โปรย... หลังจากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น สร้างความบาดหมางรุนแรง…จนทำให้สองครอบครัวซึ่งเกี่ยวดองเป็นมิตรที่ดีต่อกันแตกหัก สุพรรณวดีกลายเป็นบุคคลต้องห้ามสำหรับครอบครัวสามี พวกเขารังเกียจเธอจนถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้า หญิงสาวกัดฟันสู้จนสุดความสามารถ หากผลที่ได้กลับไม่ต่างจากเดิม จึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริง รวมถึงยอมรับการตัดสินใจของสุดโปรดซึ่งเป็นสามีที่ขอ ‘หย่า’ พร้อมทั้งตกลงกันในเรื่องการดูแล ‘ลูก’ ที่เพิ่งคลอดออกมาได้เพียงแค่สามเดือน เหมือนว่าการพูดคุยของทั้งสองคนในวันนั้นจะลงเอยด้วยดี… แต่จริง ๆ แล้วกลับไม่ใช่เลย เพราะหลังจากนั้นแค่ไม่กี่เดือนสุดโปรดกับลูกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้เธอไม่ได้เจอหน้าลูกอีกเลย…
View Moreบทนำ
เสียงพูดคุยแจ้วจ้าวของเด็กปฐมวัยเงียบสงบลงเมื่อถึงเวลานอนกลางวัน สุพรรณวดีซึ่งเป็นครูประจำชั้นของเด็กอนุบาลหนึ่งทับสองเดินตรวจตราการนอนของเด็กน้อยที่อยู่ในความดูแลของตน ใบหน้าสวยระบายยิ้มพร้อมส่ายไปมาเบา ๆ ด้วยความอ่อนใจระคนเอ็นดูเมื่อเห็นว่าเจ้าแสบทุกคนหลับสนิทกันหมดแล้ว
“หมดฤทธิ์กันแล้วสินะ” คุณครูยังสาวเอ่ยเบา ๆ พลางยอบตัวนั่งลงดึงกระโปรงและจัดท่าทางการนอนให้เด็กหญิงคนหนึ่ง จากนั้นก็ยืดตัวลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปนั่งโต๊ะทำงานซึ่งอยู่มุมข้างประตูห้อง เพื่อเตรียมสมุดการบ้านให้เด็กน้อยทั้งหลายเอากลับไปทำที่บ้านเย็นนี้
“เอยจ๋า เด็ก ๆ หลับหมดแล้วหรือจ้ะ”
ดวงหน้าสวยหวานเงยขึ้นไปมองทางประตูฝั่งซ้ายมือของตน หลังได้ยินเสียงของรุ่นพี่สาวอย่างมัลลิกากระซิบถามพร้อมกับเยี่ยมหน้าเข้ามา สุพรรณวดีส่งยิ้มให้ก่อนจะลุกเดินออกไปคุยที่หน้าห้องเรียนเพราะกลัวเสียงจะไปรบกวนการนอนของเด็ก ๆ
“หลับกันไปได้สักพักแล้วค่ะ ห้องพี่มะลิหลับหมดยังคะ”
“หลับแล้ว แต่วันนี้เด็ก ๆ ซนกันมาก เพิ่งจะหมดฤทธิ์กันไปเมื่อกี้นี้เอง พี่ล่ะเพลียจริง ๆ” เด็กในความดูแลของมัลลิกานั้นอยู่ชั้นอนุบาลสาม ด้วยความที่เด็กนั้นสนิทสนมกันมานาน จึงทำให้มีระดับความแสบและซนมากกว่าเด็กชั้นอนุบาลหนึ่ง “แต่ดีนะที่วันนี้ไม่มีใครก่อเรื่องอะไร ไม่งั้นพี่ต้องไมเกรนขึ้นแน่ ๆ”
สุพรรณวดียิ้มขำ ด้วยเข้าใจดีว่าการดูแลเด็กในวัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วยิ่งเป็นเด็กที่ไม่ใช่ลูกหรือหลานของตน การจะทำอะไรหรือสั่งสอนอะไรให้แก่เด็กนั้นต้องใจเย็น รอบคอบ รัดกุม ต้องผ่านกระบวนการคิดและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนเสมอทุกครั้ง เพราะหากผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลเสียเป็นวงกว้างได้
“แต่พี่มะลิก็เก่งนะคะ จัดการเด็ก ๆ ได้ทุกครั้งเลย” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยชมด้วยความจริงใจ และนับถือในความสามารถของมัลลิกา
“โอ๊ย...พี่เจอมาเยอะ เจอมาหมดทุกรูปแบบแล้ว” สาวใหญ่โบกมือไปมากลางอากาศเพื่อกลบอาการเขินหลังถูกชม
“ก็นั่นแหละค่ะ เพราะพี่มะลิมีประสบการณ์ไงคะถึงจัดการทุกสถานการณ์”
“พอ ๆ หยุดชมพี่ได้แล้ว” มัลลิกาบอกปัดอีกครั้ง แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวเพราะความเขินไปมากกว่านี้ “ว่าแต่เอยได้กินข้าวเที่ยงหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ เอยว่าเตรียมการบ้านให้เด็ก ๆ เสร็จก่อนแล้วค่อยจะกิน พี่มะลิล่ะคะกินหรือยัง”
“ยังเหมือนกัน มัวแต่วุ่นอยู่กับเด็ก ๆ กว่าจะยอมหลับยอมนอนกัน เอ้อ แล้วเอยมีข้าวยัง”
“มีแล้วค่ะ”
“ห่อมาจากบ้าน ?” มัลลิกาถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว
“ใช่ค่ะ” สุพรรณวดีพยักหน้ารับยิ้ม ๆ เพราะเธอมักจะทำข้าวกล่องจากบ้านมารับประทานตอนกลางวันเกือบทุกวัน สาเหตุเพราะอร่อยถูกปากและประหยัด อีกทั้งยังไม่ต้องมานั่งคิดให้ปวดหัวอีกว่าวันนี้จะกินอะไรดี
“แล้วเย็นนี้ต้องไปสอนพิเศษที่บ้านเด็ก ๆ อีกไหมเนี่ย” สาวใหญ่ถามต่อ
“ไปเหมือนเดิมค่ะ วันนี้มีสอนสองบ้าน”
“หืม สองบ้านเลยเหรอ เยอะไปไหมเอย แล้วเอาเวลาไหนพักผ่อน” มัลลิกาถามด้วยความเป็นห่วง ถึงหล่อนจะรู้ดีว่าสุพรรณวดีมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่หล่อนก็ไม่ค่อยเห็นด้วยหากรุ่นน้องสาวจะโหมทำงานหนักขนาดนี้ หากก็พูดอะไรมากไม่ได้ ได้แต่คอยดู คอยถามอยู่ห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง “แล้วบ้านของเด็กทั้งสองคนอยู่ไกลกันมากไหม”
“ก็ประมาณสามหรือสี่กิโลได้ค่ะ...” หญิงสาวบอกพิกัดบ้านนักเรียนทั้งสองคนไป “ไม่ไกลเท่าไร”
“ไม่ไกล แต่ถนนเส้นนั้นรถติดมากนะ ตั้งกี่แยกไม่รู้มารวมกันที่เส้นนั้นเส้นเดียว”
สุพรรณวดีได้แต่ยิ้มเหย ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะมันคือเรื่องจริง การสอนพิเศษเด็กนักเรียนบ้านละหนึ่งชั่วโมงไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร แต่การเดินทางนี่สิ เป็นสิ่งที่เธอต้องวางแผนและควบคุมมันให้ได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการจราจรในกรุงเทพมหานครในช่วงเวลาเร่งด่วนที่ทุกคนต่างแย่งกันใช้ถนน เพื่อให้ถึงจุดหมายของตนให้เร็วที่สุด
“พี่บอกให้ดาวน์รถสักคันก็ไม่เชื่อพี่ เราจะได้ไม่ต้องเหนื่อย” สาวใหญ่บอกระคนบ่นด้วยความปรารถนาดี เรื่องการจราจรนั้นเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แต่การมีรถส่วนตัวเป็นของตัวเองอย่างไรก็ย่อมดีกว่า “อีกอย่างเป็นผู้หญิงเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวมันอันตราย แล้วยังต้องกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ อีก เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”
“เอยคิดว่ารถมันยังไม่จำเป็นขนาดนั้น เอามาก็มีแต่จะเป็นภาระเพิ่ม” หญิงสาวพูดความคิดในมุมของตัวเองออกไป เพราะการซื้อรถสักคันมันไม่จบที่การจ่ายเงินเพียงครั้งเดียวแน่นอน นอกจากการผ่อนชำระรายเดือนแล้ว มันยังมีค่าใช้จ่ายนู่นค่านี่ตามมาอีกมากมาย ซึ่งเธอยังไม่พร้อมที่จะแบกรับภาระพวกนั้น “ทุกวันนี้เอยใช้รถสาธารณะก็สะดวกดีนะคะ ชั่วโมงเร่งด่วนก็ใช้รถไฟฟ้า แพงนิดหน่อย แต่ก็ควบคุมเวลาได้”
“เฮ้อ...ถ้าเอยยืนยันมาแบบนั้น พี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว แต่ที่พี่บอกคือพี่หวังดีนะ”
“เอยรู้ค่ะ” สุพรรณวดียิ้มรับ ไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด เพราะเธอรู้ดีว่าที่มัลลิกาแนะนำนั้นเพราะเป็นห่วงและหวังดีกับเธอจริง ๆ “แต่เอยยังไม่พร้อมจะรับภาระเรื่องรถจริง ๆ ค่ะพี่มะลิ ทุกวันนี้เงินเดือนที่ได้ หักค่าใช้จ่ายแล้วก็เหลือเก็บนิดหน่อย ดีที่ยังได้เพิ่มจากการสอนพิเศษหลังเลิกเรียน”
มัลลิกาพยักหน้ารับ ด้วยรู้ว่าเงินเดือนครูปฐมวัยไม่ได้สูง ถึงจะเป็นโรงเรียนนานาชาติแต่ก็ไม่ได้เยอะแยะมากมายอะไรขนาดนั้น ถ้าเทียบกับค่าครองชีพก็คือพอ ๆ กัน หากไม่หางานเสริมทำเพิ่มก็คงไม่เหลือเก็บเลย
“แล้วนี่จะบินไปนู้นอีกทีเดือนไหน” สาวใหญ่เปลี่ยนเรื่องคุย ถึงแม้จะทำงานที่โรงเรียนเดียวกันแต่ก็ไม่ได้คุยกันบ่อย เนื่องจากต่างคนต่างมีงานทำ อีกทั้งยังต้องคอยสอดส่องเด็กในความดูแลอยู่ตลอดเวลา จะแอบอู้หรือแวบมาคุยได้เล็กน้อยแค่เฉพาะตอนที่เด็กหลับเท่านั้น
“ยังไม่แน่ใจเลยค่ะ ใจจริงเอยก็อยากบินเดือนหน้าเลย แต่ก็ต้องลองคำนวณเงินเก็บที่มีก่อน ไม่รู้ว่าจะพอไหม กลัวไปแล้วเป็นเหมือนคราวที่แล้วที่ต้องโทร. ข้ามประเทศมาขอยืมเงินพี่มะลิ”
“นี่ พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ” มัลลิกาขยับเข้าไปใกล้รุ่นน้องสาวอีกนิด พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบาลงจากเดิม ก่อนจะจะเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ทำสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยคล้ายกำลังหนักใจ ไม่แน่ใจว่าควรจะถามดีหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าถ้าถามออกไปแล้วจะกระทบต่อจิตใจของอีกฝ่ายหรือเปล่า แต่สุดท้ายสาวใหญ่ก็ทนความสงสัยของตนเองไม่ไหว จึงตัดสินใจถามออกไปในที่สุด
