Masukภายในรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ตามทางคันนี้มีสองสตรีกำลังนั่งอยู่ในนั้น
หนึ่งในสตรีสองนางนี้คือเฉินเจียวเหมย นางกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่สุดในชีวิตสตรีของนาง
มันเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่อาจจะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้
นางเสียบริสุทธิ์ให้กับบุรุษแปลกหน้า
นางเสียบริสุทธิ์ให้กับบุรุษไปแล้วทั้งๆ ที่นางยังมิเคยได้มีคนรัก ทั้งยังมิได้แต่งงาน
หากว่าวันหนึ่งนางเกิดปักใจรักใครขึ้นมา หรือหากว่าวันหนึ่งนางเกิดได้แต่งงานกับใครขึ้นมา แล้วนางจะต้องทำอย่างไร
หากว่านางได้แต่งงานกับเขาแล้วสิ่งที่นางได้ทำผิดพลาดไปในวันนี้เล่า นางจะสามารถหลวกลวงบุรุษผู้ที่เป็นคนรักของนางได้หรือไม่
นางจะลืมอดีตในวันนี้ได้หรือ หากในภายภาคหน้านางได้แต่งงานกับใครสักคนหนึ่งไป
แน่นอนว่านางทำไม่ได้ นางไม่สามารถหลอกลวงใครได้โดยเฉพาะกับตนเอง
นางจะทำอย่างไรดี นางพลาดไปแล้วอย่างนี้ แล้วนางจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างไร เรื่องที่ผิดพลาดในครั้งนี้ มันใช่เรื่องน้อยนิดเสียที่ไหน มันคือทั้งชีวิตของนางเลยใช่หรือไม่
นางควรทำอย่างไรดี...
“อาเหมย” เสียงแว่วหวานของสตรีนามว่าหลิวหลีภรรยาคนงามของจูหยวนจางสหายของเฉินเจียวเหมยเอ่ยขึ้น เสียงนั้นดึงสติของเฉินเจียวเหมยในทันที
หลิวหลียังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหวานล้ำแฝงความห่วงใย “เจ้าเป็นอะไร เจ้าหนีใครมาหรือ อาเหมย”
“ป่ะ เปล่านะ ข้ามิได้หนีใคร” เฉินเจียวเหมยรีบตอบ “ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า ข้าอยากตามไปดูแลเจ้าหากว่าเจ้าตั้งครรภ์”
“อืม...เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” หลิวหลีเอ่ยแค่นั้นแม้จะรู้สึกห่วงใยเฉินเจียวเหมยอยู่มาก แต่ทว่า...หากเฉินเจียวเหมยไม่อยากบอกกล่าว นางก็ไม่อาจเซ้าซี้ได้แต่อย่างใด
หลิวหลีเพียงนั่งเงียบงันไร้วาจาใดๆ คงเหลือไว้เพียงดวงตาที่แสดงออกถึงความห่วงใยแค่เพียงเท่านั้นที่ส่งตรงให้เฉินเจียวเหมยในยามนี้
เฉินเจียวเหมยนั้นไม่อาจบอกเล่าเรื่องราวปัญหาชีวิตที่มืดหม่นของตนให้ใครฟังได้ มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจเล่าสู่ให้ใครฟังได้แต่อย่างใด มันเป็นเรื่องที่อัปยศอดสูเป็นที่สุด มันไม่ควรเกิดขึ้นกับนาง
หญิงสาวคิดในใจอยู่อย่างนั้นพลางเมียงมองออกไปทางนอกหน้าต่างของรถม้าอย่างระแวงอยู่ตลอดเวลา
หึ! เขาอยู่ตรงนั้น บนหลังม้านั่น เขาผู้นั้น
นางอับอายจนอยากจะเอาหน้างามๆ ของนางมุดเข้าไปในดินเหลือจะกล่าว นางอับอายเกินกว่าจะสู้หน้าของเขาได้ไหว นางไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคมกริบของเขา มันน่าอายเกินไป น่าอายเหลือเกิน เฉินเจียวเหมยยังคงครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น พลางนั่งพิงผนังรถม้าอย่างเหม่อลอย
ยิ่งคิดยิ่งน่าอาย มันอับอายจนมิรู้ได้ว่าจะพรรณนาออกมาว่าอย่างไรดี ยามนี้ นางไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลย เรื่องในคืนนั้นมันเป็นตราบาปของนาง
ช่างน่าชังนัก! นางตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ได้อย่างไร
น่าอายจริงๆ
เฉินเจียวเหมยนั่งเหม่อลอยอยู่จนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มิรู้ได้ หญิงสาวจึงรู้สึกว่าหลิวหลีได้หายไปจากตำแหน่งข้างๆ กายของนาง แล้วแทนที่ด้วยใครบางคน
ใครบางคนที่…
ดวงตาเรียวยาวคมกริบทรงพลัง เรียวคิ้วพาดเฉียงคล้ายกระบี่ จมูกเป็นสันตั้งตรง ริมฝีปากได้รูปสีแดงสดน่าจดจำ อืม...
หือ!
เฉินเจียวเหมยพลันได้สติ เมื่อเห็นใบหน้าได้รูปของบุรุษตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
เขาเข้ามานั่งภายในรถม้าตั้งแต่เมื่อไหร่?
หญิงสาวถึงกับถลึงตาใส่บุรุษตรงหน้าพร้อมเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น ใบหน้าของนางพลันเห่อแดงขึ้นมาจนถึงใบหู ความอับอายยังคงมีอยู่ ทั้งยังมากมาย
กับบุรุษตรงหน้า กับกิจกรรมหรรษา กับลีลาเร่าร้อน
อา...นางจะทำอย่างไรดี มุดหน้าทางใดได้บ้างนี่ อับอายเหลือเกิน
เมื่อคิดได้แล้วก็หันซ้ายหันขวา หาที่ทางเตรียมมุดใบหน้าฝังเอาไว้ที่ใดซักที่
“อาเหมย...” เสียงทุ้มต่ำน่าฟังพลันดังขึ้นจากริมฝีปากสีแดงสดน่ากดจูบของบุรุษตรงหน้า
ทั้งน้ำเสียงทั้งนามเรียกขานทำเอาเฉินเจียวเหมยถึงกับตัวแข็งทื่อ
“ข้าจะเรียกเจ้าว่าอาเหมย ส่วนเจ้าก็เรียกข้าว่าอาหลง ดีหรือไม่” เขายังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จ้องมองนางเขม็ง
“ยามนี้ข้าไม่สะดวกให้เจ้าเรียกขานนามจริงของข้า เจ้าคงไม่ว่าอะไร” เขายังคงเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงน่าฟังเหลือเกิน
เฉินเจียวเหมยได้แต่มองตามริมฝีปากสีแดงๆ ของเขาโดยหาได้มีข้อมูลอันใดเข้าสมองของนางไม่
หากไม่เจอกันด้วยเหตุการณ์สุดระทึกอย่างนั้นก็คงดี
ไม่น่าเลย เฉินเจียวเหมย
และเพียงไม่นาน เนื้อตัวที่เย็นเยียบของเฉินเจียวเหมยพลันเปลี่ยนไปเป็นอุ่นร้อนขึ้นมาเนื่องจากว่าถูกเรือนร่างหนาแน่นและร้อนระอุของจ้าวจิ่นหลงบดเบียดเข้าแนบชิดจนสนิทแนบแน่นไร้ช่องว่างใดๆ ระหว่างกัน“อุ่นขึ้นหรือไม่” จ้าวจิ่นหลงกระซิบเสียงแหบต่ำตรงใบหูของเฉินเจียวเหมย“อ่ะ...อืม...” นางตอบด้วยน้ำเสียงเริ่มกระเส่า“เจ้าชอบ...” จ้าวจิ่นหลงก้มหน้าถามแนบชิด“ข้าชอบ...” เฉินเจียวเหมยครางตอบเสียงเบาจ้าวจิ่นหลงเพียงหัวเราะอยู่ในลำคออย่างถูกใจก่อนจะก้มหน้าลงฝังจมูกและริมฝีปากอุ่นชื้นกับลำคอระหงของนางและเริ่มต้นบทเพลงบรรเลงบทรักเพื่อเอาใจชายารักอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องในหน้าที่ของสวามีที่ดีเขาเติบโตมาท่ามกลางบิดาที่มีหลายภรรยา ตัวของเขาเป็นบุตรชายที่เกิดจากหนึ่งในภรรยาของบิดา จากภรรยาหลายๆ คนนั่นความรักที่ได้มาจึงมักจะถูกแบ่งสันปันส่วนจากพี่น้องต่างมารดา ถึงแม้ว่ามารดาของเขาจะเป็นถึงฮองเฮา แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่ามารดาของเขาก็ไม่เคยที่จะได้รับความรักจากสามีได้อย่างเต็มที่ เขาเคยเห็นมารดาของเขาแอบร่ำไห้น้อยใจอยู่หลายครั้ง จนถึงขั้นที่เคยคิดจะพาเขาหนีออกจากวัง จนเขาต้องเลือกที่จะทำงานหนัก เพื่อให้มา
