แชร์

บทที่ 21 หาคนงานผ่านตัวกลาง

ผู้เขียน: ฮาจิฮาจิ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-21 11:55:52

บทที่ 21

หาคนงานผ่านตัวกลาง

            หลายวันต่อมา หานเจียเอ๋อร์มาหาตงตงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บอกว่าซาลาเปาทั้ง 4 ไส้ขายดีจนหมดเกลี้ยงทุกวัน ทั้งยังชื่นชมลายดอกไม้ที่อยู่บนผิวของซาลาเปา

            พูดเรื่องซาลาเปาอยู่ดีๆ หานเจียเอ๋อร์พลันยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูตงตง

            “…ข้ายังได้ยินข่าวว่า ช่วงนี้โรงเตี๊ยมตระกูลฉินขายซาลาเปาไม่ออก เห็นว่าขาดทุนด้วยละ ฮิๆ”

            พูดจบ หานเจียเอ๋อร์หัวเราะคิกๆ ด้วยสีหน้าสะใจ

            อาจเพราะหานเจียเอ๋อร์เป็นคนสวย แม้ใบหน้าของนางจะแสดงความเย้ยหยันและดูชั่วร้าย แต่ตงตกลับมองว่าน่ารัก

            หานเจียเอ๋อร์ลดมือลง ผละใบหน้าออกมาแล้วถามตงตงว่า “จนป่านนี้แล้ว ยังไม่มีคนมาสมัครงานที่ร้านของเจ้าอีกหรือ”

            ตงตงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ใช่แล้วพี่สาว คงเพราะโรงเตี๊ยมตระกูลจางเคยปิดกิจการไปครั้งหนึ่ง ก็เลยไม่มีใครกล้ามาทำงานในร้านที่ไม่มั่นคง” 

            หานเจียเอ๋อร์ถอนหายใจเฮือก “เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ละนะ ทุกคนล้วนอยากได้งานที่มั่นคงกันทั้งนั้น”

            ตงตงเห็นด้วย

            เด็กสาวทั้งสองเงียบอยู่พักหนึ่ง

            ต่อมา หานเจียเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยสีหน้าราวกับมีความคิดดีๆ “จะว่าไปแล้ว เจ้าลองไปหาคนที่ถนนทางใต้ใกล้กับย่านโคมแดงดูสิ”

            ได้ยินแบบนั้นตงตงจ้องมองหานเจียเอ๋อร์ด้วยสีหน้าสงสัย ทำไมต้องเป็นถนนทางใต้ใกล้ย่านโคมแดง?

            หานเจียเอ๋อร์เห็นสีหน้าของตงตงก็รู้ทันที จึงอธิบายเพิ่มว่า “แถวนั้นมีร้านนายหน้าจัดหาคนงานอยู่เยอะ ถึงคนงานส่วนใหญ่จะเป็นพวกไร้บ้านก็เถอะนะ แต่พวกเขาทำงานได้”

            “พวกไร้บ้านหรือ”

            “ก็ตามที่พูด พวกเขาเป็นคนไร้บ้านหรือพวกขอทานนั่นแหละ” น้ำเสียงของหานเจียเอ๋อร์ค่อนข้างฉุนเฉียว

            พวกขอทานไปรวมตัวกันที่ถนนทางใต้ใกล้กับย่านโคมแดงกันเยอะ เพราะที่นั่นเป็นแหล่งรวมร้านนายหน้าจัดหาคนทำงาน เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้ อะไรจะซื่อบื่อป่านนั้น

            หานเจียเอ๋อร์พูดต่อ “เสี่ยวเอ้อกับคนรับใช้บ้านข้าก็ซื้อมาจากที่นั่น ให้พ่อของเจ้าพาไปล่ะ ถึงจะเป็นร้านนายหน้าถูกกฎหมาย แต่แถวนั้นก็อันตรายสำหรับเด็กสาวซื่อบื่ออย่างเจ้า”  

            “เข้าใจแล้ว ขอบคุณพี่สาว”

            หานเจียเอ๋อร์เชิดหน้าแล้วส่งเสียงตอบ อืม

            …..

            …..

            ในโลกที่ตงตงจากมา มีบริษัทตัวกลางจัดหาคนงานอยู่เต็มไปหมด ตงตงจึงไม่รู้สึกแปลกใจกับระบบนี้สักเท่าไร

            พอตัดสินใจว่าจะหาคนงานจากร้านนายหน้า ช่วงบ่ายของวันนั้นเอง หลังจากปิดร้านเสร็จ ตงตงชวนจางไคเฮ่อไปยังถนนทางใต้ตามที่หานเจียเอ๋อร์แนะนำ

            เนื่องจากถนนทางใต้อยู่ไกล มิหนำซ้ำ ตอนนี้ร้านค้าของตงตงทำกำไรได้มากแล้ว สองพ่อลูกจึงนั่งรถม้ารับจ้างมาที่ถนนทางใต้

            อย่างที่ทราบดี จางไคเฮ่อเป็นอดีตหัวหน้านายกอง ย่อมรู้ว่าร้านไหนทำการซื้อขายถูกกฎหมาย และหักค่านายหน้าอย่างสมเหตุสมผล

            จางไคเฮ่อกับตงตงเข้ามาในร้านแห่งหนึ่ง หลังจากบอกคุณสมบัติและค่าแรงที่จ่ายได้กับนายหน้า ไม่นานนัก นายหน้าก็พาคนที่ตรงคุณสมบัติออกมายืนเรียงให้เลือก ก่อนจะแนะนำเป็นรายบุคคล

