั่น
ทุกคนต่างลนลาน ไม่มีผู้ใดรู้จะทำอย่างไร
หว่านเหยาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย สัญชาตญาณและความรู้จากชาติเดิมพลันตื่นขึ้น
“วางเด็กลงบนพื้นราบ!” นางเอ่ยเสียงหนักแน่น
หานเจ๋อได้ยินดังนั้นก็รีบช่วยประคองเด็กให้นอนหงายบนพื้น
หว่านเหยาคลายเสื้อผ้าเด็กให้หลวมขึ้น ตรวจการหายใจ แล้วเริ่มกดหน้าอกตามจังหวะ
“หนึ่ง… สอง… สาม… สี่… ห้า…”
มือของนางกดลงบนอกเล็ก ๆ อย่างมั่นคงและแม่นยำ
เสียงชาวบ้านรอบข้างเงียบลง มีเพียงเสียงหัวใจของทุกคนที่เต้นระรัวกับจังหวะการกดของนาง
ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่หยุด
หานเจ๋อยืนมองอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและประหลาดใจ
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงไอแผ่ว ๆ ดังขึ้น เด็กน้อยสำลักน้ำออกมาทีละน้อย ก่อนจะเริ่มร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“หายใจแล้ว! เด็กหายใจแล้ว!” เสียงผู้คนตะโกนด้วยความดีใจ
มู่หว่านเหยาปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก หัวใจเต้นแรงแต่แววตาสงบ นางลูบหัวเด็กเบา ๆ “ไม่เป็นไรแล้ว...เจ้าปลอดภัยแล้ว”
ท่ามกลางเสียงชาวบ้านที่โห่ร้องดีใจ
บุรุษผู้หนึ่ง ยืนอยู่ไม่ไกลจากลำคลอง เงาร่างสูงในอาภรณ์เรียบสีหม่นปนเทาเข้ม ราวกับส่วนหนึ่งของหมอกแดดยามบ่ายที่เลือนราง ดวงตาคมดั่งคมมีดนั้นกลับจับจ้องมาที่มู่หว่านเหยาอย่างไม่วางตา
มู่หว่านเหยา รู้สึกได้ถึงแรงมองนั้น เย็นเฉียบและหนักอึ้งจนขนลุกไปทั้งแผ่นหลัง
นางหันไปเพียงชั่วครู่ ดวงตาสบกับแววตาลึกลับของบุรุษผู้นั้นพอดี
ตอนที่ 8 เสียศักดิ์ศรีไม่ได้ บรรยากาศหลังมื้อค่ำยังอุ่นอบอวลด้วยกลิ่นไม้สดจากกองฟืนที่หานเจ๋อกำลังผ่าดัง พั่ก…พั่ก เป็นจังหวะสม่ำเสมอมู่หว่านเหยานั่งอยู่บนตั๋งเล็ก ๆ มือรองคางสายตาของนางจับจ้องไปยัง กล้ามอกกว้างที่ขยับตามแรงฟันฟืนแผ่นหลังแข็งแรงกำยำลำแขนที่เต็มไปด้วยพลังจากการทำงานหนักทั้งวันสายตาของนางไล่ลงต่ำอย่างเผลอตัวหยุดอยู่ตรง “ช่วงท้องแข็งแกร่ง” ที่โผล่พ้นสาบเสื้อออกมานิด ๆแน่น…และคงหนักหน่วงไม่น้อยเวลาถูกกอดรัดความคิดนั้นแล่นวาบขึ้นมาจนลำคอหว่านเหยาร้อนผ่าวนางต้องลอบกลืนน้ำลายเบา ๆปลายหูแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัวบุรุษผู้นี้ไม่เพียงหน้าตาดียังซื่อสัตย์ อ่อนโยน รักมั่น…บุรุษดีถึงเพียงนี้ มันควรต้องได้ครอบครองเขาไว้กับตัวและพอนางได้พรข้อนั้น นางจะเลี้ยงดูเขาเองเขาจะต้องกลายเป็นของนาง อ่า...แต่จะให้โถมใส่ตรง ๆ ก็ดูไม่งามสำหรับสตรีเสียศักดิ์ศรีแย่มู่หว่านเหยากัดริมฝีปากเบา ๆสายตาหรี่ลงอย่างนึกหาวิธี“จะเริ่มอย่างไรดีนะ…”นางเอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับคิดแผนร้ายที่หอมหวานรอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากยิ้มแบบสตรีที่ตั้งใจจะ “ล่อลวง”สามีของตนเองให้หลงจนหมด
ตอนที่ 7 ญาณพิเศษ หานเจ๋อวางถาดอาหารลงบนโต๊ะไม้เก่าอย่างเบามือ แต่หญิงสาวบนตั่งกลับยังมองออกไปนอกหน้าต่างราวสติล่องลอยอยู่ที่อื่นเขาจึงเอ่ยเสียงทุ้มอ่อน“คิดอะไรอยู่หรือ”มู่หว่านเหยากระพริบตา ดึงความคิดกลับมาจากห้วงลึกนางหันไปมองเขาเล็กน้อยก่อนตอบอย่างเก้อเขิน “คิดเพลินไปหน่อย…ท่านทำมื้อเย็นเสร็จแล้วหรือ ข้าแย่จริง ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”หานเจ๋อส่ายหน้าเบา ๆน้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใยจนอบอุ่นคล้ายผ้าห่มในฤดูหนาว “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเท่านี้ข้าทำได้ เจ้าพึ่งหายป่วย ออกไปตลาดทั้งวันแล้วยังช่วยเด็กคนนั้นอีก”เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยช้า ๆ เน้นทุกคำด้วยความใส่ใจ“เจ้าควรพัก…พักให้มาก ๆ ด้วยซ้ำ”เขาผลักถ้วยอาหารเข้าหานาง “มากินข้าวเถอะ จะได้รีบพักผ่อน” คำพูดเรียบง่ายแต่แฝงความอ่อนโยนของหานเจ๋อทำให้มู่หว่านเหยาหลุบตาลงความวุ่นวายทั้งวันที่พัดพาเข้ามาเหมือนลมแรง ค่อย ๆ สงบลงราวกับถูกมืออบอุ่นปลอบประโลมให้เงียบเสียงอนาคตของนางกับบุรุษผู้นี้…จะเป็นเช่นไรนะความคิดผุดวาบขึ้นมาราวควันบาง ตีวงในอกนางเบา ๆพลันความทรงจำจากชาติเดิมก็แล่นเข้ามาหากเป็นเมื่อก่อน…นางคงโทรหามินตริตา ชวนก
ตอนที่ 6 ชดเชยเพียงสบตากันในเสี้ยวลมหายใจนั้นบุรุษผู้นั้น ก็รับรู้ได้ทันทีว่า นางรู้จักเขามือเรียวยาวสะบัดเล็กน้อยจากนั้นโลกทั้งใบคล้ายหยุดเคลื่อนไหว เสียงลม เสียงน้ำ เสียงผู้คน... ล้วนเงียบหายไปหยุดห้วงเวลาเหลือเพียงดวงตาสองคู่ที่ประสานกันกลางหมอกแดดราง ๆแววตาของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึงและระแวดระวังส่วนแววตาของเขา... เย็นเยียบและลึกล้ำจนยากหยั่งถึงคล้ายรอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนมุมปาก แต่กลับทำให้บรรยากาศรอบตัวเย็นวูบลงอย่างประหลาดบุรุษผู้นั้นก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้า ๆทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นเมื่อระยะห่างเหลือเพียงไม่กี่ก้าว เขาหยุดตรงหน้ามู่หว่านเหยา“เจ้าเป็นผู้ใด... เหตุใดรู้จักข้า” เสียงของเขาดังขึ้นต่ำและชัดเจน ราวกับเสียงสะท้อนจากก้นบึ้งแห่งหุบเหวคำถามนั้นแฝงแรงอำนาจจนแม้เพียงลมหายใจก็คล้ายหยุดไหลเวียนแต่ทั้งที่เอ่ยถาม ชายหนุ่มกลับไม่รอคำตอบจากนางเลยปลายนิ้วเรียวยาวของเขาเพียงสะบัดเบา ๆ —แรงลมอันเย็นวาบพุ่งเข้าหามู่หว่านเหยาอย่างรวดเร็วก่อนที่นางจะทันรู้ตัวสติของนางดับวูบ ร่างทั้งร่างทรุดลงราวสายลมถูกสูบออกจากอกชายหนุ่มยื่นมือข้างหนึ่งแตะลงกล
ตอนที่ 5 นินทารุ่งเช้าแสงแดดยังอ่อนจัดจ้าผ่านม่านหมอกบาง ๆ ที่คลี่คลุมท้องนาเสียงไก่ขันแว่วจากเรือนใกล้ ๆ ตามด้วยเสียงควายลากไถจากทางหมู่บ้าน มู่หว่านเหยาเก็บตะกร้าหวายใบเล็กใส่เหรียญเงินที่หานเจ๋อมอบให้เมื่อคืน แล้วคลุมผ้าบางสีอ่อนคล้ายแพรทอมือเมื่อออกมาหน้าเรือน หานเจ๋อก็ยืนรออยู่ก่อนแล้วเขายิ้มบาง ๆ หว่านเหยายิ้มตอบกล่าว “ไปกันเถอะ”น้ำเสียงของนางนุ่มนวลขึ้นกว่าทุกวันจนหานเจ๋อสติแทบจะล่องลอยทั้งสองเดินเคียงกันไปตามทางดินเลียบคันนาหยาดน้ำค้างเกาะบนยอดหญ้าเป็นประกาย สายลมเช้าเย็นสบายจนผมของหญิงสาวปลิวระเริง เสียงล้อเกวียนจากระยะไกลดังเอื่อย ๆ ประสานกับเสียงพูดคุยของชาวบ้านที่พากันมุ่งหน้าไปตลาดเช่นเดียวกันตลาดหมู่บ้านตั้งอยู่กลางลานกว้าง มีทั้งแม่ค้าขายผัก ผลไม้ ไข่เป็ดไข่ไก่ รวมถึงเครื่องปั้นดินเผาและผ้าทอมือกลิ่นขนมถั่วบดและแป้งทอดลอยคลุ้งชวนให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้านแม้ มู่หว่านเหยา จะแต่งกายเรียบง่าย ผ้าฝ้ายสีอ่อนทอด้วยมือ ผมถักเปียม้วนขึ้นอย่างเรียบร้อย ทว่ากิริยาท่าทางของนางกลับแฝงความอ่อนช้อยสง่างามอย่างยากจะปิดบังได้แต่ละก้าวเดินของนางมีระเบียบ เรียบละเมียด เป็น
ตอนที่ 4 รับไมตรีหานเจ๋อกลับมาถึงเรือนยามเย็นพอเห็นมู่หว่านเหยากำลังขุดแปลงดินอยู่ด้านหลัง ก็รีบวางของในมือลงแล้วก้าวเข้าไปหา“เจ้าทำอะไรน่ะ ทำไมไม่รอข้า”เขาเอ่ยเสียงเต็มไปด้วยความตกใจและเป็นห่วงมู่หว่านเหยาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พลางยิ้มบาง “ข้าแค่อยากเตรียมแปลงไว้ก่อน จะได้ปลูกพืชทันฝนหน้า”นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเบา ๆ “แต่ตอนนี้...ข้ายังไม่มีเมล็ดพันธุ์ หากท่านพอมีเงินสักเล็กน้อย ข้าขอไว้ซื้อหรือแลกเมล็ดปลูกได้หรือไม่”หานเจ๋อชะงักไปทันที ดวงตาเบิกเล็กน้อย ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้“ข้าไม่รอบคอบเอง...”เขาพูดพลางรีบเดินเข้าเรือน ไม่นานก็กลับออกมาพร้อมถุงผ้าขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ในช่องไม้ตรงมุมผนังเขาวางมันลงบนมือของนางอย่างไม่ลังเล“นี่คือเงินทั้งหมดที่ข้ามี เจ้าอยากใช้ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ใจจะซื้อเมล็ดพันธุ์หรือของจำเป็นอื่น ๆ ก็ได้ทั้งนั้น ข้าเชื่อเจ้า”มู่หว่านเหยาชะงักไปเล็กน้อย มองถุงเงินในมืออยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกบางอย่างแผ่วผ่านในอก ทั้งซาบซึ้งทั้งเกรงใจหานเจ๋อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปจึงเอ่ยเสียงนุ่ม“เจ้าไปนั่งพักเถอะ ตรงนี้ข้าจะทำต่อเอง”น้ำเสียงนั้นเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอ
ตอนที่ 3 โชคชะตานำพานางจ้องมองใบหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบาแต่สั่นจากความรู้สึกที่บอกไม่ถูก“เหตุใด...เหตุใดเจ้าจึงต้องดีกับข้าเพียงนี้...”คำถามนั้นมิใช่เพียงการสงสัยในความหวังดีของเขาหากแต่เป็นการถามถึงโชคชะตาที่ทำให้นางได้พบคนอย่างหานเจ๋อหานเจ๋อชะงัก เขาไม่คิดว่าหญิงสาวจะเอ่ยถามเขาหลบสายตาหญิงสาว แล้วเอ่ย“เจ้าคงจำข้าไม่ได้...เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ข้าประมาณแปดขวบ เกือบถูกรถม้าของเจ้าชน..คนขับรถตำหนิที่ข้าไม่ดูทางให้ดี เป็นเจ้าที่ออกปากปกป้องแล้วยังแบ่งขนมจากหอชิวอี้ให้ข้า” หว่านเหยาเริ่มจำได้ลาง ๆ ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เหตุการณ์นั้นมีอยู่จริงภาพเด็กชายตัวเล็กที่ล้มอยู่กลางถนน เสียงรถม้าที่หยุดกระทันหัน และขนมที่ถูกยื่นให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน... ล้วนผุดขึ้นมาในใจอย่างช้า ๆนางเข้าใจในทันทีสำหรับเขา เด็กชายในวันนั้น คงเป็นครั้งแรกที่หัวใจสั่นไหว“รักแรกพบ...” นางพึมพำในใจอย่างแผ่วเบานับแต่นั้น หานเจ๋อคงเฝ้ามองนางมาโดยตลอด แม้ระยะทางระหว่างชนชั้นจะไกลเพียงใด เขาก็ยังเก็บภาพนั้นไว้ในใจ...ไม่เคยลืมเลยแม้เพียงวันเดียวเป็นรักที่อบอุ่นจริงๆ เสียดายสตรีผู้น