“อย่าว่าพี่อย่านั้นอย่างนี้เลยนะเอย ทุกครั้งที่เอยบินไปฝรั่งเศส เอยได้เจอ...เอ่อ...เจอลูกบ้างไหม” ที่สงสัยอย่างนี้ก็เพราะว่าหลังจากที่หญิงสาวกลับมา หล่อนไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายเล่าเรื่องลูกให้ฟังเลย ทั้ง ๆ ที่จุดประสงค์ของการบินไปที่นั่นก็เพื่อไปหาลูก
ตอน...พิเศ๊ษพิเศษวันนี้ครอบครัวของสุดโปรดกับสุพรรณวดีถือโอกาสมาทำบุญที่วัด เพื่อระลึกถึงบิดาที่ล่วงลับทั้งสองคน โดยมีคุณแก้วมณีกับคุณสุนีย์เป็นธุระ จัดหาอาหารและข้าวของต่าง ๆ มาถวายพระประเสริฐกับชินภัทรจากไปคนละปี ทว่าจากไปในเดือนที่ไล่เลี่ยกัน ทั้งสองครอบครัวเลยตกลงกันว่าต่อไปนี้จะทำบุญระลึกถึงร่วมกันแบบนี้ทุก ๆ ปี“จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังมีคำถาม สามีฉันผิดอะไร ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” แก้วมณีรำพึงขึ้นมาขณะย้ายมานั่งที่ศาลากลางน้ำ มองปุณยวีร์ให้อาหารปลาโดยมีแม่ของแกยืนดูแลความปลอดภัยอยู่ใกล้ ๆ ส่วนคนเป็นพ่อนั้นอุ้มเด็กชายปัญญวัฒน์วัยหกเดือนซึ่งกำลังหลับปุ๋ยพาดบ่าหล่อนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าวันนี้สามียังมีชีวิตอยู่ คงจะมีความสุขไม่น้อยที่ได้เห็นภาพเดียวกับที่หล่อนเห็นในตอนนี้“คุณภัทรไปดีแล้วค่ะ” สุนีย์ปลอบใจ ทั้งที่ตัวเองก็มีคำถามไม่ต่างกัน เพราะประเสริฐถือว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย แต่ยังต้องมารับกรรมที่คนอื่นเหวี่ยงมาให้“ฉันพยายามคิดว่าโชคชะตามันกำหนดมาแบบนี้ แต่บางทีมันก็...เฮ้อ” สุดท้ายก็ต้องผ่อนลมหายใจ เมื่อไม่รู้จะอธิบายความหดหู่ใจของตนเองอย่างไรดี“ฉันเข
ตอนพิเศษ“พี่โปรด เอยถามได้ไหม ทำไมยังเก็บรูปพวกนี้กับของของเอยเอาไว้” เธอผละออกมาเล็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขา อันที่จริงเธอตั้งใจจะถามหลายครั้งแล้ว หากไม่มีจังหวะได้ถามเลยพอนึกได้เขาก็ไม่อยู่ให้ถาม พอเขาอยู่เธอก็ดันลืม“ทิ้งไม่ลง” เพราะมันเป็นห้องนอนของเราสองคน ข้าวของมากกว่าครึ่งเป็นของสุพรรณวดี เขาทำใจไม่ได้เมื่อจินตนาการว่าของบางส่วนที่เคยอยู่ในห้องนี้จะหายไป และเขากลัวว่าหากทิ้งไปภายในห้องนี้จะไม่มีกลิ่นอายของคนที่เคยเป็นเจ้าของ“ทิ้งไม่ลงหรือเพราะยุ่งจนไม่มีเวลาจัดการกันแน่คะ” เธอเย้าแหย่เขายิ้ม ๆ ด้วยปัจจุบันเธอมีความสุขดีแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกปวดใจแล้วเมื่อพูดถึงอดีต ไม่ว่าเขาจะตอบอย่างไร สุดท้ายมันก็กลายเป็นอดีตอยู่ดี“ถ้าตอบตรง ๆ ก็ประมาณนั้นแหละ ทั้งไม่มีเวลา ทั้งตัดใจทิ้งไม่ลง เลยเอาไว้ก่อน ค่อยตัดสินใจทีหลังว่าจะยังไง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทิ้ง” สุดโปรดกระชับวงแขน กดริมฝีปากลงบนหน้าผากของภรรยาหนึ่งที “ถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่แย่สุด ๆ แล้วละ อกหักก็ไม่มีเวลาเสียใจ ปัญหาถาโถมเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน ลูกก็ยังเล็ก”เธอสอดแขนกอดร่างหนา แนบแก้มลงบนแผ่นอกกว้าง “มันผ่านมาแล้วค่ะ”“
