บทที่ 46
แก้ปัญหาความอดอยากด้วยเมนูข้าวฟ่าง
เกือบครึ่งชั่วยามต่อมา
ตงตงกับจิ่งฝางช่วยกันยกเมนูที่ทำจากข้าวฟ่างออกมาวางบนโต๊ะของลูกค้าใหม่ที่รีเควสท์เข้ามา
โจ๊กผสมถั่วหวานโรยหน้าด้วยต้นหอมซอยกับหมูสับ จานข้างๆ กันนั้นคือข้าวเกรียบข้าวฟ่างโรยงาดำกับงาขาว ถัดมาคือบะหมี่เส้นสดข้าวฟ่างน้ำมันพริกเสฉวน และถ้วยสุดท้ายคือข้าวฟ่างหมกผักรวมมิตร
อาหารทั้งสี่อย่างทั้งสีสันทั้งกลิ่นหอมยั่วจมูก น่ากินมาก
ลูกค้าใหม่มองอาหารบนโต๊ะด้วยท่าทีเหมือนกำลังน้ำลายสอ ก่อนจะยิ้มเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“น่าสนใจจริงๆ ไม่มีกลิ่นหญ้าแห้งที่เป็นเอกลักษณ์ของข้าวฟ่างเลย”
“ลองชิมรสชาติก่อนเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าจะถูกปากลูกค้าหรือไม่” ตงตงบอก
“ดูก็รู้ว่าต้องอร่อยมาก” ชายคนนั้นบอกแล้วหยิบถ้วยโจ๊กขึ้นมา ตักกินปุบก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจปับ
กินไปสามสี่คำก็วางถ้วยโจ๊กลง คราวนี้หยิบข้าวเกรียบข้าวฟ่างส่งเข้าปาก
เสียง ‘กร๊วบ’ ของความกรอบดังสะท้อนในหู
ข้าวเกรียบข้าวฟ่างนอกจากจะรสชาติอร่อยลงตัว ความมันกับความหอมของงายังเข้ากันเป็นอย่างดี หากไม่ยับยั้งใจ อาจกินเพลินจนหมดจานอย่างไม่รู้ตัว!
ต่อมา เขาหยิบตะเกียบคีบบะหมี่เส้นสดโซ้ยเข้าปากคำโต
ทันใดนั้น สีหน้าสุขุมในตอนแรกเปลี่ยนเป็นประหลาดใจสุดๆ
“ต่อมาก็ถ้วยสุดท้าย…” เขาพึมพำ จากนั้นตักข้าวฟ่างหมกผักรวมมิตรกินหนึ่งคำ
ผักหวานกรอบหลายชนิดผสมกับข้าวฟ่างนุ่มๆ ร้อนๆ ทั้งยังมีรสชาติของซอสปรุงรสคละเคล้าอยู่ด้วย
เขาหลับตา ค่อยๆ เคี้ยว พยายามซึมซับความอร่อยให้ได้มากที่สุด
เหล่าลูกค้าในร้านเมื่อเห็นสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขยามได้กินของอร่อยๆ ต่างก็กลืนน้ำลายดังอึกกันเป็นแถว
ข้าวฟ่างอร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ
แม้จะสงสัย หากกลับกลืนน้ำลายไปแล้วอีกหลายอึก!
ลิ้มรสข้าวฟ่างหมกผักรวมมิตรอีกสองคำ เขาถึงยอมวางถ้วยข้าวลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าราวกับพยายามตัดใจจากของสุดรักสุดหวง
เมื่อจิบชาล้างปากเรียบร้อย ลูกค้าคนนั้นค่อยหันมากล่าวกับตงตงด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“อร่อยมาก แม่ครัวน้อย!”
ตอนแรกที่เข้ามาในร้าน สีหน้าของชายคนนี้ยังเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยการประเมิน แต่พอได้กินของอร่อยๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นผ่อนคลาย ความสุขแสดงออกมาทางสายตาและริมฝีปาก
ตงตงยิ้มกว้างตอบรับคำชมนั้น
เห็นลูกค้ามีความสุขหลังจาได้กินอาหารอร่อย นางเองก็มีความสุขตามไปด้วย
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
จิ่งฝางที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ตงตงพลันยิ้มอย่างปลื้มใจไปด้วย
“เจ้าคงเป็นแม่ครัวน้อยที่คนเขาลือกันสินะ”
“ลือหรือเจ้าคะ”
เอ๋?
ตงตงก็มีข่าวลือกับเขาด้วยหรือ
สงสัยจัง ลือเรื่องอะไรกันนะ
“ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก” ลูกค้าใหม่ว่าเช่นนั้น “พวกเขาล้วนชมว่าแม่ครัวน้อยโรงเตี๊ยมนี้ทำอาหารอร่อยทุกอย่าง เมื่อวานนี้เหิงเจาก็มารบกวนเจ้าเรื่องอาหารด้วยสินะ”
“แบบนี้เอง”
ถึงขนาดรู้จักเหิงเจาด้วย หมายความว่าไข่เยี่ยวม้าดังทั่วหน่วยราชองรักษ์หลวงแล้วใช่ไหมนะ
ชายตรงหน้ายิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับตงตง สักครู่ ก็เอ่ยถามว่า “แม่ครัวน้อย พอจะมีเวลานั่งคุยเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่”
ตงตงกวาดสายตามองในร้าน
ภายในร้านคนไม่เยอะ แถมตอนนี้หยูฮูหยินสามารถทำอาหารแทนตงตงได้แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร
คิดจบ ตงตงตอบอีกฝ่ายว่า “แน่นอนเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้ากลับไปทำงานก่อนนะ” จิ่งฝางบอกแล้วก้าวออกจากตรงนั้นทันที
ตงตงนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ลูกค้าหน้าใหม่พลันกล่าวขึ้นมา
“ข้าชื่อเว่ยจ้ง ทำงานในหน่วยราชองครักษ์หลวง เหมือนกับลูกค้าประจำที่มาที่นี่นั่นละนะ”
“ท่านเว่ย…ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าค่ะ ท่านจะเรียกข้าว่าตงตงก็ได้เจ้าค่ะ”
แม้จะบอกว่าทำงานในหน่วยราชองครักษ์หลวงเหมือนกับลูกค้าประจำของร้าน แต่จากเครื่องแต่งกาย แน่นอนว่าคงไม่ได้เป็นเพียงทหารธรรมดา
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของตงตง
“วันนี้ไม่มีไข่เยี่ยวม้าหรือ ข้าเองก็สนใจเหมือนกัน”
ตงตงทำหน้าเสียดายหน่อยๆ แล้วตอบกลับไป
“เมื่อวานเพิ่งขายหมดไปเจ้าค่ะ ถึงจะเร่งมือทำเพิ่มแล้ว แต่ไข่เยี่ยวม้าต้องใช้เวลาหมักถึง 1 เดือนถึงจะกินได้ หากท่านสนใจยังลงชื่อสั่งจองได้อยู่นะเจ้าคะ”
“โอ้ จริงหรือ เช่นนั้นข้าขอจอง”
“ได้เจ้าค่ะ”
“ไข่เยี่ยวม้ากินกับข้าวฟ่างจะเข้ากันหรือไม่”
“อันที่จริง หากหุงข้าวฟ่างถูกวิธี ไม่ว่าจะกินกับกับข้าวอะไรก็อร่อยไม่ต่างจากข้าวสวยปกติเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรอกหรือ” เว่ยจ้งตอบ แล้วหลุบตามองอาหารบนโต๊ะราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
ผ่านไปสักพัก เว่ยจ้งกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้ามีความรอบรู้เรื่องอาหารมาก ช่างผิดกับอายุ ว่าแต่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าวฟ่างมีประโยชน์”
“ท่านเว่ยไม่รู้หรอกหรือ”
แทนที่จะตอบในทันที ตงตงแกล้งถามกลับด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
อย่างที่รู้กันดี ตงตงอาศัยความทรงจำจากชาติก่อน รวมถึงความได้เปรียบตรงที่มีระบบร้านค้า นางถึงทำอาหารออกมาได้อร่อย ทั้งยังรู้ถึงประโยชน์ของวัตถุดิบ
ตรงกันข้าม ผู้คนในยุคสมัยนี้มีความรู้เรื่องอาหารแบบจำกัด หากตงตงเผยไต่ตอบออกมาจนหมด นางจะกลายเป็นคนน่าสงสัยทันที
ความลับของนางมีเพียงท่านพ่อที่รู้ก็พอแล้ว
อย่างไรก็ตาม สีหน้าใสซื่อของเด็กสาวทำเอาเว่ยจ้งหัวเราะออกมา
“ข้าย่อมรู้ถึงประโยชน์ของข้าวฟ่าง เพราะมีบอกไว้ในหนังสือ…อ๋า แบบนี้เอง เจ้าเองก็คงอ่านมาจากตำราพืชและสมุนไพรมาสินะ”
เป็นแบบนี้หรอกหรือ
ในยุคนี้ สรรพาคุณของข้าวฟ่างมีบอกไว้ในตำราสมุนไพรหรอกหรือ
ตงตงเองก็เพิ่งรู้เมื่อตะกี้!
“เจ้าค่ะ” ตงตงยิ้มตอบอย่างกลมกลืน
“นอกจากฝีมือทำอาหาร เจ้ายังเป็นเด็กที่ใฝ่รู้ น่าสนใจๆ”
ถูกชมบ่อยครั้งจนตงตงไม่รู้จะตอบรับอย่างไร คราวนี้นางจึงหัวเราะแหะๆ ออกมา
หลังจากเงียบไปสักครู่ จู่ๆ เว่ยจ้งก็พูดกับเด็กสาวด้วยสีหน้าจริงจัง ราวกับกำลังปรึกษาเรื่องบ้านเมือง
“หลายปีมานี้ ข้าผลักดันให้ชาวบ้านที่หมู่บ้านหลวงปลูกข้าวฟ่าง นอกจากพืชชนิดนี้จะมีประโยชน์ ข้าวฟ่างยังเติบโตได้ดีในดินแถบนั้น แต่อย่างที่รู้ รสชาติของข้าวฟ่างไม่อร่อย เลยไม่เป็นที่นิยม แม้แต่ชาวบ้านยังไม่อยากจะซื้อกิน เมื่อตลาดไม่ต้องการ ย่อมไม่มีใครอยากเพาะปลูก”
…ดังนั้นปัญหาความอดอยากในช่วงฤดูหนาวของหมู่บ้านทางเหนือจึงลากยาวถึงปัจจุบัน
เว่ยจ้งกล่าวต่อท้าย
ถ้าปัญหาอยู่ที่รสชาติและกลิ่นของข้าวฟ่าง ตงตงก็พอแนะนำได้บ้าง
คิดจบ เด็กสาวพลันกล่าวขึ้นมาว่า “แค่ล้างข้าวฟ่างให้สะอาด คั่วด้วยไฟอ่อนแล้วเติมน้ำให้ท่วม ปิดฝาแล้วหุงจนสุก แต่จะหุงโดยไม่ต้องคั่วก็ได้ เพียงเติมเกลือลงไปนิดหน่อยก็ช่วยดับกลิ่นหญ้าแห้งได้แล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยจ้งแสดงสีหน้าตั้งอกตั้งใจ ขณะฟังคำแนะนำของเด็กสาว
เหมือนว่าเขาจะจริงจังกับเรื่องนี้มาก
ถ้าอย่างนั้น ที่บอกว่าต้องการผลักดันให้ชาวบ้านหันมาปลูกข้าวฟ่างก็คงจะจริง
“ท่านเว่ยเจ้าคะ หากไม่ถือสาที่ข้าละลาบละล้วงเกินไป ข้าจะจดสูตรปรุงอาหารจากข้าวฟ่างให้ท่าน แน่นอนว่า ไม่คิดเงินเจ้าค่ะ”
“ของซื้อของขาย ข้าคงรับเปล่าไม่ได้หรอก” เว่ยจ้งรีบปฏิเสธ
ตงตงไม่คิดจะเพิ่มเมนูข้าวฟ่างในร้านอยู่แล้ว เลยไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่
สำคัญกว่านั้น ต่อให้เป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ อาหารจะอร่อยหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับรสมือของแม่ครัว
เมนูข้าวฟ่างที่ตงตงนำเสนอเว่ยจ้งวันนี้ ล้วนใช้วัตถุดิบที่หาได้ทั่วไปตามท้องตลาด ส่วนเรื่องความอร่อยอยู่ที่ซอสปรุงรสที่ตงตงซื้อจากร้านค้าในระบบ
อย่างไรก็ดี เด็กสาวยิ้มอย่างใสซื่อ แล้วให้เหตุผลกับเว่ยจ้งไปว่า ไม่คิดจะเพิ่มเมนูข้าวฟ่างในร้าน แค่เมนูที่ขายทุกวันนี้ก็ทำให้นางกับลูกจ้างงานล้นมือแล้ว
เว่ยจ้งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขอบคุณเด็กสาวจากใจจริง
แม้การผลักดันให้ชาวบ้านหันมาปลูกข้าวฟ่างเพื่อลดปัญหาความอดอยากจะอีกยาวไกล แต่หากไม่เริ่มเปลี่ยแปลงจากจุดเล็กๆ ปัญหานี้ก็จะดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด
ตงตงเองก็นับถือความคิดที่เปิดกว้าง และวิธีการแก้ปัญหาความอดอยากของเว่ยจ้งเช่นกัน
.....
…..
เมื่อเมนูสุดแสนอร่อยของข้าวฟ่างได้รับการเผยแพร่ในหมู่บ้านหลวงของเมืองหวงเป่ย และเริ่มขยายเป็นวงกว้างตามเมืองต่างๆ ปัญหาความอดอยากก็ได้รับการคลี่คลายอย่างง่ายดาย
แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอีก 2-3 ปีให้หลัง
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม