การขอโทษเหตุใดมันถึงได้ดูยากเย็นนัก ขนาดที่ว่าเขาหายไปถึงสามวันเต็ม ๆ มีเวลาให้นางได้อยู่กับตัวเอง ทว่าเมื่อได้พบหน้าเข้าจริง ๆ หนิงเซียนกลับพูดคำนั้นไม่ออก
“แค่คำว่าขอโทษ เหตุใดข้าถึงได้ขี้ขลาดนักเล่า” หญิงสาวนั่งตบปากตนเองเบา ๆ ตั้งแต่วันนั้นเหลียงเฟิงก็มิได้ดึงดันจะเข้าใกล้นางอีก อีกทั้งยังยอมสละห้องนอนที่มีอยู่เพียงห้องเดียวให้นางให้ตนเอง โดยที่เขาออกมานอนด้านนอกแทน นั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น
หญิงสาวนั่งเย็บหน้ากากอนามัยด้วยความตั้งใจ ในเมื่อเข้าใกล้ทีไรก็เหม็นกลิ่นเขาจนแทบอาเจียนเสียทุกที นางจึงทำหน้ากากอนามัยขึ้นมาใช้เองเสียเลย อย่างไรก็หนีกันไม่พ้นและเขายังพูดเองว่าไม่มีความคิดที่จะให้นางเอาเด็กออก หนิงเซียนจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ ทำอย่างไรก็ได้ให้เขารักลูกตนเองให้มากที่สุด ในตอนที่นางไม่อยู่แล้วเด็กน้อยคนนี้จะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยว
หน้ากากอนามัยหลายสิบชิ้นที่หนิงเซียนนั่งหลังขดหลังแข็งทำมาถึงหนึ่งชั่วยาม(2 ชั่วโมง) ในที่สุดก็ทำเสร็จเสียที หญิงสาวหยิบหน้ากากอนามัยขึ้นมาสวม ก่อนจะเรียกความมั่นใจของตนเองกลับมา เพื่อจะได้ไปขอโทษท่านอ๋องอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก
ครั้นจะเดินเข้าไปขอโทษโต้ง ๆ ก็ไม่ได้ เพื่อให้การขอโทษครั้งนี้สำเร็จจะต้องทำให้ดี ในเมื่อการหนีมันไม่ง่ายอย่างที่คิด แผนการประจบตัวร้ายมิให้ตนเองและบุตรต้องลำบากในภายภาคหน้า ทำเช่นนี้ก็คงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว อีกไม่นานก็จะเกิดเหตุการณ์อาหารเป็นพิษระบาดไปทั้งเมืองอย่างไม่ทราบสาเหตุ มีเพียงนางที่รู้เรื่องนี้ว่าสาเหตุเกิดมาจากอะไรกันแน่
เพราะเป็นหน้าฝนทำให้พืชผักบางชนิดมักจะเน่าเสียจากการจมน้ำนานเกินไป ดินโคลนถล่มน้ำในคลองขุ่นสกปรก ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้คนท้องเสียและเกิดอาหารเป็นพิษ อาหารเป็นพิษได้แพร่กระจายในหมู่ชาวบ้านธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพืชผักที่เก็บมา บางครัวเรือนจะตัดเอาส่วนที่เน่าเสียทิ้งไป ส่วนที่ดีที่ยังพอกินได้ก็นำมาทำอาหารเลี้ยงปากท้องเพื่อความอยู่รอด
ทำให้พอกินอาหารและน้ำที่ไม่สะอาดเข้าไป ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบก็จะเกิดอาการอาเจียนถ่ายท้อง บางรายที่อาการหนักก็ถึงขั้นหมดสติไปก็มี เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่าหนิงเซียนจำเป็นจะต้องบอกเรื่องนี้ให้เหลียงอ๋องได้รู้ แต่จะทำอย่างไร หากว่านางเดินเข้าไปบอกตามตรง ก็คงจะคิดว่าตนเองบ้าพูดจาเพ้อเจ้อกันพอดี หลักฐานที่จะนำมายืนยันในคำพูดก็ไม่มี
“นั่นเจ้าจะไปที่ใด”
“ท่านอ๋อง” เห็นทีเขาคงจะอายุยืนยาวไปสักร้อยปี ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกจากห้องนอนเลยด้วยซ้ำ ท่านอ๋องตัวร้ายก็โผล่มาตรงหน้าเสียแล้ว
“ข้าถามไม่ได้ยินหรือไร เหตุใดไม่ตอบ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูง เขาก็แค่ถามไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ดีเสียหน่อย เหตุใดถึงได้สะดุ้งสุดตัวเช่นนั้นกัน นี่นางกลัวเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“ปะ... ไปหาของกินในครัวเพคะ ถ้าท่านอ๋องไม่มีธุระอะไรแล้วหม่อมฉันขอตัว” ร่างบางรีบเผ่นหนีทันที ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้มีหวังได้โดนซักไซ้เอาความเป็นแน่ อย่างไรขอไปตั้งหลักก่อนก็แล้วกัน เอาไว้ให้ท่านอ๋องอารมณ์ดีกว่านี้ค่อยกลับมาอีกครั้งก็แล้วกัน
เหลียงเฟิงมองตามหลังร่างเล็กไปจนลับตา เห็นได้ชัดว่านางพยายามจะหลบหน้าและยังตื่นกลัวเมื่อพบหน้าเช่นเคย ทั้งที่เขาก็ลดการเข้มงวดกับนางไปมากแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น จะมีวิธีใดที่ทำให้นางหายกลัวเขาได้บ้างหรือไม่
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน