บทที่ 33
เทพธิดาแห่งการปรุงอาหาร
ตงตงอึ้งกับความช่างสังเกตของจางไคเฮ่อ
ถึงกระนั้น นางก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไร เพราะทั้งสองคนเป็นพ่อลูกกัน
นิสัยเดิมของของตงตงเป็นอย่างไร มีหรือที่จางไคเฮ่อผู้เป็นพ่อจะไม่รู้
“อยู่ๆ ข้าก็เปลี่ยนไป ท่านพ่อจะสงสัยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
หลังจากอาการตะลึงปลิวหายไป ตงตงพูดด้วยน้ำเสียงที่อัดแน่นไปด้วยความหวั่นใจ
บอกตามตรง ตงตงไม่อยากถูกมองว่าเป็นตัวแปลกประหลาด
จางไคเฮ่อเงียบไปชั่วครู่แล้วพูดขึ้นมาว่า “ตงตงคิดเลขช้า ขี้อาย ซ้ำยังพูดไม่เก่ง นางมักจะหลบหลังกุ้ยฉินและข้าอยู่เสมอ”
นิสัยเหล่านั้นตรงข้ามกับตงตงในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
แค่ข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ก็ทำให้รู้แล้วว่านางคือตัวปลอม!
แต่ถึงอย่างนั้น…
“ท่านพ่อ ท่านเชื่อเรื่องการเกิดใหม่หรือไม่”
คำพูดของเด็กสาวทำเอาจางไคเฮ่อขมวดคิ้วมุ่น มองนางด้วยสายตาระแวง
ตงตงรีบโบมือ แก้ตัวว่า “ท่านพ่ออย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้ายังไม่ตาย!”
“แล้วหมายความว่ายังไง”
“คำว่า ‘เกิดใหม่’ ข้าแค่เปรียบเปรยเจ้าค่ะ ข้ายังเป็นลูกสาวของท่านพ่ออยู่นะ”
“เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”
“จำตอนที่ท่านพ่อเก็บตัวอยู่ในห้องได้หรือไม่”
พูดถึงเรื่องนี้ จางไคเฮ่อพลันแสดงสีหน้าเศร้าสลด
“จำได้”
“ตอนนั้นข้าออกมาซื้อแป้ง แล้วถูกโจรวิ่งราวผลักตกน้ำ ถึงจะถูกช่วยขึ้นมาได้ แต่ข้าก็ไม่สบายหนัก หลายวันที่ข้านอนซมเพราะไข้หวัด ข้าหลับๆ ตื่นๆ แล้วก็ฝัน”
“ฝันหรือ”
ตงตงพยักหน้ายืนยัน
“ในฝันของข้ามีสตรีนางหนึ่งปรากฏตัว นางบอกว่าตัวเองเป็นเทพธิดาแห่งการปรุงอาหาร ในความฝันนางสอนข้ามากมาย อาหารที่พวกเราไม่รู้จัก อาหารที่ไม่มีในยุคนี้ รวมถึงวัตถุดิบด้วย นางสอนข้าทุกๆ อย่าง และนางยังมอบกล่องใบหนึ่งให้กับข้าด้วย”
หากบอกออกไปทื่อๆ ว่าที่อยู่ในร่างนี้คือตงตงที่มาจากศตวรรตที่ 21 จางไคเฮ่อต้องมองว่านางเป็นตัวประหลาดแน่นอน
หากแต่งเรื่องให้เหลือเชื่อ ยิ่งไม่สมเหตุสมผล คนกลับฟังเข้าใจ
อาจเพราะคนในยุคนี้เชื่อเรื่องเทพเซียนกระมัง
“กล่องหรือ กล่องอะไร”
“เจ้าค่ะ” ตงตงตอบแล้ววาดมือตรงหน้า เพราะรู้ว่ามีนางคนเดียวที่มองเห็น นางจึงเปิดหน้าต่างระบบร้านค้า ทั้งยังอธิบายจางไคเฮ่อด้วยแววตาใสซื่อ “กล่องใบนี้มีของขายมากมายเลยเจ้าค่ะ ราคาถูกกว่าร้านข้างนอกตั้งเยอะ”
แน่นอนว่าจางไคเฮ่อมองไม่เห็นหน้าต่างระบบ
เขาย่นหัวคิ้ว
“ท่านพ่อมองไม่เห็นหรือ”
จางไคเฮ่อส่ายหน้า
“ข้าไม่ได้โกหกนะ จริงสิ ข้าจะเอาของออกมาให้ท่านพ่อดู แต่…ตอนนี้เราอยู่หน้าบ้านคนอื่น ถ้ากลับบ้านแล้ว ข้าจะพิสูจน์ให้เห็น”
“ที่เจ้าเอาของแปลกๆ ออกมา ล้วนมาจากกล่องใบนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าเชื่อ”
อะไรน่ะ!
บทจะเชื่อก็เชื่อง่ายๆ เลยหรือ
ตงตงเอียงหัว หน้าตาสงสัย
จางไคเฮ่อยิ้มแล้วลูบหัวลูกสาว
หลังจากนั้น สงพ่อลูกก็เดินไปบนถนนเมืองอู่เฉิง เพียงครู่หนึ่ง จางไคเฮ่อพูดกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าคือลูกสาวข้า ไม่มีทางโกหกอยู่แล้ว”
ตงตงหันมองจางไคเฮ่อ ความอบอุ่นผุดขึ้นมาเต็มอก
อันที่จริงแล้ว นางเองก็รู้สึกว่าจางไคเฮ่อเป็นพ่อของตนจริงๆ
เด็กสาวคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“ว่าแต่ว่า เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าจะส่งเหยียนหลิ่วออกนอกเมือง” จางไคเฮ่อถามตงตง
“เพราะข้าเป็นลูกสาวของท่านพ่อยังไงล่ะ!” ตงตงตอบพลางหัวเราะเสียงใส
จางไคเฮ่อส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อ
“จริงๆ แล้ว เจ้าเห็นจดหมายกับแผนที่บนโต๊ะในห้องข้าใช่หรือไม่”
ตงตงหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นว่าจางไคเฮ่อเดาถูก
นางเห็นกระดาษแผ่นนั้นจริงๆ
“ตอนเข้าไปทำความสะอาดในห้องท่านพ่อ ข้าบังเอิญเห็นกระดาษบนโต๊ะ ถ้าจะแอบทำเรื่องเสี่ยงอันตราย ท่านพ่อควรระวังมากกว่านี้” ตงตงตอบตามจริง ทั้งยังเตือนเขา
“นั่นเพราะข้าไม่คิดจะปิดบังเจ้าต่างหาก”
นั่นสินะ อดีตหัวหน้ากอง จะไม่ระวังตัวได้ยังไง
“ถ้าเราไม่อยู่เมืองอู่เฉิง เหยียนหลิ่วก็ตัวคนเดียว ข้าคิดว่าให้เขาลองเสี่ยงออกจากเมืองอู่เฉิงอาจเป็นวิธีที่ดีกว่า” จางไคเฮ่อเว้นคำพูด ก้มหน้ามองลูกสาว “บอกตามตรงว่าแผนของข้ายังไม่รัดกุมพอ เหยียนหลิ่วอาจถูกกู้อวี้ชุนจับได้ก่อนที่จะหนีไปถึงเมืองซินหยาน แต่ถ้ามีคุณชายต้วนเซียวช่วยเหลือ ข้าเชื่อว่าเขาต้องไปหาแม่ทัพเสวี่ยได้แน่ๆ ขอบใจเจ้ามาก”
“ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อคนบ้านกู้เกลียดเหยียนหลิ่วขนาดนั้น ทำไมถึงรั้งเขาไว้ที่เมืองอู่เฉิง” ตงตงถาม
“เพราะเกลียดถึงขั้นไม่อยากให้ได้ดิบได้ดีกระมัง” จางไคเฮ่อตอบ
“เห?”
“เจ้าก็เห็นศักยภาพของเหยียนหลิ่วแล้ว คนอย่างนั้นมีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิด พวกคนบ้านกู้คงเห็นความสามารถของเขาก็เลยกดข่มเขาไว้ไม่ให้ได้ดิบได้ดี”
“สารเลวกันจริงๆ”
“ทั้งเมืองอู่เฉิง ไม่มีหน่วยงานไหนกล้ารับเหยียนหลิ่ว มีก็แต่ต้องลองเสี่ยงส่งเขาไปหาแม่ทัพเสวี่ย”
แม่ทัพเสวี่ยคืออดีตหัวหน้าของจางไคเฮ่อ
เห็นแก่ที่เคยเป็นอดีตลูกน้องคนสำคัญ ก็ได้แต่หวังว่าแม่ทัพเสวี่ยจะยอมรับเหยียนหลิ่วเข้ากอง
“เอาละ พวกเราจะไปบ้านตระกูลถังกับบ้านตระกูลหานต่อใช่หรือไม่” จางไคเฮ่อถามบุตรสาว
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ตงตงตอบใบหน้ายิ้มแย้ม
…..
…..
หลังจากที่ตงตงกับจางไคเฮ่อนำสินค้าไปขายให้กับเป้าหมายเสร็จ สองพ่อลูกก็กลับมารวมกับทุกคนที่โรงเตี๊ยมตระกูลจาง
ทันทีที่มาถึง หยูฮูหยินเตรียมกับข้าวง่ายๆ ไว้สำหรับทุกคนเรียบร้อย
ทุกคนนั่งกินข้าวพร้อมกับพูดคุยกัน
เริ่มจากจิ่งฝางที่ไปเช่ารถม้าตามคำสั่งของตงตง ตอนนี้รถม้าจอดอยู่หลังร้านเตรียมขนของขึ้นรถได้ทุกเมื่อ
หยูฮูหยินที่นำเครื่องเทศไปขาย หยิบถุงเงินใบใหญ่ออกมายื่นให้กับตงตง พร้อมรายงานว่าเถ้าแก่ร้านเครื่องเทศไม่ต่อรองราคา แถมอยากรับซื้อเครื่องเทศของตงตงเพิ่มด้วย หากว่ามีมาขายอีกละก็
แน่นอน หยูฮูหยินบอกกับเถ้าแก่ร้านเครื่องเทศตามคำสั่งของตงตงไปอีกว่า โรงเตี๊ยมตระกูลจางจะเปิดกิจการที่เมืองหลวง หากต้องการวัตถุดิบก็เดินทางมาขอซื้อได้เสมอ
ตงตงฟังแล้วก็พยักหน้ายิ้มๆ
เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย กินข้าวกันอิ่มแล้ว ต่างก็แยกย้ายกลับบ้าน เตรียมตัวเดินทางไปเมืองหลวงในอีก 3 วันข้างหน้า
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม