LOGIN#####บทที่ 22 (ต่อ 2)
หลังจากที่ไป๋เหิงซานสั่งให้คนภายในหอนางโลมเเห่งนี้รวมกันที่ส่วนกลางไม่นานก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวใหม่ขึ้น ไป๋เหิงซานตกลงกับมามาเรียบร้อยก็ออกมาสั่งการให้เเต่ละฝ่ายเริ่มออกตรวจประวัติเเต่ละคนอย่างละเอียด อันที่จริงครานี้ที่เขาถึงขนาดปิดหอนางโลมไม่ใช่ว่าทำเกินจริงเพราะคนที่เขาตามจับมานั้นเป็นภัยร้ายเเรงต่ออาณาจักรและใช้วิชาเเปลงโฉมหนีรอดมาแล้วหลายครั้ง บ่อยครั้งที่พอทางการได้เบาะเเสตามได้สักพักร่องรอยก็เริ่มเลือนหายไปตามกาลเวลา ดังนั้นครานี้เขาจึงต้องทำเวลา พอสายของเขาพบร่องรอยว่าคนที่เขาตามจับหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่จึงรีบลงมือปิดทางเข้าออก กันทางหนีไว้ทุกทาง และเนื่องจากคนที่เขาตามจับนั้นเก่งเรื่องวิชาเเปลงโฉมเป็นอย่างมากจึงทำให้ไม่มีใครรู้ใบหน้าที่เเท้จริง มีสิ่งเดียวที่บ่งบอกคือรอยสักตรงบริเวณที่ลับบนร่างกาย เหิงซานจึงใช้วิธีไล่ตรวจสอบประวัติและหาคนทีน่าสงสัยออกมาแล้วจึงค่อยนำไปตรวจสอบต่ออีกครา
“มือปราบฉิงอี ท่านรับหน้าที่ตรวจสอบประวัติ หากพบใครมีประวัติไม่ชัดเจนคัดแยกออกทันทีไม่ต้องสนอำนาจใคร หากเกิดเรื่องอันใดข้าจะรับผิดชอบเอง” ไป๋เหิงซานพูดจบก็เดินแยกออกไปอีกทางทันที ส่วนฉิงอีก็พยักหน้ารับคำและเดินแยกไปอีกทางเช่นกัน เขาก็หวังว่าจะจับสายลับคนนี้ให้ได้เช่นกัน หากพวกเขาหาสายลับไม่เจอผลลัพธ์ที่ตามมาจากการสั่งปิดหอนางโลมแห่งนี้ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงคงไม่น่าดูเลยทีเดียว คิดดังนั้นฉิงอีก็สะบัดหน้าไล่ความคิดไม่เข้าท่าของตนให้ออกไป สองเท้าก้าวเดินไปตามทางที่ไร้ผู้คนมุ่งไปสู่โถงกลางเพื่อทำตามหน้าที่ตน หมับ! ระหว่างทางอยู่ดีดีก็มีแขนยื่นออกมาจากมุมมืดหลังจากที่มือปราบฉิงอีเดินผ่าน ก่อนที่มือเรียวจะจับเข้ากับท้ายทอยชายหนุ่มและออกเเรงดึงเข้าไปในมุมมืด ฉิงอีที่อยู่ดีดีก็ถูกทำให้เสียการทรงตัวก็ตั้งสติชั่ววาบหนึ่งก่อนหมุนตัวประจันหน้ากับเจ้าของมือนั้นพร้อมชักดาบจ่อที่คอฝ่ายตรงข้ามทันที “ช้าก่อน ๆท่านมือปราบ ข้าเองๆ” ฉิงอีชะงักมือที่จับดาบจ่อคอฝ่ายตรงข้าม สองตาจ้องเขม็งมองดวงหน้าเรียวตรงหน้า ใบหน้าเรียวรูปไข่ นัยน์ตาลึกล้ำราวกับมีม่านหมอกบัง ริมฝีปากเล็ก และผิวสีแทน ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก้นึกไม่ออกมาคนตรงหน้าคือใคร จนกระทั่งผมยาวดกดำถูกปล่อยออกจากที่รัดผมร่วงลงมา พลันนัยน์ตาของมือปราบหนุ่มก็เบิกกว้าง อุทานเสียงดัง “คุณหนูไป๋!” ไป๋ซูเมิ่งรีบใช้สองมือตะปบปากปิดเสียงแทบไม่ทัน “ชู่ว อย่าเสียงดังไป” ไม่ว่าเปล่า นางก็ออกเเรงดึงร่างสูงเข้าไปยังห้องไม่ไกล เอื้อมปิดประตูเสียงเบา พอหมุนตัวกลับมาก็สบเข้ากับแววตาใคร่สงสัยของอีกคน “ท่านมาที่เเห่งนี้ได้อย่างไร แล้วท่านเหิงซานรู้หรือไม่ แต่ดูจากการแต่งตัวของท่านแล้วน่าจะไม่รู้ ใช่หรือไม่?” ฉิงอีก้าวถอยห่างจากซูเมิ่งมากขึ้นเเม้ในห้องจะมีเพียงเขาและไป๋ซูเมิ่งแต่ก็มิอาจละจากธรรมเนียมปฏิบัติที่ชายหญิงมิควรใกล้กันได้ “ถูกของท่านแหะๆ ข้าอยู่จวนเบื่อๆข้าเลยแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นนิดหน่อย พี่ใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้แน่นอนเพราะถ้ารู้ข้าหัวขาดแน่” ไม่พูดเปล่าสีหน้าก็พลอยหม่นหมองด้วย “เพลานี้ที่นี้อันตรายยิ่งนัก มากับข้าเดี๋ยวข้าพาท่านไปหาท่านเหิงซาน…” ฉิงอียังพูดไม่ทันจบไป๋ซูเมิ่งก็รีบส่ายหน้า “ไม่ได้ หากทำเยี่ยงนั้นข้าต้องไม่ได้ออกมาจากจวนอีกเป็นแน่ นอกจากนั้นข้าก็ต้องถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในห้อง ท่านไม่สงสารข้าเลยหรือ” นางส่งสายตาปริบๆมาให้ …ก็สมควรแล้ว มีอย่างที่ไหนเป็นแม่นางแต่กลับแอบมาเที่ยวเล่นในสถานที่แบบนี้ ฉิงอีทำใจแข็งไม่คล้อยตามคำอ้อนวอนนั้น ซึ่งฝ่ายซูเมิ่งก็รับรู้เช่นกันว่าลูกไม้นี้นางน่าจะใช้ไม่ได้ผล จึงเปลี่ยนเเผนทันที “ข้ารู้มาว่าวันนี้ท่านและท่านพี่ล้อมปิดหอนางโลมเช่นนี้เพราะต้องการจับคนใช่หรือไม่” ซูเมิ่งยืนกอดอกสบสายตามือปราบหนุ่ม “ไม่เกี่ยวอะไรกับแม่นาง ไปกับข้าเถิด” ซูเมิ่งเห็นแววตาฉิงอีตระหนกครู่หนึ่งก่อนกลับมาเป็นปรกติ นางไม่ขยับตัวแต่เอ่ยต่อ “และเหมือนว่าคนที่พวกท่านตามจับจะมีวิชาเเปลงโฉมเก่งกาจเสียด้วย คงจับตัวยากน่าดูสิน้า คนในหอนางโลมมีมากโข กว่าจะสอบประวัติหมดข้าว่าสองวันก็ยังไม่ครบ” ฉิงอีหยุดฝีเท้าหันกลับมา สองตาจดจ้องใบหน้างามที่ตอนนี้ถูกทาด้วยอะไรบางอย่างจนเปลี่ยนจากผิวขาวราวหิมะเป็นผิวออกเเทนอย่างชายทำงานกลางแจ้ง พอเลื่อนสายตาขึ้นไปก็สบเข้ากับนัยน์ตาสว่างจ้าของซูเมิ่ง “ไม่สำคัญว่าข้ารู้ได้อย่างไร” ซูเมิ่งเอ่ยออกมาเพราะอ่านได้จากสายตาของคนตรงหน้า “แต่ว่าข้ามีข้อเสนอให้ท่านสามารถจับคนร้ายได้เร็วกว่าวิธีที่พวกท่านทำอยู่แลกกับการที่ท่านช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่โดยที่พี่ใหญ่ไม่รู้และปิดเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราสองคน เป็นไงท่านสนใจหรือไม่” ซูเมิ่งหยักยิ้มมุมปาก พอนางกลับมาพิจารณาดูในช่วงก่อนหน้าที่ยังอยู่ในห้องเริงรมณ์กับเหล่านางโลมที่มามาพามา ครานั้นนางก็สังเกตว่านางโลมชุดฟ้าดูมีท่าทีแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่พอเกิดเรื่องที่มีสายลับเเฝงตัวเข้ามานางจึงคิดว่าเป็นไปได้ถึงแปดส่วนว่านางโลมชุดฟ้าคนนั้นจะเป็นสายลับที่เเฝงตัวหลบอยู่ในหอนางโลมเเห่งนี้จึงคิดใช้เบาะแสนี้บอกเเก่ฉิงอีเพื่อให้สามารถหาตัวสายลับคนนั้นออกมาได้ก่อนที่ทางการจะตรวจสอบประวัติมาถึงนาง หลังฉิงอีนิ่งไปนานก็พยักหน้ายอมตกลง ถึงแม้เขาจะมีอำนาจแต่ก็ไม่สามารถพาใครออกจากที่นี่ได้ตามใจ หากซูเมิ่งจะออกไปได้โดยที่ให้ไป๋เหิงซานไม่รู้คงต้องรีบจับคนร้ายให้ได้ก่อน แต่ในใจตนก็ยังสงสัยว่าเหตุใดหญิงสาวตรงหน้าถึงเลือกมาบอกตนมิกลัวว่าเขาไปบอกพี่ชายนางหรืออย่างไร หลังจากนั้นไป๋ซูเมิ่งก็เล่าเบาะเเสของเรื่องนางโลมชุดฟ้าคนนั้นให้เขาฟัง พอเล่าจบคิ้วดกดำของมือปราบหนุ่มก็ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเก่า “เบาะเเสที่คุณหนูบอกข้ามาอาจเป็นไปได้ก็จริงแต่อย่าลืมว่าคนที่ข้าตามจับนั้นมีวิชาเเปลงโฉมเป็นเลิศ ยามนี้มิรู้ว่าจะอยู่ในรูปโฉมใดแต่ข้าว่าคงมิใช่นางโลมชุดฟ้าเยี่ยงเดิมแน่นอน” ซูเมิ่งยังคงยิ้ม “ข้ามิได้ให้ท่านไปตามจับนางโลมชุดฟ้าเสียหน่อย แค่ท่านทำตามแผนข้าก็พอหากเป็นดังข้าคิดจริงรับรองคนที่ท่านต้องการจับหนีไม่พ้นแน่นอน” กว่าซูเมิ่งจะออกมาจากหอนางโลมได้ปาเข้าไปยามโฉ่วแล้วหลังจากที่นางแนะแนวทางให้ฉิงอีไปจับคนที่พวกเขาตามหาซึ่งไม่ผิดดังที่นางคาดไว้ เป็นแม่นางชุดฟ้าคนนั้นจริง ไม่รู้ด้วยนางโชคเข้าข้างหรืออย่างไรทำให้นางโลมที่นางจ้างมาบังเอิญมีคนร้ายแอบแฝง แม้ว่าคนที่ฉิงอีจับได้หลังจากทำตามวิธีที่นางบอกจะเป็นชายหนุ่มหนึ่งในลูกค้าคนหนึ่งไม่ใช้รูปโฉมอย่างสาวนางโลมชุดฟ้า ซูเมิ่งชื่นชมเจ้าคนร้ายที่มีทักษะการเเปลงโฉมเป็นเลิศคนนี้ยิ่ง หากไม่เพราะวันนี้นี้นางพกน้ำหอมกลิ่มชะมดเพื่อไปเป็นของล่อใจเหล่านางโลมให้เผยความลับและนางบังเอิญได้ป้ายน้ำหอมนี้แก่นางโลมทุกคนก็คงตามจับคนร้ายจากกลิ่นน้ำหอมไม่ได้ ใช่เเล้ว!!! นางให้มือปราบฉิงอีไปสำรวจนางโลมทุกคนโดยตามจากกลิ่นน้ำหอมไขชะมดที่ทั้งติดทนและเป็นเอกลักษณ์ยากที่ใครจะมีได้ทั่วไป ปรากฎว่ามีนางโลมที่มีกลิ่นนี้เป็นเก้าคนซึ่งตามจริงในห้องนางนั้นมามาทิ้งนางโลมไว้ให้นางทั้งหมดสิบคน จากนั้นมือปราบฉิงอีก็ให้ทุกคนมารวมและสืบหาคนที่มีกลิ่นน้ำหอมนี้และหาเจอในที่สุด หลังพิสูจน์ก็พบว่าเป็นคนที่พวกเขาตามจับจริง ซูเมิ่งจึงได้ออกมาจากหอนางโลมอย่างปลอดภัยและพี่ใหญ่ก็ไม่รู้เช่นกัน …เอาล่ะ สิ่งที่นางจะทำต่อไปคือล้มตัวลงนอน เรื่องราวสุดระทึกก่อนหน้าไม่มีผลต่อหนังตาที่กำลังจะปิดตอนนี้เลยสักนิด#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







