“ขอโทษ”
“อะ...อะไรนะเพคะ” หญิงสาวเบิกตากว้างคิดว่าตนเองหูฝาด หรือไม่นางอาจจะยังตื่นไม่เต็มตา เช้ามาจึงได้เจอแต่เรื่องน่าประหลาดใจเช่นนี้ ใครก็ได้ช่วยหยิกนางให้ตื่นจากฝันนี่ที
“หูเจ้าตึงหรืออย่างไร ไม่ได้ยินมันก็เรื่องของเจ้า” การที่เขาเอ่ยปากขอโทษก่อนทั้งที่ไม่รู้ว่าตนเองทำผิดอะไร ถือว่าดีเท่าไรแล้ว นี่นางจะให้พูดซ้ำอีกสักกี่ครั้งกัน
“ท่านอ๋องช่วยขยับออกไปไกล ๆ ได้หรือไม่เพคะ กลิ่นตัวแรงมากเลยเพคะ” หนิงเซียนแสร้งยกมือขึ้นปิดจมูกและปาก ทั้งที่นางก็ใส่หน้ากากอนามัยเอาไว้แล้ว ท่าทางเขาตอนนี้ก็ดูน่ารักดีไม่น้อยกับหน้าและใบหูที่แดงราวกับลูกตำลึงนั่น รู้สึกคันยุบยิบในใจอย่างไรไม่รู้
“ขอโทษ” เหลียงเฟิงกล่าวเสียงเบาและห้วน ลำพังเขายอมอ่อนข้อลงให้ส่วนหนึ่งก็ดีแค่ไหนแล้ว ได้คืบจะเอาศอกจริงเชียว ชายหนุ่มสีหน้าไม่ค่อยดีนักรู้สึกกระดากอายไม่น้อย เพราะตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยขอโทษใครมาก่อนยกเว้นเสด็จพ่อและเสด็จแม่ กระนั้นการขอโทษในครั้งนี้เขากลับไม่ได้รู้สึกว่าถูกบังคับเลยสักนิด ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นความตั้งใจของตัวเขาเอง
“หม่อมฉันก็เช่นกันเพคะ ขอโทษที่ทำตัวไม่เหมาะสมและใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล” ในเมื่อท่านอ๋องตั้งใจมาขอโทษนางถึงเพียงนี้แล้ว แม้จะฟังดูห้วนเหมือนถูกบังคับมา แต่การที่จะให้พระองค์กล่าวขอโทษใครสักคนมิใช่เรื่องง่ายเลย นางเองก็ควรที่จะเลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ถึงคราวที่จะกล่าวขอโทษเขาเช่นกัน
“ข้ามีของจะให้เจ้าด้วย ตามข้ามาสิ”
“เพคะ”
แม้จะรู้สึกสงสัยใคร่รู้ กระนั้นก็ยอมเดินตามคนตัวโตไปแต่โดยดี หนิงเซียนเดินตามหลังอ๋องตัวร้ายต้อย ๆ แต่แล้วเมื่อเขาพานางมาหยุดในห้องครัวก็ต้องอ้าปากค้าง กองเนื้อจำนวนมากตรงหน้านั่นมันคืออันใดกัน เหตุใดถึงได้มากมายเช่นนี้ กินทั้งเดือนจะหมดหรือไม่ แล้วเขาเอาเนื้อพวกนี้มาทำอะไรกัน
“เจ้าชอบหรือไม่ เขาว่ากันว่าหากให้ของที่สตรีชื่นชอบพวกนางจะหายโกรธ ข้าจึงสั่งให้คนไปกว้านซื้อเนื้อจากเขียงหมูในเมืองมาทั้งหมดก็เพื่อเจ้าเชียวนะ” ชายหนุ่มยืดอกอย่างภาคภูมิใจ รอคอยคำชมจากภรรยาคนงามไม่ไหวแล้ว
“ท่านอ๋อง! หาว่าหม่อมฉันตะกละเหมือนหมูหรือเพคะ” หญิงสาวชักสีหน้าใบหน้างามบูดบึ้ง คงจะเห็นว่านางตะกละกินเยอะจนอ้วนฉุเหมือนแม่หมูแล้วสินะ เช่นนั้นก็บอกนางมาตรง ๆ เถิด ดีกว่าหลอกด่ากันเช่นนี้
“เดี๋ยว หนิงเซียนนั่นเจ้าจะไปที่ใด หนิงเซียน” ชายหนุ่มตะโกนเรียกตามหลังคนตัวเล็กเสียงดัง นางไม่พูดไม่จาเดินห่อไหล่คอตกออกไปทันที ทำให้เหลียงอ๋องผู้เชื่อมั่นในตนเองถึงกับใจเสีย
“มู่หลาง” เหลียงเฟิงเรียกชื่อองครักษ์คนสนิทเสียงเย็นเยียบ ช่างบังอาจทำให้เขาขายหน้า ทุกอย่างกำลังไปได้ดีอยู่แล้วเชียว
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มก้าวออกมาด้านหน้าทันที เขารู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างจากสายตาท่านอ๋องเข้าเสียแล้ว
“วิ่งรอบเรือนสองร้อยรอบ” โทษฐานที่ให้คำแนะนำข้าผิด ๆ
“รับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ” เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้เล่า เขาก็แค่เสนอความคิดตามตำราแนะนำก็เท่านั้น ส่วนเรื่องเนื้อหมูพวกนั้นก็เป็นท่านอ๋องเองมิใช่หรือที่เป็นคนคิด ไฉนเลยถึงได้มาลงกับกระหม่อมล่ะพ่ะย่ะค่ะ
มู่หลางได้แต่จำยอม ครั้นจะโต้แย้งกลับก็มิได้ ชายหนุ่มได้แต่เดินคอตกออกไปด้านนอก ก่อนจะออกตัววิ่งตามคำสั่งของเหลียงอ๋อง
สุดท้ายแล้วแผนการขอคืนดีก็เป็นอันต้องล่ม ไม่ว่าเหลียงเฟิงพยายามเข้าหาสักเท่าไร เจ้าหล่อนก็เอาแต่จะคอยหลบหน้าอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นถึงอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดจะต้องมาคอยตามเอาใจเพียงแค่สตรีคนเดียว ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรก็เรื่องของนางจะไม่ใส่ใจอีก
เวลาเดียวกันนั้นเอง หนิงเซียนก็เอาแต่คิดหาวิธี เพื่อที่จะบอกกับท่านอ๋องอย่างไรมิให้ตัวเองกลายเป็นคนบ้าพูดจาเลอะเลือนในสายตาผู้อื่น การที่อยู่ดี ๆ นางเดินเข้าไปบอกว่าอีกหนึ่งเดือนจะเกิดเรื่องโรคระบาด ที่ไม่มีใครหาสาเหตุของการเกิดโรคนั้นได้ แต่แท้จริงแล้วมันมิใช่โรคระบาดแต่อย่างใด ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากการกินของที่เน่าเสียเข้าไป ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ และแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่หญิงสาวกำลังคิดหาวิธีอยู่นั้น ก็ได้เหลือบไปเห็นตำราพรรณพืชและตำราแพทย์เข้าพอดี ร่างบางพุ่งเข้าหาตำราสองเล่มนั้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้างามแย้มยิ้ม ตอนนี้นางพอจะคิดออกแล้วล่ะว่าจะเริ่มต้นจากตรงที่ใดก่อนดี
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน