เข้าสู่ระบบบทที่3
แรงปรารถนาที่ต้านไม่อยู่ คิรินทร์ตื่นก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นเหนือขอบฟ้า ร่างเปลือยท่อนบนเอนกายอยู่ข้างมินตราที่ยังหลับสนิท ใบหน้าพริ้มเพราซุกอยู่กลางอกเขาอย่างไว้ใจ ลมหายใจสม่ำเสมออุ่นรดบนผิวเขา และนั่นทำให้คิรินทร์ปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง มินตรายังอยากอยู่ตรงนี้ทั้งที่ชายคนนี้พูดไม่รักษาน้ำใจทำเย็นชาใส่ เขาไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆ กับเธอเลยสักนิด และในตอนนี้เขาก็ยังไม่กล้าพอที่จะเปิดรับใครเข้ามาในหัวใจ ทว่ามินตราเองก็ไม่ได้คิดหนีแล้ว มือใหญ่ลูบผมนุ่มของเธอช้าๆ อย่างเบามือ ความรู้สึกละมุนบางอย่างก่อตัวในอกเขา นิ้วโป้งไล้ตามแนวกรอบหน้า เขาเคยสัมผัสใครมานับไม่ถ้วนแต่ไม่เคยรู้สึกสงบแบบนี้เลยสักครั้ง “คุณ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นในอกเขาก้มลงมอง เธอยังไม่ลืมตา แต่เรียวแขนก็กอดเขาแน่นขึ้น “วันนี้คุณไปไหนหรือเปล่าคะ” มินตราถามอย่างไม่แน่ใจเพราะเขาไม่ได้มีเวงาให้เธอตลอด “ไม่ วันนี้ฉันจะอยู่กับเธอ” เขาตอบทันทีเสียงนั้นทุ้มนุ่มแต่ยังคงแฝงน้ำเสียงเข้มแบบคนที่ไม่ถนัดแสดงออก “เมื่อคืน ทำไมคุณถึงไม่ค่อยพูดอะไรเลยล่ะคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับว่ากลัวคำตอบ “ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไร” เขายอมรับตรงๆ เพราะหลังที่พูดคำนั้นออกไปเขาก็นึกอะไรไม่ออก รู้แค่ตอนนี้เขายังไม่อยากปล่อยเด็กคนนี้ไป “มันมากไปสำหรับผู้ชายที่ไม่ได้ตั้งใจจะรักใครอีก ฉันเลยพูดออกไปแบบนั้นมันอาจจะดูแรงแต่ฉันเป็นคนโกหกไม่เป็น” มินตราเงียบดวงตาไหววูบเธอขยับตัวเล็กน้อยแต่เขากลับยกแขนกอดเธอไว้แน่นขึ้น “อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าฉันเป็นคนไร้หัวใจ ฉันแค่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้มินตรา” “คุณไม่ต้องรีบอธิบายก็ได้ค่ะ หนูไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะรัก แค่อยากให้คุณซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง” เขาขมวดคิ้วมองเธอนิ่งเด็กคนนี้กำลังจะสื่อถึงอะไรกันแน่ หรือจงใจจะปั่นป่วนหัวใจของเขาให้สับสน “เธออยากได้ความรักจากฉันเหรอ” “ไม่ค่ะ” เธอส่ายหน้าเบาๆ “แค่อยากให้คุณมองหนูเป็นมากกว่าของที่เลี้ยงไว้” เขานิ่งไปนานก่อนพึมพำออกมาเสียงแผ่ว “บางทีฉันก็กลัวว่าถ้าฉันเริ่มรู้สึกทุกอย่างมันจะพังอีก” “แล้วหนูเหมือนคนที่จะทำลายชีวิตคุณเหรอคะ” เขาสบตาเธอแล้วหัวเราะอย่างขื่นๆ “ไม่นะ เธอทำให้โลกของฉันมันสงบด้วยซ้ำการมีเธออยู่มันทำให้ฉันผ่อนคลาย เบาบางความเครียดลงไปได้บ้าง” “งั้นก็อย่าเพิ่งผลักหนูออกไปนะคะ” เขาไม่ได้ตอบทันทีแต่ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมออกจากแก้มเธอ ลูบแผ่วลงมาจนถึงปลายคางแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม “ฉันจะไม่ผลักเธอออกหรอก แต่ก็ยังไม่กล้ารั้งไว้ทั้งหมด” มินตราเผยรอยยิ้มจางไม่ใช่ยิ้มดีใจแต่เป็นยิ้มที่พอใจกับความซื่อสัตย์ตรงหน้า แม้มันจะยังไม่ใช่คำว่ารัก แต่เธอก็เห็นการเปลี่ยนแปลงทีละนิดและเธอจะอยู่เพื่อดูว่าเขาจะกล้ารักสักวันหรือไม่ เสียงเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติแผ่วเบาดังขึ้นในครัวหรูของเพนต์เฮาส์ชั้นบนสุด แสงแดดอ่อนยามเช้ากระทบกระจกสูงจากพื้นจรดเพดาน สะท้อนเข้ามาแตะแผ่นหลังเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่สวมเพียงเสื้อเชิ้ตชายยาวของผู้ชายเจ้าของห้องเท่านั้น มินตราเขย่งเท้าเล็กน้อย มือบางเอื้อมหยิบแก้วใบโปรดของเขาโดยไม่รู้เลยว่าสายตาคมคู่นั้นกำลังจ้องเธออยู่จากมุมเงียบหลังประตูกระจก คิรินทร์ยืนพิงขอบบานเฟรมสูงด้วยเรือนร่างสูงใหญ่ท่อนบนเปลือยเปล่า มีเพียงกางเกงวอร์มเนื้อบางที่ห้อยหลวมต่ำจากสะโพกแขนข้างหนึ่งกอดอกอีกข้างถือแก้วน้ำเปล่าครึ่งใบ เขาแค่จ้องเธออยู่แบบนั้นจ้องความบางเบาของเชิ้ตสีขาวที่ปกปิดผิวเปลือยเปล่าได้เพียงครึ่งใจ จ้องเรียวขาที่โผล่พ้นชายผ้าขึ้นมาถึงต้นขา และจ้องเส้นผมที่ยุ่งนิดๆ อย่างเป็นธรรมชาติหลังคืนเร่าร้อนเมื่อวาน ผู้หญิงที่เขาเคยบอกตัวเองว่าแค่เลี้ยงไว้ ไม่ควรรู้สึก แต่เช้านี้เธอกลับทำให้เขาอยากขังเธอไว้ใต้ร่างอีกครั้ง “ตื่นแล้วก็ไม่เรียก” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้งน้อยๆ ก่อนหันขวับไปทางต้นเสียง “อ่าว..หนูเห็นคุณยังนอนอยู่เลยไม่อยากรบกวนค่ะ” มินตราเอ่ยขณะมือยังกำแก้วกาแฟไว้แน่นเขาเดินเข้ามาใกล้ช้าๆ “เธอเอาเสื้อฉันมาใส่เหรอ” เขาเอ่ยขณะสายตามองไล่จากต้นขาขึ้นไปถึงลำคอ “เสื้อคุณอยู่ใกล้มือที่สุดค่ะหนูเลยยืมมาใส่ค่ะ” เธอตอบทั้งที่ใจเต้นแรงเพราะเขาขยับเข้ามาจนได้กลิ่นกายอุ่นร้อนของเขาชัดเจนคิรินทร์ยื่นมือมาช้าๆ จับชายเสื้อเชิ้ตของตัวเองที่คลุมร่างเธอไว้ดึงเบาๆ จนเธอเซเข้าหาอกเขา “รู้ไหมว่านี่มันเร้าใจกว่าชุดชั้นในทั้งลิ้นชักที่เธอมี” เขากระซิบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แปลกที่เสียงนั้นไม่ได้ดังแต่มันพอจะทำให้สติของเธอสั่นคลอน มินตรากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อเขาโน้มหน้าลงมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนลมหายใจอุ่นเป่ารดแก้ม “อย่าทำให้ฉันอยากกินเธอทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ” หมับบ เขาว่าก่อนจะกระชับเอวเธอแน่นและยกตัวเธอขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์หินอ่อน เสียงแก้วกาแฟในมือสั่นเบาๆ จนเกือบหลุด เขาคว้ามันไปวางข้างตัว แล้วหันกลับมากดริมฝีปากลงที่ต้นคอเธอทันที “อื้ออ” มินตราร้องในลำคอมือยกขึ้นเกาะไหล่กว้างของเขา ร่างบางสะท้านเมื่อเขาใช้ปลายลิ้นไล้จากไหปลาร้าขึ้นไปถึงหลังใบหู “คุณ...อาบน้ำก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวกาแฟจะเย็นหมดแล้ว” เธอเอ่ยเสียงสั่นแต่ไม่มีแม้แต่การผลักไสคิรินทร์หัวเราะต่ำในลำคอ นิ้วโป้งของเขาสอดใต้ชายเสื้อแล้วลูบไล้สะโพกเปลือยเปล่าเบาๆ “ฉันอยากกินกาแฟจากปากเธอมากกว่า” เขาดันตัวเข้าหาเธอจนสะโพกเธอแนบกับขอบหิน เธอเบิกตากว้างเมื่อเขาค่อยๆ บดริมฝีปากลงมาช้าๆ หยอกล้อที่มุมปากอวบอิ่ม ลมหายใจของเขาแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เขากดจูบอย่างเอาแต่ใจลงบนริมฝีปากของเธอ มือเลื่อนไปตามต้นขาแล้วลากขึ้นบนอย่างเชื่องช้า เธอสั่นสะท้านเมื่อเขาสอดแขนโอบใต้ขาเธอหนึ่งข้าง ยกขึ้นวางบนเคาน์เตอร์อย่างกล้าๆ กลัวๆ และยั่วเย้า “อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น” เสียงของเขาเข้มจัดขึ้นก้มลงกดจูบอย่างล้ำลึก คราวนี้ไม่ปล่อยให้เธอตั้งตัวมินตราหลุดเสียงครางเสียงหวาน เมื่อปลายลิ้นของเขาไล้รุกล้ำชัดเจนขึ้น เขาใช้การจูบแทนคำพูดใช้มือแทนการปลอบประโลม เขาสัมผัสเธอทุกที่ราวกับจะจดจำเส้นทางของร่างกายนี้ไว้ไม่มีวันลืม ในครัวที่เต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนเช้านั้น มีเพียงเสียงหอบหายใจเบาๆ และเสียงจูบที่ดังแผ่วสลับกันไปมา มันไม่ใช่เพียงความต้องการทางกาย แต่เป็นการย้ำชัดว่าเธอเป็นของเขาในแบบที่ไม่ต้องมีคำพูดใดมาพิสูจน์ เขาจับสะโพกเธอแน่นแล้วค่อยๆ โน้มตัวลง คลอเคลียต้นขาเธออย่างไม่เร่งเร้า มินตราหลับตาแน่น ความวาบหวามแล่นปลาบไปทั่วร่าง “คุณคิรินทร์” เธอเรียกชื่อเขาเสียงสั่นแต่กลับยิ่งปลุกเขาให้จมลึกลงอีก เขาขบเม้มที่ต้นขาเบาๆ ก่อนจะพรมจูบไล่ขึ้นช้าๆ “พูดชื่อฉันอีกทีสิ” เสียงเขาห้าวพร่าขณะไล้ปลายจมูกชิดผิวเนื้อ “คุณคิรินทร์...อ๊ะ!!” เธอกระซิบออกมาราวกับหมดแรง แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือริมฝีปากร้อนผ่าวที่แนบลงบนรอยไวต่อของเธอไม่รีบร้อน แผ่นหลังของเธองอเกร็ง มือจิกไหล่เขาไว้แน่นราวกับกลัวจะหลุดลอย เขาใช้ลิ้นไล้วนและเปลี่ยนจังหวะตามเสียงหอบกระเส่าของเธอ ก่อนจะผละออกช้า ๆ แล้วจ้องมองเธอด้วยแววตาที่แทบจะเผาเธอให้ไหม้ “ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ” เขากระซิบพร้อมรอยยิ้มมุมปาก แล้วก้มลงจูบเธออีกครั้ง คราวนี้เต็มไปด้วยรสชาติของตัวเธอเองที่สะท้อนกลับมาราวกับประกาศว่าเขาจะกินเธอ ทั้งเช้า กลางวัน และกลางคืน ไม่ใช่เพราะอยากครอบครอง แต่เพราะติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้น ระหว่างที่มินตรากำลังทำของว่างอยู่ในครัวเสียงโทรศัพท์มือถือสั่นครืดอยู่บนโต๊ะหินอ่อนของห้องครัว มินตรายื่นมือไปรับอย่างลังเล ขณะริมฝีปากยังเจือรอยจูบจากเมื่อครู่ เธอไม่ได้ทันมองชื่อสายเรียกเข้า และนั่นคือความผิดพลาดเพียงเสี้ยววินาทีที่พาอารมณ์อบอุ่นเมื่อครู่ร่วงวูบลงพื้น “ฮะ...ฮัลโหลคะ?” เสียงปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแต่เร่งร้อนจนหัวใจเธอบีบแน่นทันที “มิน...แม่เอง” มือที่จับโทรศัพท์สั่นทันที ดวงตาที่เคยพร่าด้วยไฟปรารถนากลับร้อนผ่าวขึ้นมาจากน้ำตาที่เอ่อล้นโดยไม่รู้ตัว “มิน...แม่ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว พ่ออาการทรุดอีกแล้ว หมอบอกว่าต้องใช้เงินด่วน แม่ขอร้องนะลูก” เสียงปลายสายสั่นไหว เจือสะอื้นก่อนกลายเป็นเสียงร้องไห้โฮ “แม่” มินตราขานเรียกเสียงแผ่ว เธอกัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บ ความรู้สึกผิดและเจ็บลึกตีตื้นขึ้นมาจนกลืนลมหายใจ “แม่รู้ว่าแม่ไม่ควรพูดแบบนี้ แต่...เราจะทำยังไงดีลูก เงินจากร้านก็ไม่มี ของเก่าก็ขายไปหมดแล้ว คนในบ้านเริ่มถามกันใหญ่แล้วว่าเราไปเอาเงินมาจากไหน” “หนูจะหาให้ค่ะแม่ หนูสัญญา” น้ำตาเธอไหลรินโดยไม่รู้ตัว เสียงพูดสั่นสะท้าน แผ่วเบาราวกับกำลังขอโทษอยู่ในที “มินอยู่ที่ไหนกันแน่ลูก ทำไมเสียงเหมือนอยู่กับใคร” มินตราเงียบทว่าหัวใจเต้นแรงจนหูอื้อ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของคิรินทร์ยืนพิงกรอบประตู มือถือแก้วกาแฟไว้ครึ่งใบ สายตาของเขาจ้องมองมาที่เธออย่างเงียบงัน ไม่มีคำถาม ไม่มีคำตำหนิ แต่เต็มไปด้วยความรู้ เขาได้ยินทั้งหมดแล้ว มินตราเม้มปากแน่น กัดฟันกลั้นสะอื้น ก่อนโกหกเสียงเครือ “อยู่...อยู่หอน่ะค่ะแม่ หนูแค่เหนื่อย ๆ เลยไม่อยากคุยเสียงดัง” “แม่จะรอเงินนะลูก พรุ่งนี้หมอนัดอีกที...แม่ไม่มีใครแล้วจริง ๆ มิน” “ค่ะ” เธอตอบผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแล้วกดวางสายทันที ก่อนจะฟุบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินนิ่งงัน คิรินทร์ไม่พูดอะไร เขาวางแก้วลงบนเคาน์เตอร์แล้วเดินเข้ามาใกล้ช้า ๆ ยกมือใหญ่แตะบ่าของเธอเบา ๆ แต่เธอกลับสะดุ้งหนี “อย่ามาทำดีกับหนูตอนนี้เลยค่ะเพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย” “ฉันแค่จะบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องร้องไห้หนักหนาขนาดนี้ มีอะไรก็ขอให้ฉันช่วยสิ” “แต่หนูไม่ได้ขอให้คุณมารับผิดชอบชีวิตหนูนี่คะ!” เธอหันมาสบตาเขา น้ำตาไหลพราก “นี่มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณ! สักหน่อย” “ไม่ใช่หน้าที่แต่มันเป็นความตั้งใจของฉัน” คิรินทร์พูดช้า ๆ ก่อนใช้มือไล้หยดน้ำตาบนแก้มเธอออก มินตราสะอึกเธอมองเขาด้วยแววตาเจ็บปวดและอ่อนแรงในเวลาเดียวกัน เขาดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่น เธอไม่ได้ดิ้น ไม่ได้ผลักไส แต่ก็ไม่ได้กอดตอบ “ต่อไปนี้มีอะไรก็แค่บอกฉันตรงๆ ฉันไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก แต่ฉันยะไม่ยอมให้เธอทรมานกับเรื่องเดิมๆ ไปตลอดชีวิตแน่”บทที่3แรงปรารถนาที่ต้านไม่อยู่คิรินทร์ตื่นก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นเหนือขอบฟ้า ร่างเปลือยท่อนบนเอนกายอยู่ข้างมินตราที่ยังหลับสนิท ใบหน้าพริ้มเพราซุกอยู่กลางอกเขาอย่างไว้ใจ ลมหายใจสม่ำเสมออุ่นรดบนผิวเขา และนั่นทำให้คิรินทร์ปิดเปลือกตาลงอีกครั้งมินตรายังอยากอยู่ตรงนี้ทั้งที่ชายคนนี้พูดไม่รักษาน้ำใจทำเย็นชาใส่ เขาไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆ กับเธอเลยสักนิด และในตอนนี้เขาก็ยังไม่กล้าพอที่จะเปิดรับใครเข้ามาในหัวใจ ทว่ามินตราเองก็ไม่ได้คิดหนีแล้วมือใหญ่ลูบผมนุ่มของเธอช้าๆ อย่างเบามือ ความรู้สึกละมุนบางอย่างก่อตัวในอกเขา นิ้วโป้งไล้ตามแนวกรอบหน้า เขาเคยสัมผัสใครมานับไม่ถ้วนแต่ไม่เคยรู้สึกสงบแบบนี้เลยสักครั้ง“คุณ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นในอกเขาก้มลงมอง เธอยังไม่ลืมตา แต่เรียวแขนก็กอดเขาแน่นขึ้น“วันนี้คุณไปไหนหรือเปล่าคะ” มินตราถามอย่างไม่แน่ใจเพราะเขาไม่ได้มีเวงาให้เธอตลอด“ไม่ วันนี้ฉันจะอยู่กับเธอ” เขาตอบทันทีเสียงนั้นทุ้มนุ่มแต่ยังคงแฝงน้ำเสียงเข้มแบบคนที่ไม่ถนัดแสดงออก“เมื่อคืน ทำไมคุณถึงไม่ค่อยพูดอะไรเลยล่ะคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับว่ากลัวคำตอบ“ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไร” เขายอมรับตรงๆ