            ตงตงเชื่อในสายตาอันเฉียบคมของท่านพ่อ นางจึงให้เขาตัดสินใจ 

            ท้ายที่สุดก็ได้คนงานกลับมา 4 คน อายุมากสุดคือแม่ม่ายที่ขายตัวเองเพื่อฝั่งศพสามี นางอายุ 32 และทำอาหารเป็น ตงตงตั้งใจจะให้นางมาเป็นผู้ช่วยในครัว ส่วนอีก 3 คนที่เหลือ ช่วงอายุอยู่ระหว่าง 16-19 ปี ผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง1 คน ตงตงจะให้พวกเขาช่วยงานจิ่งฝาง

            จัดการหาคนงานเรียบร้อยแล้ว ระหว่างทางกลับบ้าน ตงตงถามจางไคเฮ่อเกี่ยวกับร้านทำภาชนะ

            “เจ้าจะทำอะไรหรือ” จางไคเฮ่อถามลูกสาวด้วยความสงสัย

            “ทำหม้อไฟเจ้าค่ะ”

            “หม้อไฟ?” จางไคเฮ่อทวนคำ

            อธิบายปากเปล่าคงไม่เข้าใจ ตงตงจึงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้กับท่านพ่อ

            จางไคเฮ่อคลี่กระดาษออก

            บนกระดาษเป็นรูปวาดภาชนะทรงกลม ตรงกลางแบ่งออกคล้ายหยินหยาง ภาชนะนี้มีหูจับทั้งสองข้าง และมีเตาไฟอยู่ข้างใต้

            นอกจากนี้ นางยังเขียนตัวเลขบอกขนาดและวัสดุที่ใช้ทำภาชนะด้วย

            “วาดได้ดี” จางไคเฮ่อชมฝีมือวาดรูปของบุตรสาว

            นอกจากทำอาหารเป็นเลิศ ลูกสาวของเขายังมีความคิดสร้างสรรค์ วาดภาพออกมาได้สวย นางเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร!?

            เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ

            แทนที่จะถามเรื่องหม้อไฟหรือภาชนะ จางไคเฮ่อกลับชมฝีมือวาดภาพ เป็นไปได้ว่าเขาคงรู้จักหม้อไฟอยู่แล้ว

            “ท่านพ่อรู้จักหม้อไฟด้วยหรือ?”

            จางไคเฮ่อแสดงสีหน้าเหมือนระลึกความหลัง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

            “ก่อนที่จะรู้จักกับแม่ของเจ้า พ่อเป็นทหารในกองทัพของแม่ทัพเสวี่ย ครั้งหนึ่งพ่อเคยเดินทางไปกวาดล้างกบฏทางเหนือ ในละแวกที่พวกเราตั้งค่ายนั้น อยู่ใกล้กับหมู่บ้านของชนกลุ่มน้อย ทางเหนืออากาศค่อนข้างหนาวเย็น ชาวบ้านแถบนั้นพอล่าสัตว์มาได้ พวกเขามักล้อมวงทำหม้อไฟกินกัน”

            “อย่างนี้นี่เอง”

            เคยได้ยินว่าวัฒนธรรมกินหม้อไฟเริ่มมาจากชาวมองโกล จางไคเฮ่อพูดถึงกบฏทางเหนือและชนกลุ่มน้อย มิน่าเล่า เขาถึงรู้จักหม้อไฟ

            “น้ำซุปหม้อไฟของพวกเขา ตุ๋นจากเนื้อติดกระดูกของสัตว์ที่ล่ามาได้ รสชาติจึงไม่ซ้ำ พวกเขาจะเติมเกลือกับสมุนไพรดับกลิ่นคาว กินไปกินมาก็รู้สึกว่าไม่เลว แต่หม้อไฟของเจ้า เหตุใดถึงงใช้หม้อรูปร่างแบบหยินหยาง?”

            จางไคเฮ่ออธิบายรสชาติหม้อไฟที่ตนเคยกิน ทั้งยังถามบุตรสาวในท้ายประโยค

            “เพราะข้าตั้งใจจะทำน้ำซุปออกมาสองแบบ แบบแรกเป็นน้ำซุปกระดูกหมู แบบที่สองเป็นน้ำซุปหมาล่ารสเผ็ด”

            จางไคเฮ่อยังคงแสดงสีหน้าสงสัย

            ตงตงกล่าวเพิ่มเติมว่า “ให้อธิบายเปล่าๆ คงไม่เข้าใจ หากได้หม้อมาแล้ว พวกเรามาล้อมวงกินหม้อไฟด้วยกันนะท่านพ่อ!”

            ต้นฤดูใบไม้ร่วงอากาศค่อนข้าง ร้านอาหารส่วนใหญ่ล้วนเพิ่มเมนูตามฤดูกาล ทว่าหม้อไฟนั้นสามารถกินได้เรื่อยๆ ตงตงเชื่อว่าเมนูนี้จะเป็นเมนูยอดฮิตของร้าน

            จางไคเฮ่อเห็นรอยยิ้มอันมั่นใจของบุตรสาว เขาเองก็ชักอยากรู้แล้วว่า ‘หม้อไฟหมาล่า’ จะหน้าตาอย่างไร รสชาติแบบไหน 

            “ได้ ข้าจะรอชิมหม้อไฟของเจ้า!”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทพิเศษ ความลับของตระกูลจาง

    บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทส่งท้าย

    บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทที่ 78 ขอแต่งงาน

    บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทที่ 77 จู่โจมรวดเร็ว

    บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทที่ 76 กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง

    บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทที่ 75 คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ

    บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status