ตอนพิเศษ 2“อาทิตย์หน้าพี่ต้องไปฝรั่งเศสนะ รอบนี้ว่าจะพาเอยกับลูกไปด้วย” สุดโปรดเอ่ยขึ้นมาในคืนหนึ่ง หลังจากกินข้าวเสร็จและขึ้นมาอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน เด็กชายปุณยวีร์เห่อนอนกับพ่อแม่แค่ช่วงแรก ๆ เท่านั้น ผ่านไปไม่ถึงเดือนหนุ่มน้อยก็แยกไปนอนห้องของตัวเอง หากก็มีบ้างที่ขอมานอนด้วยอีก แต่ก็ไม่บ่อยนักตอนแรกพวกเขาต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านของตนกับบ้านของคุณยายสุนีย์ เพราะสุพรรณวดีไม่อยากให้มารดาอยู่คนเดียว แต่เดี๋ยวนี้เธอวางใจมากขึ้นและจะค้างบ้านที่เป็นเรือนหอเสียส่วนใหญ่ สาเหตุมาจากมารดาของเธอรับอุปการะเด็กหญิงคนหนึ่งมาอยู่ด้วยแล้วเด็กคนนี้ชื่ออารียา ชื่อเล่นว่าน้องแอ้ม เป็นเด็กที่อาศัยอยู่ในชุมชุนเดียวกันกับตอนที่เธอและแม่ยังอยู่บ้านเช่า เห็นกันมาตั้งแต่แกอายุห้าขวบ จนตอนนี้น้องอายุได้สิบเอ็ดขวบแล้ว แม่กับพ่อของอารียาเลิกกันไปตั้งแต่แกยังเล็ก ๆ หนูน้อยจึงต้องอาศัยอยู่กับผู้เป็นพ่อที่หาเช้ากินค่ำกันแค่สองคนทว่าเมื่อหลายเดือนก่อนตอนที่สุนีย์ไปทำเรื่องคืนบ้านเช่า ก็ได้รู้ข่าวว่าบิดาของอารียาโดนตำรวจจับข้อหาเสพและจำหน่ายยาเสพติด ผู้สูงวัยรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก สิ่งแรกที่หล่อนนึกถึงคือเด็กหญ
ตอนพิเศษ 1หลังจากสังเกตพฤติกรรมการเล่นโทรศัพท์และแท็บเล็ตของลูกชายมาสักระยะ ก็พบว่าปุณยวีร์ชักจะติดงอมแงมมากขึ้นทุกวัน สุดโปรดกับสุพรรณวดีที่ใจอ่อนผ่อนปรนให้ลูกเล่นมาตลอด จึงตกลงกันว่าต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังก่อนที่ลูกจะติดไปมากกว่านี้ ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อตัวลูกในอนาคตโดยวิธีแก้แบบเบสิกที่ทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกันก็คือการให้เวลากับลูก ชักชวนแกทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์น้อยที่สุด หรือถ้ามีเวลามากพอก็อาจจะชวนแกไปเที่ยวจังหวัดใกล้ ๆ เพื่อให้แกสนใจสิ่งรอบตัวมากกว่าสิ่งที่อยู่ในอินเทอร์เน็ตยอมให้แกเล่นได้บ้าง แต่ก็จะมีชั่วโมงการเล่นที่จำกัด“พ่อ ๆ ส่งมาให้ปลื้มเลยฮะ” ปุณยวีร์ตะโกนเสียงดังบอกบิดาที่กำลังเลี้ยงลูกฟุตบอลอยู่อีกฝั่งของสนามขนาดเล็ก“รับนะ” สุดโปรดส่งสัญญาณ ก่อนจะเตะบอลส่งให้ลูกไม่แรงมากนักเด็กชายเตะประคองลูกกลม ๆ ที่พ่อส่งมาให้ได้ไม่มั่นคงสักเท่าไร เนื่องจากเพิ่งหัดเล่นได้ไม่นาน วรพัฒน์ซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามก็ค่อย ๆ วิ่งเหยาะ ๆ ทำเหมือนจะเข้าไปแย่งบอลจากข้างหลัง หนุ่มน้อยเห็นอย่างนั้นก็กางแขนออกกั้นไว้ หากเท้าก็ยังคงประคองลูกบอลอย่างต่อเนื่อง กระท
ตอนจบพิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของสุพรรณวดีผ่านไปอย่างเรียบง่าย แขกที่ถูกเชิญมาร่วมงานมีไม่มากนัก เนื่องจากมีพื้นที่ใช้สอยที่ค่อนข้างจำกัด กอปรกับเจ้าของบ้านอยากจัดแบบเรียบ ๆ จึงชวนแค่เฉพาะคนที่สนิทกันจริง ๆ เท่านั้น“แล้วนี่เอยไม่ย้ายไปอยู่บ้านของคุณสามีเหรอ” มัลลิกาถามขึ้นขณะนั่งดื่มสังสรรค์กันหลังจากเสร็จสิ้นพิธี และแขกบางส่วนได้เดินทางกลับไปแล้ว เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่ยังนั่งคุยและนั่งดื่มกันอยู่บริเวณหน้าบ้านสุพรรณวดีละสายตาจากลูกชายกับเพื่อนของแก ที่เพิ่งวิ่งเข้าไปหาคุณย่ากับคุณยายในบ้านมาตอบสาวใหญ่ที่นั่งข้าง ๆ “ไม่ค่ะพี่มะลิ เอยไม่อยากให้แม่อยู่คนเดียว แต่ก็คงจะไป ๆ มา ๆ แหละค่ะ”มัลลิกาพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะยิ้มแซวแล้วขยับเข้าไปกระซิบ “แหม คุณน้องคะ ไหนตอนแรกบอกพี่ว่าจะไม่กลับไปคืนดีไง” หล่อนพยักพเยิดหน้าไปยังสุดโปรดที่นั่งอยู่อีกข้างของสาวรุ่นน้อง ซึ่งกำลังคุยกับวินทร์และณิชาอยู่ “แบบนี้น้องชายพี่ก็กินแห้วน่ะสิ”หญิงสาวอมยิ้มเขิน ไม่ตอบคำถามแรกเพราะไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร แต่ตอบกลับประโยคหลังแทน “พี่มะลิก็ชงไปเรื่อยเลย เอยกับพี่ภพยังไม่เคยรู้จักกัน จะกินแห้วได้ไงคะ”“ก็พี่จองเอยไ
บทที่ 24ตอนจบ“ทำไมเมื่อคืนนี้แม่แอบไปนอนห้องพ่อล่ะ” ปุณยวีร์ถามขึ้นมาด้วยสีหน้ายุ่ง ๆ ระหว่างนั่งรับประทานมื้อเช้า เด็กชายไม่ได้โกรธที่พ่อแม่นอนด้วยกัน เพียงแต่งอนนิด ๆ เพราะไม่มีใครชวนตนไปนอนด้วยเลยและที่หนุ่มน้อยรู้ ก็เพราะว่าเมื่อเช้านี้แกตื่นมาแล้วไม่เจอใคร จำได้ว่าก่อนนอนยังมีมารดานอนอยู่ข้าง ๆ ทว่าพอตื่นมากลับไม่เจอเสียอย่างนั้น ปุณยวีร์เกิดความสงสัย ทำไมวันนี้ไม่มีใครเข้ามาปลุกเหมือนทุกวันที่ต้องไปโรงเรียน เด็กชายจึงเดินไปเคาะประตูห้องนอนบิดา และยิ่งงงหนักกว่าเก่าเพราะพ่อล็อกห้อง ทั้งที่ปกติไม่ใช่อย่างนี้ปุณยวีร์ยืนเคาะเรียกพ่ออยู่พักหนึ่ง ไม่นานประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก เด็กน้อยกำลังจะร้องถาม ทว่าพ่อกลับยกนิ้วขึ้นมาแตะปากไม่ให้ส่งเสียง ก่อนจะกระซิบบอกเสียงเบาว่า‘แม่นอนอยู่’จึงทำให้เด็กชายรู้ว่าเมื่อคืนนี้แม่แอบไปนอนห้องพ่อ โดยไม่บอกเขา!สุพรรณวดีที่ถูกลูกยิงคำถามมาเช่นนั้นก็เกิดอาการอึกอัก สายตาเธอล่อกแล่กหลุบมองถ้วยข้าวต้มไม่รู้จะโฟกัสที่จุดใด หากตอนนี้มีเพียงเธอกับเขาและลูกแค่สามคนก็คงจะไม่เป็นอะไร ทว่ายังมีป้ามาลัยกับสาวใช้อีกสองคนที่ยืนยิ้มอยู่ไกล ๆ เมื่อได้ยินคำถามขอ
Comments