Home / รักโบราณ / “เจ้าสาวของขุนศึกเงา” / 12 การคืนชีพของวิญญาณ (รีไรท์)

Share

12 การคืนชีพของวิญญาณ (รีไรท์)

Author: mafath9
last update Huling Na-update: 2025-06-11 00:52:24

บทที่ 12: การคืนชีพของวิญญาณ

แสงสว่างอันเจิดจ้าที่พุ่งออกมาจากตัวอากิระค่อย ๆ จางหายไปอย่างเชื่องช้า ละลายความมืดมิดในห้องโถงให้กลับคืนสู่ความสงบ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอับชื้นของซากปราสาทและกลิ่นโลหิตจาง ๆ ที่ยังคงติดค้างอยู่ในอากาศ อสูรเงาของทาเคชิได้สลายไปแล้ว เหลือเพียงร่างของเขาที่ล้มกองอยู่บนพื้นอย่างหมดสิ้น ซึ่งแสดงถึงความพ่ายแพ้ที่สมบูรณ์แบบของอำนาจที่เขาเคยครอบครอง

อากิระทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง ลมหายใจของเธอขาดห้วงและหนักหน่วงราวกับว่าร่างกายของเธอถูกสูบฉีดพลังทั้งหมดออกไปจนหมดสิ้น แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่และคุ้นเคยที่หลงเหลืออยู่ มันไม่ใช่พลังของเธอเพียงคนเดียว แต่เป็นพลังของคาเงะที่ยังคงอยู่ในตัวเธอ ราวกับสายน้ำอุ่นที่ไหลเวียนอยู่ในทุกอณูของร่างกาย

"คาเงะ…" อากิระเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา เธอหันมองไปที่พื้นที่ว่างเปล่าข้างกาย หวังว่านี่จะไม่ใช่แค่ภาพหลอนที่เกิดจากความเหนื่อยล้า แต่ในทันทีนั้น เงาของคาเงะก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ เงาที่ดูโปร่งแสงและสั่นไหวราวกับภาพสะท้อนในผืนน้ำ

"เจ้าทำได้" เสียงของคาเงะดังก้องในหัวของเธอ ราวกับเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ก้องกังวาน "เจ้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด"

อากิระมองเขาด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เธอไม่รู้ว่านี่คือภาพลวงตา หรือเป็นวิญญาณของเขาจริง ๆ แต่ความเจ็บปวดในอกของเธอก็เป็นของจริง

"เจ้าต้องอยู่กับข้า" อากิระพูดเสียงสั่น น้ำเสียงที่เคยหนักแน่นในยามต่อสู้กลับกลายเป็นความเศร้าโศกอย่างที่สุด "เจ้าต้องไม่ทิ้งข้าไป"

คาเงะยิ้มบาง ๆ ยื่นมือที่โปร่งแสงของเขามาสัมผัสใบหน้าของเธอ สัมผัสที่เย็นเยือกแต่กลับรู้สึกอบอุ่นในใจ "ข้าไม่เคยจากเจ้าไปไหน" เขาพูดเสียงแผ่ว "ข้าจะอยู่ในตัวเจ้า… ในทุกย่างก้าวของเจ้า… ทุกการหายใจของเจ้า"

คำพูดของเขาเหมือนดาบที่คมกริบแต่ก็อ่อนโยนในเวลาเดียวกัน มันกรีดลึกลงไปในหัวใจของอากิระจนทำให้เธอเจ็บปวดอย่างที่สุด เธอรู้สึกถึงความหวังอันริบหรี่ที่กำลังจะดับลงต่อหน้าต่อตา เธอพยายามจะเอื้อมมือไปจับเขาไว้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้

"เราจะกลับมาพบกันใหม่" คาเงะพูดเสียงแผ่วเบา แล้วเงาของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไปในอากาศ เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าที่บาดลึกในหัวใจของอากิระ

อากิระร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีเสียง เธอทรุดตัวลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้เพียงลำพังในโลกที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ความเงียบในห้องโถงกึกก้องจนน่ากลัว และความเหงาก็กัดกินหัวใจของเธออย่างช้า ๆ

ในขณะที่เธอกำลังจมอยู่ในความเศร้า จู่ ๆ ก็มีแสงสว่างหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้องโถง แสงนั้นไม่ใช่แสงจากตะเกียงหรือจากดวงอาทิตย์ แต่เป็นแสงที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตที่ทำให้เธอต้องหลับตาลง และเมื่อเธอเปิดตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็ได้เห็นวิญญาณของคาเงะที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธออีกครั้ง

แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้เป็นเพียงเงาที่โปร่งแสง เขาดูเหมือนมนุษย์มากขึ้น มีเลือดเนื้อและลมหายใจ ราวกับว่าเขาไม่ได้หายไปไหนเลย

"ข้ากลับมาแล้ว" คาเงะพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น

อากิระมองเขาด้วยความสับสนและไม่แน่ใจ "เจ้ากลับมาได้อย่างไร?"

"เจ้าคือผู้ที่ให้ชีวิตข้า" คาเงะตอบ ดวงตาของเขาส่องประกายไปด้วยความรัก "เจ้าใช้พลังของเจ้าเพื่อคืนชีพให้ข้า... พลังที่เกิดขึ้นจากความรักและความเสียสละ"

อากิระยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เธอไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เธอพุ่งเข้าไปกอดเขาอย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เธอโหยหามาตลอด และในที่สุดเธอก็ได้กลับมาอยู่กับคนที่เธอรักอีกครั้ง

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 129: พระที่ล้มแท่น

    “พระที่ล้มแท่น” พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน “เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหู บางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ” วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะ เสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำ เรียกชาวบ้านให้สวดตาม สั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบ ก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า “คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด” แต่วันหนึ่ง เสียงระฆังเงียบ ไม่มีใครตี ไม่มีเสียงสวด มีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผา พระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึก ชื่อของเขาคือ “คันริว” ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเอง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถาม เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิด เคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย” แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัด ที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสน เขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา “เสียงที่แม่ร้องไห้” “ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง” “เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี” เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตก เด็กที่เดินฝ่าฝนเข้า

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 128: แผ่นดินที่ไม่มีตำรา

    แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 127: พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง

    พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 126: ผู้เงียบที่เริ่มพูด

    ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 125: บทที่ไม่มีผู้เขียน

    บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา

  • “เจ้าสาวของขุนศึกเงา”   บทที่ 124: บ้านที่ไม่มีประตู

    บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status