“เจ้าไม่ควรทำอย่างนี้ อาเหมย มีอะไรเจ้าก็ควรบอกกล่าวแก่ข้า ข้ายอมเจ้าทุกอย่าง” จ้าวจิ่นหลงเอ่ยออกมาอย่างนั้น พลางเอื้อมมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าที่ทั้งเย็นเยียบทั้งแดงชาดของนางเบาๆ ตั้งแต่เจอกันเขายังไม่เคยเห็นสภาพอย่างนี้ของนางนางทำเขาใจสั่นไม่เบาเขาไม่อยากเสียนางไป เขารักนางถึงเพียงนี้ นางไม่สิทธ์ไปจากเขา ไม่ว่าด้วยวิธีใด โดยเฉพาะการทำร้ายตัวเองเฉินเจียวเหมยเหม่อมองใบหน้าของเจ้าจิ่นหลงในระยะประชิดใบหน้าของเขา ฝ่ามือของเขา สัมผัสของเขา กลิ่นอายของเขา อา...นางทำใจไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ นางหลงใหลเขาถึงเพียงนี้ นางทำใจไม่ได้แน่ๆ หากเขาจะต้องเข้าหอกับสตรีนางอื่น หากนางได้เห็นอย่างนั้นแล้วทำใจไม่ได้ สู้ไม่ต้องอยู่ไม่ต้องเห็นยังจะดีเสียกว่า“ข้ามิใช่สตรีที่ดี ข้าจะกลายร่างเป็นสตรีร้ายกาจเพียงใด หากต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังของท่าน คอยดูแลมวลบุบผาให้ท่าน อาหลง หากเป็นอย่างนั้น ข้าขอไปอยู่ดูแลผู้ยากไร้ในถิ่นฐานทุรกันดารยังดีเสียกว่า” เฉินเจียวเหมยเลือกที่จะเอ่ยออกมาตามตรงอย่างไม่คิดที่จะยินยอมใดๆ นางมักจะมีจุดยืนของนางจ้าวจิ่นหลงได้ฟังถึงกับนิ่งอึ้งไปแน่นอนว่านางคงคิดจะทำจริงๆ หากวันนั้นมาถ
ตามทางเดินทอดยาวระหว่างโรงน้ำชากับบ้านของเฟยเทียน เฉินเจียวเหมยกำลังเดินอย่างเร็วด้วยอาการเมามายคล้ายกับวิญญาณล่องลอยนางกำลังต้องการหนีมาทำใจเสียหน่อย นางต้องทำใจให้ได้ ภาพของอาหลงกำลังรื่นเริงบันเทิงยิ่งกับสตรีคนอื่นที่มิใช่ตัวนาง ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่านยากแก่การจัดการความเห็นแก่ตัวของตนอา...แย่แล้ว...ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่สะใภ้ของนางที่เป็นฮองเฮาถึงได้ใจร้ายยิ่งนักนางกำลังจะกลายร่างเป็นอย่างนั้นหากนางต้องไปแต่งงานกับอาหลงที่เป็นถึงรัชทายาทจริงๆ แล้วในภายภาคหน้าเขาได้ขึ้นครองราชย์แล้วต้องมีสนมหลายคนจริงๆ นางคงจะใจร้ายไม่แตกต่างจากพี่สะใภ้แน่ๆอา...