แสงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงฉานเมื่อเหม่ยหลินกลับมาถึงบ้าน ตลอดทางกลับ เธอครุ่นคิดถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากที่เธอและครอบครัวต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ คำสั่งของเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงเป็นดั่งดาบที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย หากเธอปฏิเสธหรือทำผิดพลาดแม้แต่น้อย ชีวิตของเธอและลูกๆ อาจตกอยู่ในอันตราย
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงบ้าน ใบหน้าของหลี่เฟยหลง ชิวลี่ฮวา หลี่เฟยหาน และหลี่เฟยหยาง ก็ปรากฏแก่สายตา แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและคำถาม "ท่านแม่! เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ท่านเจ้าเมืองพูดอะไรกับท่าน?" หลี่เฟยหลงเอ่ยถามทันทีด้วยน้ำเสียงร้อนรน เหม่ยหลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ อย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจวนเจ้าเมืองให้ทุกคนฟัง ตั้งแต่คำชมเชยของหลี่กวงหมิง ข้อเสนอให้เป็นพ่อครัวประจำจวน และคำสั่งให้ส่งอาหารทุกวัน รวมถึงการบีบบังคับให้บอกสูตรอาหาร บรรยากาศในห้องเงียบสงัดลงทันที ใบหน้าของทุกคนซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหลี่เฟยหลงที่กำมือแน่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ "ท่านเจ้าเมืองช่างบีบบังคับกันเกินไปแล้วขอรับ!" หลี่เฟยหลงเอ่ยขึ้นอย่างเจ็บแค้น "นี่มันข่มเหงกันชัดๆ! จะมาเอาสูตรอาหารของท่านแม่ไปได้อย่างไร!" "ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านแม่! สูตรอาหารเป็นสิ่งสำคัญของเชฟนะเจ้าคะ!" ชิวลี่ฮวาเสริมด้วยน้ำเสียงกังวล "ถ้าท่านแม่ไม่ให้สูตร ท่านเจ้าเมืองจะสั่งปิดแผงของเราใช่ไหมขอรับ?" หลี่เฟยหานถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เหม่ยหลินมองไปที่ลูกๆ ของเธอ เธอรู้ว่าความกลัวกำลังปกคลุมจิตใจของพวกเขาอีกครั้ง แต่เธอต้องเข้มแข็ง เธอต้องหาทางออกให้ได้ "ไม่เป็นไรหรอกลูก" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความมั่นใจ "แม่จะไม่ยอมให้ใครมาเอาสูตรอาหารของเราไป และเราจะไม่มีวันอดตายเด็ดขาด" เธอหันไปมองหลี่เฟยหลง "หลี่เฟยหลง เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?" หลี่เฟยหลงเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "ท่านแม่...ลูกคิดว่าเราคงต้องยอมส่งอาหารให้ท่านเจ้าเมืองไปก่อนขอรับ เพื่อให้ท่านแม่มีเวลาคิดหาทางออก" "แล้วเรื่องสูตรอาหารล่ะ?" เหม่ยหลินถาม หลี่เฟยหลงเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาของเขามีประกายบางอย่างที่เหม่ยหลินไม่เคยเห็นมาก่อน "ลูกจะไปปรึกษาท่านปู่หมู่บ้านขอรับ ท่านปู่หมู่บ้านมีความรู้เรื่องกฎหมายและขนบธรรมเนียมโบราณ อาจจะพอช่วยท่านแม่หาทางออกได้บ้างขอรับ" เหม่ยหลินพยักหน้าเล็กน้อย "ดีมาก! งั้นพรุ่งนี้เช้า