บทที่2สนใจแค่หน้าที่บนเตียงก็พอเสียงนาฬิกาดิจิทัลบนหัวเตียงกระพริบเลข 06:42 ด้วยแสงสีฟ้าจางๆ ที่คล้ายจะกลืนไปกับแสงอาทิตย์อ่อนที่ลอดม่านโปร่งลงมาทาบปลายเตียง ร่างเล็กใต้ผ้าห่มสีครีมกระดิกตัวเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เปลือกตาหนักอึ้งจากความเหนื่อยล้าที่ยังค้างคาจากค่ำคืนที่ไม่ได้นอนเต็มตามินตราไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน รู้เพียงว่าร่างกายเธอหนักอึ้งและเจ็บหนึบอยู่แทบทุกส่วน ผ้าห่มแพรไหมเนื้อนุ่มที่เคลือบกลิ่นครีมอาบน้ำของเขากลายเป็นสิ่งแรกที่เธอได้กลิ่นในยามเช้า เธอค่อยๆ ยันกายลุกนั่งบนเตียงสายตาปรายมองไปยังหมอนข้างอีกใบที่บุ๋มลงอย่างชัดเจน มันคือร่องรอยที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนเขานอนอยู่ข้างเธอ แม้ตอนนี้ร่างสูงนั้นจะไม่อยู่แล้วแต่กลิ่นไอของเขายังคงติดอยู่ทั่วห้อง กลิ่นโคโลญจ์เฉพาะตัว กลิ่นควันบุหรี่จางๆ ข้างเตียงมีโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่วางไว้ เธอจำได้ว่าเมื่อคืนเขาเป็นคนยื่นให้พร้อมกับบอกว่า‘เครื่องนี้เอาไว้ติดต่อฉันเท่านั้น’หน้าจอสว่างขึ้นทันทีที่ปลายนิ้วแตะมันปลดล็อกอัตโนมัติ ด้วยการสแกนนิ้วที่เขาตั้งไว้ให้เธอตั้งแต่เมื่อคืน และมีข้อความขึ้นเพียงบรรทัดเดียว[ข้อความใ
ตอนที่ 1เด็กในกรงเล็บเสือเสียงสลัดสายฝนกระทบหลังคากระจกของคลับใต้ดินอาลูร์ดังเป็นจังหวะกล่อมประสาท เทียนไขซิการ์หอมไหม้ส่งควันบางๆ ลอยคลุ้งเคล้ากลิ่นหนังแท้และวิสกี้อิซเลย์รสควันไม้ ทุกอย่างในห้องรับรองวีไอพีดูเหมือนภาพวาดสีน้ำมันที่โดนฉาบเงาแสงสีอำพัน สวยสมบูรณ์แบบจนไม่น่าจะมีเลือดเนื้อมนุษย์อยู่ในนั้นได้ แต่เขากลับนั่งอยู่ที่นั่นจริงๆ คิรินทร์ วัชรเมธา วัยสี่สิบสอง คาดแขนเสื้อเชิ้ตสีงาช้างข้างหนึ่งขึ้นเหนือข้อศอก ปล่อยกระดุมสองเม็ดแรกเปิดรับไอร้อนจากเตาผนังซึ่งส่งเสียงกรอบแกรบเป็นระยะ ทั้งทรงผมถูกเสยเรียบ เสี้ยวกรามคมรับกับเงาไฟเขาจิบวิสกี้ช้าๆ รสขมของถังโอ๊คเก่าแก่ตีตลบข้างกระพุ้งแก้ม เรียวนิ้วลูบคริสตัลข้างแก้วเป็นวงกลมเสียงแผ่วนั้นบรรเลงไปกับเสียงเพลงแจ๊สที่ไล้ยอดโน้ตอย่างเรื่อยเฉื่อย ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเหมือนกดสวิตช์ควบคุมอากาศให้ช้าลงได้ตามใจจนกระทั่งเธอก้าวเข้ามาเด็กสาวร่างบางที่ทีมโฮสต์พาขึ้นมานั้นตัวสั่นเทาเป็นลูกนก เดรสซาตินสีเงินซึ่งควรดูเฟมินีนอย่างสง่า กลับกลายเป็นเกราะบางที่ต้านทานสายตานักล่าของแขกชายในห้องแทบไม่ไหว แววตาของเธอสะท้อนโคมไฟระย้าจนเป็นประกายหวาด







