ログインบทนำ (ต่อ)
จากคำกล่าวที่พวกโจรลักพากล่าวก่อนหน้าคือพวกมันใส่ยาลงในอาหารมาให้นางทานเพื่อให้ร่างกายนางไร้เรี่ยวแรงขัดขืน เเต่จะมีฤทธิ์อย่างอื่นอีกไหมนางไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆยานี้น่าจะมีผลราว12ชั่วยาม[2] มันจึงต้องเอายามาใส่ให้ในจานข้าวนี้ ซึ่งถ้านางกินก็จะไร้เรี่ยวเเรงต่อ แต่ถ้าไม่กินก็จะเป็นการเพิ่มความระแวง ดังนั้นไป๋ซูเมิ่งจึงเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีหยิบจานข้าวเบื้องหน้ามา เทข้าวกว่าครึ่งลงจากนั้นเอาฟางใต้ร่างนางกลบไว้และนำจานที่เหลือข้าวไม่มากไปไว้ใกล้ ๆที่เดิม
ตอนนี้เรี่ยวแรงของนางค่อยๆเพิ่มขึ้นจากเดิมแล้ว เเต่ก็ยังไม่พอหากนางต้องต่อสู้กับโจรข้างนอกที่น่าจะมีจำนวนราว ๆ 7-8 คน นางต้องหาทางหนีไปช่วงที่ยังเดินทางผ่านป่า ไม่เช่นนั้นหากเข้าสู่เมืองแล้วนางอาจยากที่จะรอด
ไป๋ซูเมิ่งรอจนเรี่ยวเเรงกลับมาหกถึงเจ็ดส่วนก่อนใช้มือเคาะผนังไม้ด้านข้าง
ก๊อก ๆ ๆ
ชายร่างกำยำคนใกล้สุดชะงักฝีเท้าพลางหันไปมองหน้าชายอีกคนที่ได้ยินเสียงเช่นกัน
“เจ้ามีอะไรรึ?” เขาเดินเข้ามาใกล้ถามหญิงสาวข้างในรถม้าหลังได้รับการพยักหน้าจากชายหัวหน้า
ก๊อก ๆ ๆ ไป๋ซูเมิ่งเคาะอีกรอบ ไม่ใช่อะไร เมื่อครู่นางอ้าปากพูดเเต่กลับไร้เสียง ทำให้รู้ว่ายานั้นทำให้พูดไม่ได้ด้วยและฤทธิ์มีนยังไม่หายไป
พอไม่ได้รับคำตอบหน้าเขาขึ้นสีทันที
“นางพูดไม่ได้ เจ้าลืมไปแล้วรึ นางกินยา”
เสียงเเหบใหญ่ดังขึ้นเตือนสติ หัวหน้าโจรถอนหายใจ “เจ้าลองไปเปิดประตูดูว่านางต้องการอันใด”
เขาวางใจเพราะรู้ว่าหญิงสาวคงไร้เรี่ยวเเรงตามฤทธิ์ยา แต่ก็ไม่วายเดินตามลูกน้องไปเปิดประตูด้วย
แก๊ก ๆ ๆ
เสียงปลดล๊อคกุญแจดังขึ้น ไป๋ซูเมิ่งที่เฝ้ารออยู่จึงขยับตัว ใบหน้าแนบฟางทำท่าทางอย่างคนไร้เรี่ยวแรง
เสียงดังสักพัก ผนังด้านหน้าจึงเปิดออกปรากฏเป็นชายร่างกำยำสองคนยืนอยู่ สะโพกขวาเหน็บดาบเล่มยาว ใบหน้าแฝงความไม่พอใจ
“เเม่นางมีอะไรรึ?”
คนร่างใหญ่กว่าเอ่ยถาม พลางมองสำรวจร่างบางตรงหน้า
รูปร่างผอมบาง เอวคอดกิ่ว ผมดำเงางาม แม้ชุดที่สวมใส่จะเลอะคราบดำประปรายเเต่ก็ไม่อาจลดรัศมีความสูงศักดิ์ของคนตรงหน้าได้ ผิวบริเวณคอและข้อเเขนที่โผล่พ้นเสื้อขาวดั่งหิมะ เขาบอกได้เลยว่าในชีวิตนี้เขายังไม่เคยเห็นหญิงสาวนางไหนมีผิวขาวเท่านี้มาก่อน พลันร่างผอมบางตรงหน้าขยับเล็กน้อยก่อนค่อยๆเงยหน้าและขยับริมฝีปาก
“เจ้าพูดอะไร ข้าไม่รู้เรื่อง!”
หลังจากตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของนางตรงหน้าเขาจึงเอ่ยตะคอก ไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไร ก็สาวน้อยตรงหน้าเปื้อนไปด้วยเลือดที่ไหลมาจากบาดแผลตรงหน้าผากที่ปูดโต
ไป๋ซูเมิ่งเลิกพยายามเปล่งเสียงเปลี่ยนเป็นใช้มือเรียวดังกิ่งหลิวค่อย ๆชี้ไปที่ท้องตนเอง
“หรือว่านางอยากถ่ายเบา หรือถ่ายหนัก” ชายอีกคนเอ่ยขึ้น และก็ได้รับการยืนยันจากไป๋ซูเมิ่งเป็นรอยยิ้มเบาบางจนเหล่าโจรนิ่งค้าง
“เรื่องมากจริง”
ชายหัวหน้าโจรเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแฝงอารมณ์โกรธ ซึ่งเรื่องที่เขาโกรธคือเป็นเพราะรู้สึกเสียดายหญิงสาวตรงหน้าที่ต้องไปอยู่ใต้ร่างคนอื่นเเทนที่จะเป็นตนเอง รู้สึกโกรธตนเองที่เกิดมาเป็นได้เเค่โจรกระจอก พลันสะบัดหน้าไล่ความคิดนั้นออกไป และหันไปสั่งลูกน้อง
“พวกเจ้าสองคนมาพยุงนางออกไปหลังพุ่มไม้นู่น!”
พูดจบก็เดินออกไปจากบริเวณนั้น ที่เขาวางใจเป็นเพราะพอเหลือบไปที่จานข้าวก็พร่องไปเกือบครึ่ง นางคงกินข้าวที่เขาให้ผสมยาไปแล้วคงหนีไปไหนไม่รอด
เสียดายที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มมุมปากของหญิงสาวตรงหน้า ไม่งั้นเขาอาจไม่วางใจขนาดนี้ก็เป็นได้
ชายร่างกำยำสองคนเดินเข้ามาค่อย ๆพยุงร่างบางลงจากรถม้า ไป๋ซูเมิ่งก้มหน้าลงให้ผมร่วงปรกหน้าพลางเหลือบสายตามองรอบ ๆผ่านเส้นผม
…รอบด้านเป็นป่าจริง ตอนนี้ขบวนกำลังเดินทางไปตามทาง น่าจะเป็นเพราะใกล้ค่ำแล้ว ฟ้ามืดเเต่ก็พอมีเเสงสว่างอาจเป็นยามโหย่ว1 นอกจากสองคนที่กำลังพยุงนางก็ยังมีชายร่างกำยำอีกหลายคนกระจายรอบรถม้าทุกคนมีดาบเหน็บที่เอว
หากนางต้องปะทะจริงโอกาสชนะน้อยมากเพราะยามนี้เเรงของนางก็ยังกลับมาไม่ครบ และร่างนี้ดูเหมือนจะไม่เคยใช้แรงเยอะมาก่อน รูปร่างผอมบางเกินไป หากเป็นชาติก่อนจำนวนคนแค่นี้นางเอาชนะได้ง่ายมาก คงทำได้แค่ทุ่มสุดฝีเท้าหนีแล้วล่ะ
ตัดสินใจได้ดังนั้นจึงยินยอมให้ชายทั้งสองพยุงเดินไปที่พุ่มไม้ไม่ไกล พอถึงนางก็มองหน้าชายทางขวาพลางส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนพยักเพยิดหน้าไปทางพุ่มไม้อีกอันที่ไกลว่านี้ ก่อนก้มหน้าทำเป็นเขินอาย
“พานางไปพุ่มไม้อันนู้นเถอะ”
หลังได้รับสายตาอ้อนวอนนั้นใจก็อ่อนยวบ รีบบอกชายอีกคนที่พยุงแขนอีกข้าง
“จะดีรึ?”
“เออ เถอะน่านางหนีไปไหนไม่ได้หรอก”
สิ้นสุดคำพูดเขาก็ก้าวเท้านำไปยังพุ่มไม้อีกอันที่อยู่ไกลกว่า โดยข้างๆมีต้นไม้ใหญ่ ใบของต้นไม้นี้ขนาดไม่ใหญ่กว่าฝ่ามือแต่แย่งกันผุดออกจากกิ่งจนแม้เดินเข้าไปใต้ต้นไม้ก็ยังเห็นเพียงตัวใบเขียวขจี ราวกับว่าเป็นต้นไม้ไร้กิ่งก้าน
“เเม่นางปลดทุกข์เสร็จแล้วส่งสัญญาณให้พวกข้ารู้นะ เดียวพวกข้าไปรอตรงนู้น”
ชายคนทางขวาชี้มือไปทางพุ่มไม้ก่อนหน้าพลางดึงมือชายอีกคนเร่งเดินออกไป เขาเงยหน้าไปสบเข้ากับดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นพลันหน้าอันหยาบกร้านขึ้นสีเเดงระเรื่อ แม้ดวงหน้าจะเปื้อนไปด้วยคราบดินแต่ดวงตาคู่นั้นหวานเยิ้มล่อลวงใจยิ่งนัก พวกเขาแม้จะเป็นโจรแต่งานที่รับก็เป็นคุ้มกันส่งของหรืองานที่ต้องใช้กำลังชายชาตรีเท่านั้น ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดรับจ้างฆ่าคน อย่างไงเขาก็ยังเป็นบุรุษที่ขาดสตรีไม่ได้และหลงรักในเงินทอง พอสบกับลูกไม้ของหญิงงามก็ใจอ่อนเป็นธรรมดา
ไป๋ซูเมิ่งพยักหน้าเบา ๆ เอนร่างพิงต้นไม้ใหญ่อย่างคนไร้เรี่ยวแรง นางรอให้ชายทั้งสองเดินห่างออกไปไกล กวาดสายตาไปบริเวณรอบ ๆคิดหาหนทางหนี รอบด้านมีต้นไม้ขึ้นบางเบา พอมองลึกเข้าไปใบแถบป่าจึงมีต้นไม้หนาเเน่นขึ้น ทว่าหากนางวิ่งหลบเข้าไปในป่าคาดว่าอย่างไรก็ต้องถูกหาพบเป็นแน่
คิ้วเรียวขมวดมุ่นไม่กี่อึดใจริมฝีปากบางก็หยักยกเจ้าเล่ห์…
“นี่ก็ผ่านไปหลายเค่อ1แล้วนะ เจ้าว่านางปลดทุกข์นานไปรึไม่?”
พวกเขาทั้งสองยืนหันหน้าออกจากทางที่พาเเม่นางมาปลดทุกข์ ยืนรอสัญญาณมานานจนอดประหลาดใจมิได้
“นั่นสิ ข้าว่าไปดูสักหน่อยเถอะ ไม่ใช่ว่านางจะถูกสัตว์ป่าคาบไปกินแล้วนะ”
พุดจบชายกำยำทั้งสองก็ก้าวเท่าเร่งรีบมุ่งไปทางที่ปล่อยหญิงสาวไว้ก่อนหน้า
พลันสีหน้าตื่นตระหนกก็ปรากฏบนใบหน้าทั้งสอง
…หายไปแล้ว!! หลังพุ่มไม้ว่างเปล่าไร้ซึ่งหญิงงามแววตาหวานเยิ้มคนเมื่อครู่
พอมองไปรอบ ๆไร้ซึ่งรอยเท้าสัตว์ป่า ไร้รอยเลือด มีเพียงรอยยุบบางเบาบนพื้นดิน เป็นรอยเท้าแบบคนกึ่งเดินกึ่งลากเท้ามุ่งหน้าไปทางป่ารกทึบเบื้องหน้า
พรึบ ๆ
พงไม้ในป่าขยับดึงความสนใจของชายทั้งสอง
“เจ้าไปบอกหัวหน้า เดี๋ยวข้าไปตามนางเอง!”
พูดจบก็พุ่งตัวไปทิศกำเนิดเสียงก่อนหน้าทันที แววตาเย็นชาฉายวาบ หึ! นางคิดว่าจะหนีพ้นเงื้อมมือพวกเขารึ ฝันไปเถอะ..
กลุ่มชายฉกรรจ์เกือบสิบคนที่เฝ้าอยู่รอบรถม้าได้รับข่าวจากชายคนที่วิ่งมาบอกก็กระจายกำลังออกค้นหาทันที ค้นหานานกว่าครึ่งชั่วยามก็ไร้ซึ่งร่องรอย พวกเขาค้นหาทั่วสารทิศ ทั้งบริเวณลึกเข้าไปตามแนวป่า ย้อนไปตามทางที่มา และเส้นทางเบื้องหน้าก็ยังไร้วี่แววใดใด ยามนี้ฟ้ามืดแล้วนางเป็นเพียงสาวน้อยยังไม่ถึงวัยปักปิ่นไม่น่าจะวิ่งหนีรอดพ้นสายตาพวกเขาไปได้ เป็นไปได้ว่าอาจมีผู้อื่นช่วยไว้ คิดได้ดังนั้นผู้เป็นหัวหน้าจึงสั่งให้คนล่วงหน้าไปแจ้งข่าวแก่นายท่านและที่เหลือตัดสินใจย้อนกลับไปทางเดิม ทำให้บริเวณที่เคยโกลาหลกลับมาเงียบสงบอีกครา…
ตุ๊บ!
ร่างอันบอบบางกระโดดลงจากต้นไม้สูงเซถลาไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนกลับมายืนอย่างมั่นคง ไป๋ซูเมิ่งกวาดสายตามองโดยรอบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันไปแล้ว ริมฝีปากบางพลันแย้มยิ้มดวงตาเปล่งประกาย สองมือปัดเศษใบไม้ทั่วตัว ร่างระหงก้าวเท้าออกเดินไปยังเส้นทางมุ่งสู่เมืองซีเปียนซึ่งเป็นเมืองที่กองโจรที่ลักพาตัวนางมาก่อนหน้ากำลังมุ่งหน้าไป ที่เลือกทางนี้เพราะคนในกองโจรส่วนใหญ่ไปอีกทางนั่นเอง แม้ไปทางนี้จะดูเหมือนเดินเข้าหาอันตรายแต่นางก็คิดว่าอาจปลอดภัยกว่าการไปเจอพวกโจรที่เคยเห็นหน้านางมาแล้ว
ต้นไม้ที่ปีนขึ้นไปหลบนั้นไม่ใช่ต้นไหนไกลเลยคือต้นที่อยู่ข้างๆพุ่มไม้ที่นางลวงว่าจะปลดทุกข์นั่นเอง เคราะห์ดีที่ต้นไม้ต้นนี้มีใบขึ้นหนาเเน่นเป็นพิเศษ นางจึงลอบปีนขึ้นไปหลบบนนั้นตอนช่วงที่ทุกคนไม่ได้หันมามองนางและก็อาศัยช่วงเวลาตอนชายสองคนที่พยุงนางมาส่งเริ่มรู้สึกตัวหันกลับมา นางก็โยนก้อนหินขนาดไม่ใหญ่มากไปทางป่าที่มีต้นไม้ขึ้นรกทึบเพื่อชักจูงความคิดว่านางต้องหนีเข้าป่าไป คงไม่มีใครคาดว่าแม่นางน้อยในห้องหอจะสามารถปีนขึ้นต้นไม้ได้ ทำให้ไป๋ซูเมิ่งรอดมาได้อย่างหวุดหวิดด้วยทักษะการปืนป่ายที่ได้ติดตัวมากจากชาติก่อน
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







