“ดี พูดได้ดี” ท่านเจ้ากรมการเมืองเอ่ยเสียงเข้ม “ใครอยู่ข้างนอก เข้ามาให้หมด!”
จบคำ สาวใช้สองนางกับทหารยืนยามอีกสองนายก็ก้าวเข้ามาในห้องหนังสือทันที
“ได้ยินที่ท่านหญิงพริสซิลล่าพูดแล้วใช่ไหม พูดออกดังลั่นบ้านขนาดนี้ คงไม่มีใครไม่ได้ยิน”
“คุณท่านมีอะไรให้รับใช้คะ” หญิงรับใช้ที่อัยน์นาจำได้ว่าชื่อมาธาถามด้วยท่าทีปะหลับปะเหลือก ดูท่าจะขวัญเสีย เพราะจู่ๆ ก็โดนลากเข้าแทรกกลางระหว่าง ‘การประชุมภายในครอบครัว’ ทั้งยังตกใจกลัวเพราะไม่เคยเห็นเจ้ากรมการเมืองผู้สุขุม ใจเย็น เปี่ยมเมตตา โกรธจนลุกขึ้นมาโวยวายเรียกหาคนรับใช้
“ไปทำความสะอาดห้องนอนแขกห้องที่ใหญ่ที่สุดแล้วตกแต่งใหม่ให้ดี ต่อไปนี้คุณหนูอัยน์นาจะใช้ห้องนั้น ห้องที่มีระเบียงนั่นล่ะ” ท่านเจ้ากรมการเมืองสั่ง น้ำเสียงเฉียบขาด
“ต๊าย คุณหนูอัยน์นาเหรอคะ” แอนนาเบลขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นทาบอก “เอาจริงเหรอคะ”
“มีปัญหาอะไรล่ะ ชาวบ้านร้านตลาดเขาก็เรียกแม่นี่แบบนั้นกันทั้งนั้น!” พริสซิลล่ากระแทกเสียงใส่น้องสาวอีกราย “เผลอๆ พวกคนรับใช้ คนสวน คนรถ ยันทหารยามก็อาจจะแอบเรียกแม่นี่แบบนี้มานานแล้วก็ได้” ประโยคหลัง บุตรสาวคนโตของคฤหาสน์หันไปมองคนรับใช้และทหารยืนยามเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“พอเถอะค่ะ อย่าให้เป็นเรื่องเป็นราวอีกเลย มาธากับเพื่อนๆ ลำบากใจนะคะ” อัยน์นาเอ่ยกึ่งวิงวอน ไม่รู้ว่าวิงวอนใคร ระหว่างท่านหญิงพริสซิลล่าผู้เลือดขึ้นหน้า กับเจ้าบ้านที่โกรธจัดจนหน้าขึ้นสี
“พอเถอะเหรอยะ” พริสซิลล่าคว้าแก้วน้ำชา สาดใส่หน้าคนขอให้พอทันที “นี่เขาเรียกชากลิ่นเปลือกส้ม หัดชิมไว้เสียสิ เผื่ออีกหน่อยตอนดื่มจะได้ไม่รู้สึกเคอะเขิน”
“พาคุณหนูอัยน์นาไปอาบน้ำอาบท่าซะ” ท่านเจ้ากรมการเมืองกำที่วางมือแน่นจนน่ากลัวว่ามันจะแหลกคามือ “อ้อ...เดี๋ยว” ดูเหมือนชายสูงวัยจะนึกบางอย่างขึ้นได้ เขาเหลียวมองภรรยาเหมือนต้องการจะบอกว่าหนนี้เอาจริง ก่อนสั่งทหารยืนยาม “ไปตามช่างตัดชุดมาด้วย ติดต่อไปที่ร้านแพรพรรณที่ใหญ่ที่สุด บอกเขาว่าท่านหญิงพริสซิลล่ากับท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมืองอยากตัดชุดใหม่ให้คุณหนูอัยน์นา บอกให้เขามาพบคุณหนูตอนบ่ายแล้วตัดชุดให้ใหม่เท่าที่คุณหนูต้องการ”
สิ้นคำสั่ง มาธาก็รีบมาประคองอัยน์นาที่ดูคล้ายจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกออกจากห้องอย่างรู้งาน
อัยน์นาไม่ได้เหลียวกับไปมองข้างหลัง กระนั้น ความเงียบงันภายในห้องก็บอกให้รู้ได้โดยไม่ต้องเดา ว่าหนนี้ท่านเจ้ากรมการเมืองเอาจริงจนไม่มีใครกล้าหือ...
“จะทำยังไงดีคะ” อัยน์นาถามมาธาเสียงสั่น
“ไม่ต้องทำยังไงค่ะ ทำตามคำสั่งคุณท่านก็พอ” มาธาลูบแขนเธอเบาๆ เป็นเชิงปลอบขวัญ “ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนรังแกมากขึ้นนะคะ ตอนนี้คุณท่านออกโรงแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องทนเก็บความรู้สึกอีกต่อไป ต่อไปนี้ถ้ามีใครมารังแกคุณหนู พวกเราจะออกโรงปกป้องคุณหนูเต็มที่”
อัยน์นาส่งยิ้มอ่อนโยนให้หญิงรับใช้ทั้งสองเหมือนซาบซึ้งใจทั้งๆ ที่ไม่คาดหวังเรื่องนั้นสักเท่าไหร่ และยิ่งคลี่ยิ้มกว้างขึ้น เมื่อหญิงรับใช้ไขประตูเปิดห้องนอนหรูหราห้องใหญ่ เผยให้เห็นพื้นปูพรมราคาแพงสีแดงสด ผนังกรุไม้ขัดเงาชั้นดีและบุกำมะหยี่สีเดียวกับพื้นห้องอย่างละครึ่งส่วน เตียงนอนสี่เสาฝูกหนานุ่มคลุมทับด้วยผ้าห่มงดงามชวนฝัน เชิงเทียนและแจกันดอกไม้ทองเหลืองรมดำสลักลาย กับผ้าม่านสองชั้นสีขาวสะอาดประดับลูกไม้ปักดิ้นทองลายตราประจำตระกูลแกรนเทรนท์...
ต้องขอบคุณความริษยาอาฆาตจากพริสซิลล่า ที่ทำให้เรื่องราวดำเนินมาจนถึงจุดนี้
“อย่าเกลียดคุณแม่กับพี่ๆ เลยนะคะ ช่วงนี้มีข่าวลือแย่ๆ คุณแม่กับพี่ๆ ก็เลยไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก” อัยน์นาบอกนัยน์ตาเศร้า ขับให้แววตาหญิงรับใช้ทั้งสองยิ่งดูอ่อนโยนมากขึ้น
“ฝากบอกทุกคนด้วยนะคะ ว่าที่ลูกนอกสมรสต่ำต้อยอย่างฉันได้ย้ายขึ้นมาอยู่บนนี้ ก็เพราะความกรุณาของคุณพี่”
“โถ...แม่คุณ เขาทำขนาดนี้ ยังจะห่วงเรื่องแก้ข่าวให้เขาอีกเหรอคะ” มาธาถามพลางช่วยซับผมเปื้อนคราบชาให้เธอ
“คุณพี่พริสซิลล่าไม่ได้ตั้งใจค่ะ คุณแม่ก็ไม่ได้ตั้งใจ คุณพี่แอนนาเบลยิ่งแล้วใหญ่”
อัยน์นานั่งก้มหน้ารอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร แต่นอกจากเสียงทอดถอนใจที่บอกให้เธอรู้ชัดว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางมองคนในประเด็นสนทนาในแง่ดีอีกต่อไป ก็ไม่มีเสียงตอบรับอื่นใดนอกจากนั้น
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”