Mag-log inเพลิงรัก เพลิงแค้น และหลบหนี
หลังจากที่ อีวา เปิดเผยว่าเธอรู้ความจริงเรื่องการฉ้อโกงที่ดินของตระกูล แบล็กเวลล์ ห้องแต่งตัวของดีแลนก็ตกอยู่ในความเงียบที่น่ากลัว ดีแลน แบล็กเวลล์ ยืนนิ่งราวกับถูกสาป ใบหน้าของเขาซีดเผือด แต่ดวงตาของเขาลุกโชนไปด้วยความโกรธ ความอับอาย และ... ความหวาดกลัวที่ถูกเปิดโปง
“เธอไปค้นเรื่องนี้มาจากไหน!” ดีแลนถามเสียงต่ำจนแทบจะเป็นเสียงคำราม มือของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน
“คุณคิดว่าฉันจะใช้ชีวิตเป็น ทาส ของคุณไปตลอดชีวิตโดยไม่สืบหาความจริงที่ทำให้ฉันต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้อย่างนั้นหรือ?” อีวาตอบกลับด้วยความเยือกเย็นที่น่ากลัว เธอกำลังใช้ความกลัวของดีแลนเป็นอาวุธ “ฉันเจอทุกอย่างแล้ว ดีแลน... หลักฐานการโกง การร่วมมือกับทนายของฉัน... การที่พ่อคุณทำลายทุกสิ่งที่เรามี”
อีวา จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างต้องการคำตอบที่แท้จริง “คุณรู้เรื่องนี้มาตลอดใช่ไหม... คุณรู้ว่าที่ดินนั้นถูก ปล้น ไป... และคุณก็ยังใช้ความรักของฉันที่มีต่อคุณย่ามาบังคับให้ฉันต้องมาเป็น นางบำเรอ ของคุณ เพื่อปกปิดความผิดของครอบครัวคุณ!”
คำพูดของอีวาเหมือนมีดที่กรีดลึกเข้าไปในจิตใจที่ดีแลนพยายามสร้างเกราะป้องกันมาตลอด 20 ปี เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง ไม่ใช่เพราะความผิดของบิดา แต่เพราะคำกล่าวหาของอีวาได้สัมผัสถึงความจริงในใจเขา
ดีแลน ยอมรับว่าความรู้สึกที่เขามีต่ออีวาไม่ใช่แค่ความแค้นอีกต่อไป แต่มันคือ ความรัก ที่บ้าคลั่งและหวงแหนอย่างที่สุด ความคิดที่จะสูญเสียเธอไปทำให้เขาทนไม่ได้ แต่ศักดิ์ศรีและคำสอนของบิดาทำให้เขาไม่สามารถแสดงความอ่อนแอออกมาได้เลย“ใช่!” ดีแลนตวาดเสียงดังลั่น เขาเดินเข้าหาอีวาอย่างรวดเร็วจนเธอต้องถอยหลังไปชนกับผนังห้องแต่งตัว “ฉันรู้! และถ้าคุณฉลาดพอ คุณก็ควรจะปล่อยให้เรื่องนี้มันจบไปพร้อมกับที่ดินนั่น!”
เขายกมือขึ้นบีบไหล่ของเธออย่างแรง “เธอคิดว่าเธอเป็นใครกัน อีวา? ผู้พิพากษาหรือไง? ฉันทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสิ่งที่ตระกูลฉันสร้างมา! และทุกอย่างที่ฉันทำกับเธอ... มันก็ยุติธรรมแล้ว! มันเป็นราคาที่คุณต้องจ่าย!”
“ราคาอะไร! ราคาตัวฉันเหรอ!” อีวาตอบโต้ด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างช้า ๆ “คุณปฏิเสธไม่ได้แล้ว ดีแลน! คุณไม่ได้เกลียดฉันอีกต่อไปแล้ว! คุณหวงฉัน คุณห่วงฉัน คุณต้องการฉันอยู่ข้างกายคุณ! แต่คุณก็ยังคงปากแข็งและใช้ความแค้นโง่ ๆ ของคุณมาทำร้ายฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”
นี่คือจุดที่ความรู้สึกของดีแลนปะทุขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
“ใช่! ฉันต้องการเธอ! อีวา! ฉันต้องการเธอจนแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว!” ดีแลนสารภาพออกมาเป็นประโยคที่รุนแรงและป่าเถื่อนที่สุด “แต่ความต้องการของฉันก็มาพร้อมกับความเกลียดชัง! เธอคือความอ่อนแอเดียวที่ฉันมี! เธอคือตระกูลที่ฉันสาบานว่าจะทำลาย! ฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาพรากสิ่งที่ฉันต้องการไปจากฉันได้! แม้แต่ตัวเธอเอง!”
เขาผลักร่างเธอให้ชิดผนังอย่างรุนแรง และกักเธอไว้ด้วยร่างกายของเขา การยอมรับความรู้สึกรักของดีแลนไม่ได้มาพร้อมกับความอ่อนโยน แต่มาพร้อมกับการ ครอบครองที่บ้าคลั่ง
“เธอไม่มีสิทธิ์หนีไปไหน! เธอเซ็นสัญญาแล้ว! ร่างกายนี้เป็นของฉัน! และฉันจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าเมื่อไหร่ที่เธอจะหมดประโยชน์!” ดีแลนกระซิบข้างหูของเธออย่างเผ็ดร้อน
คำพูดของดีแลนทำลายความหวังสุดท้ายของ อีวา เธอเข้าใจแล้วว่าชายคนนี้ไม่เคยรักเธออย่างบริสุทธิ์ใจ ความรักของเขาคือการครอบครองที่บิดเบือน เป็นความเห็นแก่ตัวที่น่ารังเกียจ และเธอไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า เครื่องมือ ในเกมของเขาเครื่องมือแก้แค้นในตอนแรก และเครื่องมือบำเรอความใคร่เพื่อปกปิดความจริงในตอนนี้ ฉันยอมแพ้ไม่ได้! ฉันจะไม่ยอมให้ความรักของคุณย่าต้องถูกแลกด้วยความต่ำช้าแบบนี้!อีวารวบรวมสติทั้งหมดและใช้ความเยือกเย็นของเธอสู้กลับ
“พอแล้ว ดีแลน” อีวาพูดเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยอำนาจ “ฉันทนกับความเป็นปีศาจของคุณมานานพอแล้ว และฉันก็ไม่ได้โง่พอที่จะเชื่อในความรักที่เต็มไปด้วยความรังเกียจของคุณ”
เธอตวัดมือขึ้น ตบ ใบหน้าของดีแลนกลับไปอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นตบที่เต็มไปด้วยความเด็ดขาด ไม่ใช่การต่อต้านที่ไร้หนทางเหมือนครั้งแรก
ดีแลนชะงักไปจากแรงตบ แต่ก่อนที่เขาจะโกรธและตอบโต้ อีวาใช้จังหวะนั้นดึงสร้อยคอเพชรราคาแพงที่เขาเคยซื้อให้ขาดออก แล้วโยนมันลงบนพื้น
“คุณซื้อร่างกายฉันด้วยที่ดิน... และคุณซื้อความเงียบของฉันด้วยเพชรพวกนี้งั้นเหรอ?” อีวาพูดอย่างดูถูก “ทุกอย่างที่เป็นของตระกูลคุณมันสกปรก! และฉันจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองสกปรกไปกับคุณอีกต่อไป!”
อีวาเบี่ยงตัวหลบจากร่างกำยำของดีแลนได้สำเร็จ เธอวิ่งตรงไปยังกระเป๋าถือของเธอซึ่งซ่อนกุญแจรถสำรองและโทรศัพท์ที่ถูกซ่อนไว้มานานหลายสัปดาห์
ดีแลนรู้ตัวว่าเธอจะหนี เขาพุ่งเข้าหาเธอด้วยความบ้าคลั่ง แต่สายเกินไป อีวา คว้ากระเป๋าถือพร้อมทั้งหยิบ แฟ้มเอกสารหลักฐาน ที่ซ่อนไว้ออกมาด้วย
“ถ้าคุณก้าวเข้ามาหาฉันอีกก้าวเดียว...” อีวาพูดเสียงหนักแน่น มือของเธอชี้ไปยังแฟ้มเอกสารในมือ “...ฉันจะเปิดเผยหลักฐานการฉ้อโกงนี้ต่อสื่อทันที! และฉันจะทำให้ตระกูลแบล็กเวลล์พังพินาศอย่างที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน!”
ดีแลนหยุดชะงัก สายตาของเขาจ้องมองที่แฟ้มเอกสารนั้นอย่างตื่นตระหนก เขากลัวการทำลายล้างที่อีวาถืออยู่ในมือมากกว่าการสูญเสียตัวเธอเสียอีก
“อย่า! อีวา!” ดีแลนตะโกนอย่างหมดท่าเป็นครั้งแรกในชีวิต “อย่านำเรื่องนี้ไปสู่สาธารณะ! ฉันขอร้อง!”
“ฉันไม่ใช่อีวาคนเดิมที่คุณเคยสั่งได้แล้ว ดีแลน” อีวาพูดด้วยรอยยิ้มที่เศร้าสร้อยแต่เด็ดขาด “คุณเลือกศักดิ์ศรีของครอบครัวคุณ... ฉันก็จะเลือกความยุติธรรมของครอบครัวฉัน”
อีวา คาร์เตอร์ หันหลังให้เขาโดยไม่ลังเล เธอวิ่งออกจากคฤหาสน์หรูหรานั้นโดยไม่เหลือบกลับไปมองแม้แต่วินาทีเดียว แม้ว่าหัวใจของเธอจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการตัดขาดความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้
ดีแลนตามเธอมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ เขาตะโกนชื่อเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เสียงของเขาก็ถูกกลืนหายไปในยามค่ำคืน เขาได้แต่ยืนมอง 'นางฟ้า' ของเขาที่จากไปพร้อมกับ เอกสารการทำลายล้าง ในมือ
การหลบหนีของอีวาในครั้งนี้มาพร้อมกับหลักฐานที่ใช้ในการฟ้องร้อง ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้ากันครั้งสุดท้ายในศาลและชีวิตจริง
บทเสริม: ความท้าทายใหม่—การเป็นผู้นำด้านศีลธรรม การกลับเข้าสู่สาธารณะชนในฐานะผู้ไถ่บาปหลายปีหลังจากที่ ดีแลน แบล็กเวลล์ยุติสงครามกับบิดาและทิ้งอาณาจักรธุรกิจของเขาไป เขาก็ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบในฐานะคุณพ่อและผู้บริหารมูลนิธิ อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเขาในฐานะอดีตซีอีโอที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อความถูกต้องและภรรยาของเขา ก็ยังคงดึงดูดความสนใจจากโลกภายนอกอยู่เสมอมูลนิธิคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ ไม่ได้เป็นเพียงองค์กรการกุศล แต่กลายเป็น สถาบันทางความคิด ด้านจรรยาบรรณธุรกิจ ดีแลนและอีวาเริ่มได้รับคำเชิญให้ไปพูดในที่สาธารณะ โดยเฉพาะจากสถาบันการศึกษาและกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ดีแลนตัดสินใจที่จะกลับเข้าสู่สาธารณชนอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อแสวงหาอำนาจ แต่เพื่อ มอบบทเรียนที่เขาได้รับมาจากการไถ่บาปของเขา ปาฐกถาที่มหาวิทยาลัย: บทเรียนจากความมืดมิด วันหนึ่ง ดีแลนได้รับเชิญให้ไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ ซึ่งเป็นสถาบันที่เขาเคยบริจาคเงินจำนวนมหาศาลเพื่อล้างภาพลักษณ์ของตระกูลในอดีต แต่คราวนี้เขามาในฐานะ วิทยากรที่มีความซื่อสัตย์เมื่อดีแลนยืนอยู่บนเวที ห้องประชุมเต็มไปด้วยนักศึกษาและนักธุรกิจที่ต่างจ
บทเสริม: ช่วงเวลาแห่งแสงแดด—ฤดูหนาวในบ้านที่อบอุ่น พลังงานของฤดูหนาว (The Winter Solace)เป็นช่วงกลางฤดูหนาวในคฤหาสน์บนเนินเขาหลังใหม่ของครอบครัวแบล็กเวลล์ แม้ภายนอกจะปกคลุมด้วยความเย็นยะเยือก แต่ภายในบ้านกลับอบอวลไปด้วยไออุ่นจากเตาผิงและกลิ่นหอมของช็อกโกแลตร้อนที่ อีวา กำลังเตรียมอยู่ลูก ๆ ทั้งสามคนกำลังวุ่นวายอยู่กับกิจกรรมของตนเองในห้องนั่งเล่น:อีธาน (วัยเจ็ดขวบ) นั่งอยู่บนพรมหน้าเตาผิง เขากำลังพยายามสานผ้าพันคอสีเข้มให้กับ ดีแลนโดยมีสมาธิอย่างสูง ตามแบบฉบับของเขาที่ชอบทำงานฝีมือที่ละเอียดอ่อนโนอาห์ (วัยหกขวบ) ที่เต็มไปด้วยพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ กำลังก่อสร้างป้อมปราการขนาดใหญ่จากหมอนอิงและผ้าห่มกลางห้อง เขามักจะอธิบายถึงโครงสร้างของป้อมปราการอย่างละเอียดด้วยศัพท์ทางวิศวกรรมที่เขาไปค้นคว้ามาลินน์(วัยหกขวบ) ผู้มีจิตใจอ่อนโยนและจินตนาการกว้างไกล กำลังนั่งวาดรูปครอบครัวอยู่บนโต๊ะกาแฟ เธอวาดกุหลาบขาวดอกใหญ่ไว้ที่มุมหนึ่งของภาพเสมอดีแลน กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เก่า ๆ (เขาไม่สนใจข่าวสารทางธุรกิจอีกต่อไป) แต่ดวงตาของเขากลับมองเลยขอบกระดาษเพื่อเฝ้าดูลูก ๆ ของเขาอย่างเงียบ ๆอีว
บทเสริม: การเดินทางเพื่อรำลึก—การกลับไปสู่จุดเริ่มต้น วันครบรอบ การเดินทางที่ไม่ใช่การหนีเจ็ดปีผ่านไปนับตั้งแต่ ดีแลน แบล็กเวลล์ และ อีวา คาร์เตอร์ เริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของพวกเขา และครบรอบห้าปีนับตั้งแต่การกำเนิดของลูกแฝด โนอาห์ และ ลินน์ ชีวิตของพวกเขาถูกเติมเต็มด้วยความสุขสงบ และการเติบโตของลูก ๆ ทั้งสามปีนี้ในวันครบรอบ ดีแลนและอีวาตัดสินใจที่จะเดินทางไปพักผ่อนเพียงลำพัง โดยฝาก อีธาน, โนอาห์, และ ลินน์ ไว้กับพี่เลี้ยงที่ไว้ใจได้ การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การเดินทางเพื่อการพักผ่อนทั่วไป แต่เป็นการเดินทางเพื่อ รำลึกถึงจุดเริ่มต้น ของพวกเขาจุดหมายปลายทางของพวกเขาคือ ที่ดินเก่าของตระกูลคาร์เตอร์ ที่ตอนนี้ถูกพัฒนาเป็น ศูนย์การเรียนรู้และยุติธรรมสำหรับเยาวชน ภายใต้การดูแลของมูลนิธิ ที่ดินนี้เคยเป็นจุดเริ่มต้นของความแค้นและความเจ็บปวดทั้งหมดของพวกเขาการเดินทางที่เงียบสงบดีแลนขับรถไปอย่างช้า ๆ มือของเขากุมมือของอีวาไว้ตลอดทาง พวกเขาสื่อสารกันด้วยความเงียบมากกว่าคำพูด ความเงียบที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและซาบซึ้งในเส้นทางที่พวกเขาได้เดินผ่านมาอีวา: "คุณยังจำได้ไหมคะ ดีแลน วันที่คุณ
บทเสริม: การเติบโต—ปีที่สี่ของแบล็กเวลล์น้อยความวุ่นวายที่มีระเบียบ (Structured Chaos)สี่ปีผ่านไปอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่การกำเนิดของลูกแฝด โนอาห์และ ลินน์ บ้านคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ไม่ได้เป็นเพียงบ้านที่อบอุ่นอีกต่อไป แต่เป็นศูนย์กลางของพลังงานที่ไม่เคยหยุดนิ่ง อีธานตอนนี้อายุห้าขวบ เป็นพี่ชายที่รักน้องและเป็นผู้ช่วยตัวน้อยของพ่อแม่ ส่วน โนอาห์และ ลินน์ แฝดสี่ขวบ กำลังอยู่ในช่วงของการค้นพบโลกและเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สิ้นสุดดีแลนผู้ที่เคยเป็นซีอีโอที่เคร่งครัด ได้เปลี่ยนบทบาทเป็นคุณพ่อที่อดทนและมีไหวพริบ เขาใช้หลักการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่เขาเคยใช้ในบริษัทมาปรับใช้กับการเลี้ยงลูกได้อย่างน่าประหลาดใจในห้องครัวที่เต็มไปด้วยแสงแดด ดีแลน กำลังพยายามทำอาหารเช้าสามอย่างพร้อมกัน (โจ๊กสำหรับอีธาน, แพนเค้กสำหรับโนอาห์, และผลไม้สำหรับลินน์) ในขณะที่ต้องตอบคำถามที่ซับซ้อน:โนอาห์ "คุณพ่อคะ ทำไมพระอาทิตย์ต้องไปนอนด้วยคะ? โนอาห์ไม่เคยไปนอนตอนเที่ยงวันเลย!"ดีแลน"เพราะพระอาทิตย์ต้องให้ดวงจันทร์ได้ทำงานบ้างครับ ลูกชาย มันเหมือนกับการแบ่งปันหน้าที่กันในครอบครัวไงครับ"ลินน์(นั่งวาดรูปอยู่บนเก้า
เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคนิคในการสร้างข้อความ ความสุขที่สมบูรณ์แบบของครอบครัว (The Complete Joy) ยามเช้าในบ้านคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์: วงจรชีวิตใหม่บ้านคาร์เตอร์-แบล็กเวลล์ในช่วงเช้าไม่ได้เงียบสงบอีกต่อไป แต่เต็มไปด้วยพลังงานที่วุ่นวายและเสียงหัวเราะ ดีแลน ตื่นก่อนใครเสมอ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เพื่ออ่านรายงานการเงิน แต่เพื่อตรวจสอบอุณหภูมิห้อง, เตรียมขวดนมสองขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างสมบูรณ์แบบ, และเตรียมชาขิงให้กับ อีวาเมื่อลูกแฝด โนอาห์ (มักจะตื่นก่อนและมีเสียงดัง) และ ลินน์ (มักจะตื่นทีหลังและร้องเบา ๆ) เริ่มส่งเสียงร้องขออาหารเช้าจากห้องทารก อีธาน ลูกชายคนโตวัยสามขวบก็จะวิ่งลงจากเตียงและตรงมาที่ห้องพ่อแม่เพื่อขอให้ ดีแลน อุ้มเขาไปดูน้อง ๆดีแลน ที่เคยรังเกียจความวุ่นวายและสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ตอนนี้กลับโอบกอดความโกลาหลนี้ไว้ด้วยความสุขเต็มเปี่ยม เขาสามารถอุ้ม อีธาน ไว้ที่สะโพกข้างหนึ่ง ขณะที่ใช้มืออีกข้างผสมนมผงสำหรับแฝดได้อย่างชำนาญการทำงานเป็นทีมที่ไร้ที่ติอีวา ที่ออกมาจากห้องด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน จะเดินตรงไปหา ลินน์ ทันที ขณะที่ดีแลนจัดการกับ โนอาห์ ที่เริ่มส่งเสียงเรียกร้องอย่าง
ความทรงจำของลูคัสและจุดจบของยุคสมัย ความเงียบเหงาที่ถูกควบคุม (The Controlled Solitude)หลังจากที่ ลูคัส แบล็กเวลล์ยอมลงนามในสัญญาการยอมรับความผิด เขาถูกย้ายไปยังสถานที่ดูแลส่วนตัวที่ห่างไกลออกไปภายใต้ข้อตกลงลับกับดีแลน ที่ซึ่งเขายังคงได้รับการดูแลทางการแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดที่เคยมี แต่เขาถูกตัดขาดจากการควบคุมโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงสถานที่นั้นเป็นคฤหาสน์ขนาดเล็กตั้งอยู่บนเนินเขาที่เงียบสงบ แต่สำหรับลูคัส มันคือ คุกที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีผู้บริหารคนใดมาเข้าพบ มีเพียงพยาบาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ถูกจ้างโดยดีแลนเท่านั้นการเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าตลอดชีวิตของลูคัส เขาเคยชินกับการกรอกเวลาทุกวินาทีด้วยการวางแผน การบงการ และการแสวงหาอำนาจ แต่ตอนนี้... เวลาว่างเปล่า ได้กัดกินเขาอย่างช้า ๆเขานั่งอยู่ในห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือที่ไม่เคยเปิดอ่าน มองออกไปนอกหน้าต่างที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่ความงามเหล่านั้นไม่ได้สร้างความหมายใด ๆ ให้กับเขาเลย“ฉันทำอะไรลงไป?” ลูคัสคิดในใจเป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ใช่การเสียดายที่สูญเสียธุรกิจ