หรืออาจจะร้ายยิ่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัยแย่แล้ว แย่แล้วเมื่อเข้ามายังห้องพักของเรือนรับรองได้แล้ว เฉินเจียวเหมยที่กำลังฟุ้งซ่านอย่างร้อนรุ่มเต็มขั้น จึงรีบเดินเข้าห้องอาบน้ำเพื่อที่หวังจะใช้การอาบน้ำช่วยให้ดับอารมณ์กรุ่นร้อนคล้ายดั่งลูกไฟที่กำลังปะทุอยู่ภายในอกให้มอดดับไปแต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลภายในจิตใจของนางยังคงรุ่มร้อนคล้ายกับเปลวไฟเผาผลาญ อยากจะแพ้วพานใส่เหล่าสตรีทุกนางให้ตายตกตามกันไปทุกคนอยากฆ่าพวกนางยิ่งนักเฉินเจี
เวลาแห่งการร่ำสุราผ่านไปอย่างเชื่องช้าเป็นชั่วยามผ่านไป เฉินเจียวเหมยพาร่างกายและสติที่เริ่มจะไม่อยู่กับร่องกับรอยด้วยอาการเมามายอย่างที่ไม่เคยเป็นเดินออกไปจากห้องแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่มิทราบได้ คงเหลือเอาไว้เพียงซูเซียว ซูฮวา และหย่าหลินยังคงนั่งดื่มกินอยู่ด้วยกันและเพียงไม่นานซูเซียวจึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเฟยเทียนที่กำลังนั่งร่ำสุราตามประสาบุรุษอยู่อีกห้องหนึ่งกับอาหลงและสหายอีกหนึ่งคนเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่พี่สาวคุยกับหย่าหลินจนเป็นเหตุให้อาเหมยคล้ายกับเปลี่ยนพฤติกรรมไปจนน่าเป็นห่วง “อาเหมยไปที่ใด” เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจของจ้าวจิ่นหลงถามขึ้นไปทางซูเซียวเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เป็นหัวข้อสนทนากันระหว่างซูฮวากับหย่าหลิน “ข้าไม่รู้ นางบอกแค่ว่าขอหนีไปทำใจ” ซูเซียวตอบตามจริงและเนื่องจากนางยังไม่รู้ว่าอาหลงมีฐานะใดนางจึงเอ่ยไปด้วยระโยคอย่างนั้น จ้าวจิ่นหลงพลันชะงักงันไป และเพียงอึดใจเขาจึงรีบลุกขึ้นแล้วก้าวเท้ายาวๆ ออกจากห้องแห่งนี้ไปในทันทีอย่างไม่รีรอ เฟยเทียนรีบลุกขึ้นมาประคองร่างบางของซูเซียวเอาไว้ พลางถามนางอย่างห่วงใย “เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”“ไ