หลี่เฟยหลง เจ้าไปปรึกษาท่านปู่หมู่บ้าน ส่วนหลี่เฟยหาน เจ้าช่วยแม่เตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารที่จะส่งให้เจ้าเมือง และชิวลี่ฮวา เจ้ากับหลี่เฟยหยางช่วยแม่ดูแลแผงที่ตลาดนะ" ทุกคนรับคำอย่างแข็งขัน แผนการถูกวางอย่างรัดกุม แม้จะยังไม่เห็นหนทางที่ชัดเจน แต่การได้ปรึกษาหารือกันก็ทำให้ความกังวลในใจของพวกเขาคลายลงไปบ้าง แผนลับจากปู่หมู่บ้าน รุ่งเช้า หลี่เฟยหลงก็เดินทางไปยังบ้านของท่านปู่หมู่บ้าน ท่านปู่หมู่บ้านเป็นชายชราผมขาวโพลน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา แต่ดวงตาของท่านกลับเปี่ยมด้วยปัญญาและเมตตา ท่านเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านทุกคนในละแวกนี้ "ท่านปู่หมู่บ้านขอรับ" หลี่เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม พลางเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ท่านปู่ฟังอย่างละเอียด ท่านปู่หมู่บ้านฟังอย่างตั้งใจ ใบหน้าของท่านเรียบเฉย แต่แววตาของท่านฉายแววครุ่นคิด "เรื่องนี้ยากนัก" ท่านปู่หมู่บ้านกล่าวในที่สุด "เจ้าเมืองมีอำนาจล้นฟ้า หากเขาต้องการสิ่งใด ก็ยากนักที่จะปฏิเสธได้" "แต่ท่านปู่ขอรับ! ท่านแม่ไม่สามารถให้สูตรอาหารแก่เขาได้ขอรับ!" หลี่เฟยหลงกล่าวอย่างร้อนรน ท่านปู่หมู่บ้านถอนหายใจ "ข้าเข้าใจ...แต่การจะต่อกรกับเจ้าเมืองโดยตรงนั้นเป็นเรื่องอันตรายนัก" ท่านปู่หมู่บ้านเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง "แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเสียทีเดียว..." หลี่เฟยหลงรีบเงยหน้าขึ้นมองท่านปู่หมู่บ้านด้วยความหวัง "ท่านปู่มีทางออกหรือขอรับ!" "ในอดีตกาล มีกฎหมายเก่าแก่ข้อหนึ่งระบุไว้ว่า หากราษฎรมีข้อพิพาทกับผู้มีอำนาจในเรื่องใดก็ตาม หากไม่สามารถหาข้อสรุปได้ด้วยการเจรจา ก็สามารถขอให้มีการ ประลองฝีมือระดับสูง ได้" ท่านปู่หมู่บ้านอธิบาย "การประลองฝีมือนี้ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องกำลัง แต่รวมถึงความสามารถในด้านต่างๆ ด้วย" "ประลองฝีมือระดับสูงอย่างนั้นหรือขอรับ?" หลี่เฟยหลงถามอย่างไม่เข้าใจ "ใช่" ท่านปู่หมู่บ้านพยักหน้า "หากเจ้าเมืองต้องการสูตรอาหารของท่านแม่ของเจ้า ท่านแม่ของเจ้าก็สามารถท้าเขาประลองฝีมือด้านอาหารได้! โดยให้ผู้พิพากษาหรือขุนนางผู้ใหญ่เป็นผู้ควบคุมการประลอง และหากท่านแม่ของเจ้าชนะ...เจ้าเมืองก็ต้องยอมรับในความสามารถของท่านแม่ของเจ้า และจะไม่มีสิทธิ์บีบบังคับเรื่องสูตรอาหารอีกต่อไป" ดวงตาของหลี่เฟยหลงเป็นประกายด้วยความหวัง นี่คือหนทางเดียวที่เหลืออยู่แล้ว! "แต่ท่านปู่ขอรับ...