นับตั้งแต่กลับจากงานเลี้ยงระดมทุนสงครามที่คฤหาสน์วิลส์ตัน กิจการอัญมณีและแพรพรรณของไซรัสก็ยิ่งโด่งดัง มีลูกค้าเดินเข้าร้านมากกว่าเก่าเป็นเท่าตัว
ความวุ่นวายย่อมๆ บังเกิดขึ้นทันที บรรดาลูกค้าผู้เรียกตัวเองว่า ‘คนมีระดับ’ ล้วนมากเรื่อง พวกเขาไม่เพียงต้องการสินค้าที่ดี ยังต้องการการบริการดุจราชินีและราชา รวมถึงการเยินยออย่างมีศิลปะ น่าประทับใจ
หากมีเรื่องร้านเพียงเรื่องเดียวให้ใส่ใจ ไซรัสคงลงมาบริหารจัดการทุกอย่างภายในร้านด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด แต่เป็นเพราะช่วงนี้เจ้าของกิจการหนุ่มวุ่นวายอยู่กับเรื่องยากง่ายหลายๆ อย่าง หน้าที่การบริหารจัดการทั้งหมดภายในร้านจึงถูกโอนไปที่ลูคัสซึ่งดูจะคุ้นชินกับวิถีผู้มีอันจะกินที่สุดในบรรดาพี่ๆ น้องๆ โดยมีพี่ใหญ่อย่างอารีคอยเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในร้านอยู่อีกชั้น
ต้องขอบคุณบรรดาผู้ติดตามซึ่งทำงานกันอย่างแข็งขันและรู้หน้าที่ ในช่วงเวลาเช้าตรู่ซึ่งเจ้าของกิจการควรยุ่งอยู่กับการขนถ่ายสินค้าเข้าร้านและสั่งให้คนงานหยิบนั่นจัดนี่อย่างช่วงเวลานี้ ไซรัสจึงมีเวลาปลีกตัวมานั่งดีดลูกคิดภายในห้องทำงานติดผ้าม่านหนาทึบ เพื่อคำนวณส่วนต่างระหว่างผลกำไรที่จะได้รับจากการจับมือร่วมลงทุนกับพ่อค้าแต่ละราย
เจ้าของกิจการหนุ่มใช้เวลาไม่นานในการเปลี่ยนข้อเสนอทั้งหมดเป็นตัวเลข เมื่อเห็นว่าพอหักลบส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดแล้ว ไม่เพียงตัวเองจะได้ผลตอบแทนไม่มาก อีกทั้งตัวเลขผลกำไรจากทุกใบยื่นข้อเสนอขอร่วมลงทุนจากพ่อค้าแต่ละรายก็ยังดูไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย คนซึ่งตอนนี้เป็นพ่อค้าอัญมณีและแพรพรรณรายใหญ่ของอาณาจักรก็มองออกทันที ว่าดูเหมือนตอนนี้ พวกพ่อค้ารายย่อยจะเริ่มฉลาดขึ้นแล้ว
พวกพ่อค้ารายอื่นๆ พยายามจะสร้างอำนาจต่อรอง
ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก เขาก็พอจะเดาออก ว่าทันทีที่คนพวกนี้รู้ตัวว่าโดนเขาสร้างโครงข่ายโยงใยควบคุมให้หันมาค้าขายด้วยการ ‘ยื่นใบเสนอราคาเพื่อประมูลสิทธิการเป็นคู่ค้า’ ตามกติกาที่เขาวางไว้ พวกพ่อค้าที่ไม่อยากรู้สึกเหมือนต้องตกเป็นเบี้ยเป็นรองเหล่านี้ จึงพลิกกระดานด้วยการจับมือกันอย่างลับๆ
ข้อตกลงเรียบง่ายที่ผูกมัดไว้ด้วยผลประโยชน์และอำนาจต่อรองถูกก่อร่างสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคากลางที่พวกเขาพึงพอใจเกิดขึ้นในวินาทีนั้น แล้วพวกเขาก็ไม่รีรอที่จะจับมือกันยื่นข้อเสนอค้าขายกับพ่อค้ารายใหญ่อย่าง ‘ไซรัส’ ด้วยราคากลางที่ว่า เพื่อโยกย้ายผลประโยชน์ที่ควรเป็นของไซรัสมาตัดแบ่งกัน ทำราวกับผลประโยชน์ส่วนนั้นเป็นขนมอบรสโอชาอันเป็นของพวกเขาโดยชอบธรรม
...ดัดหลังวิธีการ ‘ยื่นซองประมูลการร่วมลงทุน’ ที่ไซรัสเลือกใช้อย่างหน้าด้านๆ
“ยังเลือกผู้ร่วมลงทุนไม่ได้อีกรึ” เสียงเคร่งเครียดที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเสียงอารี ดึงให้ไซรัสละความสนใจจากลูกคิดและเอกสารตรงหน้า
“ทุกรายเสนอผลตอบแทนมาเท่ากัน ก็เลยไม่รู้ว่าจะเลือกใคร”
“เป็นไปได้ยังไง?”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลนักหรอก” ไซรัสเก็บเอกสารทั้งหมดลงลิ้นชัก สีหน้าเรียบเฉย เหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเกินกว่าจะใส่ใจ “ทุกคนมาพร้อมกันแล้วใช่ไหม”
อารีพยักหน้าตอบ ท่าทีขึงขัง “ทุกคนยกเว้นลูคัสที่ต้องเฝ้าหน้าร้านรอท่านอยู่”
ได้ยินเพียงเท่านั้น ไซรัสก็ลุกเดินออกจากห้องนำหน้าชายผิวสีไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เจ้าของกิจการหนุ่มเดินนำผู้ติดตามไปตามทางเดินกว้างขวางในตัวอาคาร
ตั้งแต่หน้าห้องทำงานเขาซึ่งเป็นสุดทางเดินของชั้นนี้ ไปจนถึงสุดทางเดินอีกฝั่ง ก่อนหน้านี้ทุกตารางนิ้วเคยปูด้วยอิฐธรรมดาๆ ที่ไม่ถึงกับเก่าคร่ำคร่า แต่ก็เต็มไปด้วยร่องรอย
ไซรัสไม่ชอบรอยกระดำกระด่างที่ขัดถูไม่ออก เขาสั่งให้ช่างมาปรับปรุงทางเดินในอาคารเสียใหม่โดยใช้แผ่นหินตัดชนิดบางพิเศษกรุพื้นและผนัง
เป็นงานใหญ่ เป็นงานหนัก
แต่สุดท้าย ด้วยเส้นสายและอำนาจเงินตรา ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ พื้นและผนังก็เปลี่ยนเป็นสีดำที่ชวนให้รู้สึกถึงบรรยากาศขึงขังสมใจเจ้าของอาคารคนใหม่
นั่นทำให้ทุกคนที่มีโอกาสเดินผ่านโถงที่เปิดเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ขึ้นบันไดมาพบสิ่งเหล่านี้ตระหนักว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร
“ไซรัสไม่ใช่เพียงพ่อค้าธรรมดา...เส้นสายที่มีก็ไม่ธรรมดา...” ทุกรายที่เคยเยื้องย่างบนพื้นหินสีดำสนิทต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน
เขาไม่เคยคิดข่มขู่ใคร แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าอาจต้องเชื้อเชิญบรรดาพ่อค้ารายย่อยที่กล้ารวมหัวกันเล่นตลกกับเขาเข้ามาพูดคุยปรับทัศนคติเสียบ้าง
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”