เวลาแห่งการดื่มเหล้าหวังสานสัมพันธ์ไมตรีระหว่างกันผ่านไปอีกครู่ใหญ่ “นี่ๆ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าการแข่งขันของเมืองเราปีนี้ช่างสำคัญยิ่งนัก” หย่าหลินที่ดื่มเหล้าจนมึนเอ่ยออกมาอย่างเป็นกันเองไร้ความขุ่นเคืองใดๆ ไปเสียแล้ว “อันใด” ซูฮวานั่งท้าวคางถามออกไปอย่างมึนๆ เช่นเดียวกัน “การแข่งขันปีนี้หาใช่แค่การแข่งขันเพื่อแสดงออกถึงความสามารถประกาศศักดาเพื่อให้มีบุรุษมาหมายตาไม่แต่...” หย่าหลินอธิบายยาวเหยียดเว้นคำเพียงนิดเพื่อดื่มน้ำเมา แล้วเอ่ยต่อ “มันเป็นการคัดเลือกสาวงามผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเพื่อส่งตัวเข้าวัง” “ไปเป็นสนมหรือ” ซูฮวายังคงนั่งเอามือท้าวคางถามออกไปอย่างมึนๆ “มิใช่ๆ” หย่าหลินยังคงเอ่ย “เป็นของขวัญของกำนัลแด่องค์รัชทายาทอายุครบยี่สิบห้าชันษาต่างหากเล่า” แกร๊ง! จอกเหล้าถึงกับหลุดมือใครบางคน ซูเซียวถึงกับหันไปมองเฉินเจียวเหมยผู้เป็นเจ้าของจอกเหล้าจอกนั้นก่อนจะช่วยเฉินเจียวเหมยหยิบจอกเหล้าขึ้นมาให้อย่างงุนงง สงสัยอาเหมยคงจะเมาแล้วกระมัง หย่าหลินยังคงเอ่ยต่อ “หากโชคดีในภายภาคหน้าเมื่อรัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์สตรีที่ส่งเข้าไปถวายตัวให้พระองค์ก็อาจจะได้เลื่อนขั้นเป็นถึงพระสนม
“ในเมื่อผลการประลองยังไม่เป็นที่แน่ชัดและเจ้าไม่คิดที่จะยอมรับ เช่นนั้นแล้ว” เฉินเจียวเหมยที่ยังคงยืนท้าวสะเอวอยู่เอ่ยขึ้นไปทางซูฮวาและหย่าหลิน “ข้าเลี้ยงเหล้าพวกเจ้าดีหรือไม่ เรามานั่งคุยกันดีๆ มาเถอะ!” ถึงแม้ว่าจะเป็นประโยคคำถามแต่ก็หาได้รอคำตอบไม่ เฉินเจียวเหมยกล่าวเสร็จก็รวบข้อมือของซูฮวาและหย่าหลินให้เดินตามตนเองไป และเพียงไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ผู้รู้ความก็สามารถจัดการห้องรับรองสำหรับแขกคนสำคัญได้อย่างรวดเร็ว อาหารเลิศรส สุราเลิศล้ำ ก็มีมาวางเอาไว้บนโต๊ะได้อย่างทันใจ สมกับเป็นโรงน้ำชาของผู้ยิ่งใหญ่อย่างเฟยเทียน ซูฮวากับหย่าหลินเพียงนั่งดื่มเหล้าและกินอาหารด้วยสายตาพิฆาตแวววาวใส่กันตลอดเวลา ซูเซียวเพียงนั่งจิบชาอยู่ใกล้ๆ กับเฉินเจียวเหมยด้วยท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยนตามวิสัยแตกต่างจากสตรีอีกสองนาง เฉินเจียวเหมยเพียงกินอาหารอย่างสบายอารมณ์ตามวิสัยเช่นเดียวกัน ทั้งสี่สตรีกำลังนั่งร่ำสุราอยู่ด้วยกันตรงโต๊ะเล็กทรงเตี้ยขนาดพอเหมาะ โดยที่ทั้งสี่นางนั่งอยู่กับพื้นรอบโต๊ะบนผ้าบุนวมรอบทิศทาง “ข้าอยากรู้เสียจริงว่าพวกเจ้ามีความแค้นอันใดต่อกัน” เฉินเจียวเหมยถามออกไปทางซูฮวาและหย่าหลิ