ท่านเจ้าเมืองจะยอมรับคำท้าประลองอย่างนั้นหรือขอรับ?" หลี่เฟยหลงถามอย่างไม่แน่ใจ "นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำให้เขาตอบรับ" ท่านปู่หมู่บ้านยิ้มอย่างมีเลศนัย "เจ้าเมืองเป็นคนรักศักดิ์ศรีนัก หากเราวางแผนดีๆ เขาจะไม่มีทางปฏิเสธคำท้าได้เลย" ท่านปู่หมู่บ้านกระซิบแผนการบางอย่างให้หลี่เฟยหลงฟัง ใบหน้าของหลี่เฟยหลงค่อยๆ คลี่คลายจากความกังวล กลายเป็นความมุ่งมั่นและเชื่อมั่น "ขอบพระคุณท่านปู่หมู่บ้านขอรับ!" หลี่เฟยหลงกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ แผนลวงเจ้าเมืองและการก่อกบฏของมาดามหลี่ เมื่อหลี่เฟยหลงกลับมาถึงบ้าน เขาก็เล่าแผนการทั้งหมดให้เหม่ยหลินและทุกคนฟัง เหม่ยหลินฟังอย่างตั้งใจ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนจากความกังวลเป็นความมุ่งมั่น "แผนการนี้อันตรายมากนะลูก" เหม่ยหลินกล่าว "แต่ก็เป็นหนทางเดียวที่เราเหลืออยู่" "ลูกเชื่อว่าท่านแม่ทำได้ขอรับ!" หลี่เฟยหลงกล่าวด้วยความเชื่อมั่น "ท่านแม่คือเชฟที่เก่งที่สุดในโลกนี้แล้วขอรับ!" เหม่ยหลินยิ้มบางๆ ให้กับความเชื่อมั่นของลูกชาย วันรุ่งขึ้น เหม่ยหลินยังคงส่งอาหารไปให้เจ้าเมืองหลี่กวงหมิงตามปกติ แต่คราวนี้เธอไม่ได้ส่งแค่ "ปลาหิมะนึ่งซุปเห็ดหลินจือทองคำ" และ "ข้าวผัดจักรพรรดิ" เท่านั้น เธอยังเพิ่มเมนูใหม่เข้าไปด้วย นั่นคือ "ซุปบำรุงเซียน" ซึ่งทำจากเห็ดหลินจือดำหายาก สมุนไพรจีนหลากหลายชนิด และไข่มุกขนาดเล็กที่เธอเคยเห็นในตำราอาหารโบราณ มันเป็นซุปที่ใช้เวลาเคี่ยวนานหลายชั่วโมง เพื่อดึงรสชาติและสรรพคุณของวัตถุดิบออกมาให้ได้มากที่สุด และเธอได้หยด "น้ำทิพย์เซียน" ที่ได้จากการกลั่นสมุนไพรหายากลงไปเพียงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่ล้ำลึกราวกับอาหารของเทพเจ้า เมื่อซุปบำรุงเซียนถูกยกไปเสิร์ฟที่จวนเจ้าเมือง หลี่กวงหมิงถึงกับตะลึงในกลิ่นหอมและรสชาติอันล้ำลึกของมัน มันเป็นซุปที่อร่อยและมีพลังงานบำรุงร่างกายอย่างที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน "นี่มันซุปอะไรกัน! ทำไมมันถึงได้อร่อยขนาดนี้!" หลี่กวงหมิงอุทานด้วยความตื่นเต้น จากนั้น หลี่กวงหมิงก็เริ่มส่งคนมาทวงถามสูตร "ซุปบำรุงเซียน" จากเหม่ยหลินอย่างไม่ลดละ แต่เหม่ยหลินก็ยังคงปฏิเสธอย่างสุภาพ โดยอ้างว่าซุปนี้เป็นสูตรลับที่สืบทอดกันมาในตระกูล และไม่สามารถเปิดเผยได้ ความอยากรู้และอยากได้สูตรซุปบำรุงเซียนของหลี่กวงหมิงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกหงุดหงิดที่เหม่ยหลินไม่ยอมบอกสูตรให้เขา ในขณะเดียวกัน มาดามหลี่ และ จางไห่ ก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขายังคงหาทางกลั่นแกล้งเหม่ยหลินอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการส่งคนมาป่วนที่แผงขายของเธอ การปล่อยข่าวลือเสียหาย หรือแม้กระทั่งพยายามขึ้นราคาวัตถุดิบเพื่อให้เหม่ยหลินไม่สามารถทำอาหารขายได้ แต่เหม่ยหลินและลูกๆ ของเธอก็ร่วมกันรับมือกับอุปสรรคเหล่านั้นได้อย่างชาญฉลาด พวกเขาช่วยกันหาวิธีแก้ไขปัญหา และใช้ความสามัคคีในครอบครัวเป็นเกราะป้องกัน วันหนึ่ง ขณะที่เหม่ยหลินกำลังเดินไปซื้อของที่ตลาด เธอได้ยินเสียงซุบซิบของผู้คนถึงเรื่องการประลองฝีมือการทำอาหารที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองหลวง ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับประเทศที่คัดเลือกพ่อครัวฝีมือดีจากทั่วแผ่นดิน "ได้ยินว่าพ่อครัวหลวงจากวังหลวงจะมาร่วมชมการประลองด้วยนะ!" "ใช่แล้ว! ใครชนะการประลองครั้งนี้ จะได้รับเกียรติยศและชื่อเสียงอย่างมหาศาล!" เหม่ยหลินฟังอย่างตั้งใจ เธอรู้ทันทีว่านี่คือโอกาสที่เธอจะใช้ในการบีบให้หลี่กวงหมิงยอมรับคำท้าประลองปัญญาจากเธอ เธอกลับมาบ้านและเล่าเรื่องการประลองในเมืองหลวงให้ทุกคนฟัง "ท่านแม่คิดอะไรอยู่หรือขอรับ?" หลี่เฟยหลงถามอย่างสงสัย "เราจะท้าเจ้าเมืองประลองฝีมือด้านอาหารในงานประลองที่เมืองหลวง!" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น คำพูดของเหม่ยหลินทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึง "ท่านแม่! มันจะมากเกินไปแล้วนะขอรับ!" ชิวลี่ฮวาอุทานด้วยความกังวล "ท่านเจ้าเมืองไม่มีทางยอมรับคำท้าแบบนั้นแน่เจ้าค่ะ!" "เขาจะต้องยอมรับ" เหม่ยหลินยิ้มอย่างมีเลศนัย "เราจะใช้ 'ชื่อเสียง' ของเขาเป็นเดิมพัน" จดหมายท้าทายจากเหม่ยหลิน เหม่ยหลินตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงเจ้าเมืองหลี่กวงหมิง โดยมีเนื้อหาเป็นการท้าทายให้เขาประลองฝีมือด้านอาหารกับเธอในงานประลองที่เมืองหลวง โดยมีข้อแม้ว่า หากเธอชนะ เขาจะต้องยอมรับในความสามารถของเธอ และจะไม่มีสิทธิ์บีบบังคับเรื่องสูตรอาหารของเธออีกต่อไป แต่หากเธอแพ้ เธอก็จะยอมบอกสูตรอาหารทั้งหมดให้เขา และจะยอมเป็นพ่อครัวประจำจวนของเขา นอกจากนี้ เหม่ยหลินยังเขียนจดหมายอีกฉบับส่งไปยังขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง และผู้พิพากษา เพื่อขอให้พวกเขาเป็นผู้ควบคุมการประลองครั้งนี้ เพื่อให้การประลองเป็นไปอย่างยุติธรรม เมื่อจดหมายของเหม่ยหลินส่งไปถึงมือหลี่กวงหมิง เขาก็โกรธจนตัวสั่น "บังอาจ! แม่ครัวชั้นต่ำอย่างเจ้ากล้ามาท้าทายข้าอย่างนั้นรึ!" หลี่กวงหมิงตะโกนเสียงดัง "เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน!" แต่เมื่อเขาอ่านข้อความในจดหมายที่ระบุว่า "หากท่านเจ้าเมืองไม่กล้ารับคำท้า...ก็แสดงว่าท่านไม่มั่นใจในฝีมือของตนเอง และไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง" คำพูดนี้ราวกับมีดที่กรีดแทงศักดิ์ศรีของเขา "หึ! คิดจะใช้คำพูดพวกนี้มาบีบข้าอย่างนั้นรึ!" หลี่กวงหมิงกล่าวด้วยความโกรธ แต่ในใจเขาก็รู้ดีว่าหากเขาปฏิเสธคำท้า ชื่อเสียงของเขาในฐานะเจ้าเมืองก็จะเสียหายอย่างหนัก "พวกเจ้าไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้! ข้าจะรับคำท้าของนาง!" หลี่กวงหมิงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ข่าวการประลองฝีมือระหว่างเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงกับแม่ครัวเหม่ยหลินแพร่สะพัดไปทั่วทุกสารทิศอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างจับจ้องไปที่การประลองครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะมันไม่ใช่แค่การประลองฝีมือด้านอาหาร แต่เป็นการประลองระหว่างอำนาจกับความสามารถ ระหว่างศักดิ์ศรีกับความจริงใจ เตรียมตัวสู่เมืองหลวง หลังจากได้รับการยืนยันการประลอง เหม่ยหลินและครอบครัวก็เริ่มต้นการเตรียมตัวอย่างจริงจัง "ท่านแม่จะทำอะไรไปประลองกับท่านเจ้าเมืองหรือขอรับ?" หลี่เฟยหยางถามด้วยความตื่นเต้น "เราจะทำอาหารที่แสดงถึงความสามารถของเราอย่างแท้จริง" เหม่ยหลินตอบ "เราจะใช้สิ่งที่หาได้ในท้องถิ่นของเรา และนำมาสร้างสรรค์เป็นเมนูที่ไม่มีใครคาดคิด" เหม่ยหลินตัดสินใจที่จะใช้ "เห็ดหลินจือดำ" และ "เต้าเจี้ยวโบราณ" เป็นวัตถุดิบหลักในการประลองครั้งนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้คือจุดเด่นที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงขึ้นมา และเป็นสิ่งที่หาได้ยากในตลาดทั่วไป เธอใช้เวลาหลายวันในการคิดค้นและทดลองเมนูใหม่ๆ ที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนและผู้พิพากษา เธอต้องการสร้างสรรค์อาหารที่ไม่เพียงอร่อย แต่ยังแฝงไปด้วยความหมายและเรื่องราว "เราจะทำ "มังกรซ่อนกายในทะเลบุปผา" และ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ"" เหม่ยหลินประกาศชื่อเมนูที่จะใช้ประลอง ชื่อเมนูที่อลังการทำให้ลูกๆ ถึงกับตาโต "มังกรซ่อนกายในทะเลบุปผา" คือเมนูที่เหม่ยหลินตั้งใจจะใช้ "ข้าวปั้น" ที่เธอทำเป็นรูปทรงมังกรเล็กๆ ซ่อนอยู่ใต้ผักลวกที่จัดเรียงเป็นรูปดอกไม้สีสันสวยงาม ราดด้วยซอสเต้าเจี้ยวปรุงรสพิเศษ ส่วน "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" คือซุปที่ทำจากเห็ดหลินจือดำหายากที่หลี่เฟยหลงกับหลี่เฟยหานไปเสี่ยงชีวิตนำมา และเห็ดหลินจือสีทองที่ได้จากจวนเจ้าเมือง ผสมกับสมุนไพรจีนโบราณหลายชนิด และเคี่ยวจนได้ที่ ปรุงรสอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้ซุปที่มีรสชาติล้ำลึก หอมหวาน และมีสรรพคุณบำรุงร่างกายอย่างแท้จริง ตลอดหลายวันที่เหลืออยู่ ทั้งครอบครัวร่วมกันฝึกฝนการทำอาหารอย่างหนัก หลี่เฟยหลงกับหลี่เฟยหานช่วยเธอในการเตรียมวัตถุดิบ ชิวลี่ฮวาช่วยในการจัดจาน ส่วนหลี่เฟยหยางก็เป็นนักชิมตัวน้อยที่คอยให้กำลังใจ เหม่ยหลินยังคงออกไปตลาดเพื่อหาวัตถุดิบเพิ่มเติม และเรียนรู้เรื่องราวของอาหารท้องถิ่นในยุค 70 เธอได้พบกับชาวบ้านมากมายที่ให้กำลังใจเธอ และบางคนก็แอบนำวัตถุดิบพิเศษที่หาได้ยากมาให้เธอด้วยความหวังดี "ท่านแม่เจียง! พวกเราเชื่อในตัวท่านนะ!" "สู้ๆ นะเจ้าคะท่านแม่เจียง! พวกเราเป็นกำลังใจให้ท่าน!" กำลังใจจากผู้คนในหมู่บ้านเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญให้แก่เหม่ยหลิน เธอรู้ว่าเธอไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง แต่เธอต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของชาวบ้านทุกคนที่ถูกผู้มีอำนาจรังแกหลายเดือนหลังจากการเอาชนะภัยแล้งและความร่วมมือกับเผ่าหินทมิฬ ความสงบสุขก็กลับมาสู่แคว้นอีกครั้ง เหม่ยหลินยังคงทำหน้าที่เชฟหลวงและครูสอนทำอาหารอย่างไม่ย่อท้อ แต่ในใจของเธอ เธอรู้ว่าความสงบสุขนี้เป็นเพียงช่วงเวลาที่ยืมมาจากโชคชะตาเท่านั้น พลังงานลึกลับ ที่คุณหมอชลธีกล่าวถึง เริ่มแสดงอาการที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆพลังงานที่ปั่นป่วนและอาการผิดปกติของธรรมชาติในคืนหนึ่งที่เงียบสงบ เหม่ยหลินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในสวนหลวงเพื่อฝึกจิตให้สงบตามที่คุณหมอชลธีแนะนำ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คลื่นพลังงานนั้นทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และได้ยินเสียงกระซิบที่เธอไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้คล้ายกับความรู้สึกในวันที่เธอเดินทางข้ามมิติมายังโลกนี้!เธอรีบไปยังที่พักของคุณหมอชลธีทันที และพบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าต่างด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด"คุณหมอชลธี! คุณรู้สึกไหมคะ!?" เหม่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับ...ผมรู้สึก" คุณหมอชลธีตอบ "มันไม่ใช่แค่ในร่างกายเราแล้วนะครับคุณเหม่ยหลิน...แต่ผมรู้สึกว่ามันกำลังปั่นป่วน มิติ นี้อยู่"อาการผิดปกติเริ่มปรากฏขึ้นทั่วแคว้น สัตว์เลี้ยง
การเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ"หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!"เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬการล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดารการเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิ
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสามตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกน้าวสุดแรง ไป๋เฟิงมองเหม่ยหลินและคุณหมอชลธีสลับไปมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดด้วยความลับที่ปกปิดมานานหลายปี เธอรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้อีกต่อไป"ไป๋เฟิง" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่ตัดสินข้า และจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด"ไป๋เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้าให้สัญญาขอรับ"เหม่ยหลินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เธอเป็นเชฟในโรงพยาบาลในโลกที่เธอจากมา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอหลุดข้ามมิติมายังโลกนี้ การได้พบกับครอบครัวของเจียงเหวิน และการใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตใหม่ เธอไม่ได้ละเว้นแม้แต่เรื่องราวที่เธอเคยบอกไปแล้วอย่างเรื่องการทำอาหารจากวัตถุดิบประหลาด หรือเรื่องราวของโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าโลกนี้มากไป๋เฟิงฟังอย่างเงียบสงบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจและตกตะลึง ในขณะที่คุณหมอชลธีก็เสริมข้อมูลบางอย่างที่เหม่ยห
หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ
ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง