Home / อื่น ๆ / “เจ้าสาวของขุนศึกเงา” / บทที่ 13 — ดินแดนที่ไม่เคยมีผู้ชนะ

Share

บทที่ 13 — ดินแดนที่ไม่เคยมีผู้ชนะ

Author: mafath9
last update Huling Na-update: 2025-06-11 14:53:54

บทที่ 13 — ดินแดนที่ไม่เคยมีผู้ชนะ

“เราไม่ได้ต่อสู้เพื่อชัยชนะ

แต่เพื่อไม่ให้ความพ่ายแพ้ของเราไร้ค่า”

— อินาริ ฮมเมียว


บทที่หนึ่ง: สนธิสัญญาเงา

ในคืนหนึ่งกลางป่าซากุระร่วงโรย

อินาริพบกับผู้นำตระกูลทาคาซึกิ — “ท่านโชเร็น”

ทั้งสองตระกูลเคยเป็นพันธมิตรทางจิตวิญญาณ

แต่บัดนี้ต้องหันหน้าเจรจาในฐานะผู้ถูกบีบจากทุกทิศ

โชเร็น: “ข้าคิดเสมอว่าท่านจะเป็นผู้ส่องแสงในยุคสมัย

บัดนี้…ท่านกลายเป็นเพียงเงาของคบไฟเก่า”

อินาริ: “ข้ายังส่องแสง เพียงแต่แสงนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านอยากเห็น”

ทั้งสองจับมือกันเพื่อสร้าง "ข้อตกลงทูตลับ"

แลกเปลี่ยนการปกป้องแคว้นกับการเปิดประตูศาสนสถานในเขตทาคาซึกิ

แต่อินาริรู้ดีว่า สนธิสัญญานี้ไม่มีวันถูกรักษา

เพราะทั้งสองต่างกำลังจมในทรายดูดแห่งความสงสัย


บทที่สอง: เด็กผู้ถือไฟ

“อาซึกะ” เด็กหญิงจากหมู่บ้านฮาราโนะ

เคยได้รับการช่วยเหลือจากพระอินาริเมื่อตอนน้ำท่วม

บัดนี้เธอกลับเป็นผู้ลุกขึ้นเผาศาลเจ้าที่เคยศรัทธา

อาซึกะ: “แม่ของข้าตาย แต่พระไม่มา

ข้าไม่ต้องการพระที่เลือกช่วยเพียงบางคน!”

เธอกลายเป็นสัญลักษณ์แห่ง "การลุกขึ้นของศรัทธาที่หมดศรัทธา"

กลายเป็นเครื่องมือที่โชคินำไปโปรโมตในทุกหมู่บ้าน

โดยไม่รู้เลยว่าเด็กผู้นี้กำลังกลายเป็น “ธงในสนามรบที่ไม่มีบ้าน”


บทที่สาม: เลือกฝั่งผิด หรือไม่มีฝั่งให้เลือก

อากิระเริ่มตั้งคำถามต่ออินาริอย่างเปิดเผยมากขึ้น

แม้เขายังจงรักภักดี แต่หัวใจเริ่มคลางแคลง

อากิระ: “หากเราต้องต่อสู้กับทุกคน

แล้วเราจะปกป้องใคร?”

อินาริ: “ข้าจะปกป้อง ‘วิธีคิด’ ไม่ใช่คน

เพราะคนเปลี่ยนข้าง…แต่วิธีคิดจะอยู่เหนือชัยชนะ”

แต่ประชาชนไม่เข้าใจ

ในสายตาพวกเขา อินาริคือผู้นำศาสนาที่จมอยู่ในคำพูด และไม่เคยปกป้องพวกเขาด้วยดาบ


บทที่สี่: เมื่อทูตกลายเป็นนักฆ่า

ระหว่างการส่งคนไปเจรจากับเมืองชินเซย์

ทูตของอินาริถูกลอบฆ่ากลางทาง

ข่าวลือแพร่กระจายว่าอินาริตั้งใจ “ลวง” เพื่อล้มการเจรจา

ข้อความบนศพเขียนไว้ด้วยเลือด:

“พระที่ไม่พาใครข้ามแม่น้ำ…ก็สมควรถูกผลักลงไปก่อน”

อินาริไม่แถลง

ไม่โต้ตอบ

เขาเพียงจุดคบเพลิงในศาลาว่างของเขา และเฝ้ามองเปลวไฟสะท้อนบนหน้าอันสงบนิ่ง


บทที่ห้า: บาปของผู้ไม่ทำอะไรเลย

ในสภาของเครือแคว้น

ตัวแทนตระกูลต่าง ๆ เริ่มลงมติ “ตัดสิทธิ์ศาสนาของอินาริออกจากการปกครอง”

แม้จะยังไม่มีการรุกรานโดยตรง

แต่บัดนี้อินาริกลายเป็น “คนแปลกหน้า” ในโลกที่เขาเคยเป็นศูนย์กลาง

ผู้นำตระกูลนาระ: “เขาไม่ทำบาป…

แต่เขาปล่อยให้บาปเกิดขึ้นโดยไม่ยื่นมือ”

โชคิ: “ผู้ที่เงียบในวันที่ต้องพูด คือผู้ร่วมมือในความชั่วร้าย”


บทส่งท้าย: ดินแดนที่ไม่มีผู้ชนะ

อินาริกลับมาที่ศาลเจ้า

พบกับชิราโนะ ที่เฝ้ามองเทียนสุดท้ายใกล้มอด

ชิราโนะ: “ท่านหวังจะให้ความดีชนะในดินแดนที่ไม่มีใครชนะ?”

อินาริ: “ข้าไม่ต้องการชนะ

ข้าแค่อยากให้คนรุ่นหลังยังเชื่อว่า

มีคนที่เคยไม่ยอมจำนน”

ศาลเจ้ากลางป่ากลายเป็นเพียงเงา

แต่ในความเงียบนั้น

เสียงของผู้ที่ยังเชื่อ…ยังคงกระซิบในสายลม


บทที่ 13 จบ

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 129: พระที่ล้มแท่นของตน

    “พระที่ล้มแท่นของตน”พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน“เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหูบางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ”วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะเสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำเรียกชาวบ้านให้สวดตามสั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า“คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด”แต่วันหนึ่งเสียงระฆังเงียบไม่มีใครตีไม่มีเสียงสวดมีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผาพระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึกชื่อของเขาคือ “คันริว”ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเองเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถามเขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิดเคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย”แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัดที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสนเขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา“เสียงที่แม่ร้องไห้”“ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง”“เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี”เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียนจนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตกเด็กที่เดินฝ่าฝนเข้าวัด โดยไม่ไหว้พระเด็กชายอายุราวแปดขวบชื่อ "อิโตะ"

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 128: แผ่นดินที่ไม่มีตำรา

    แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 127: พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง

    พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 126: ผู้เงียบที่เริ่มพูด

    ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 125: บทที่ไม่มีผู้เขียน

    บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 124: บ้านที่ไม่มีประตู

    บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status