ชัยชนะจากการประลองรสชาติครั้งนั้นสร้างชื่อเสียงให้เหม่ยหลินและตระกูลหลี่อย่างรวดเร็ว เช้าวันรุ่งขึ้น ณ ตลาดในเมือง แผงขายอาหารของพวกเขาคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนต่างมาเข้าคิวรอซื้อ "บะหมี่เจผักรวม" และ "ซุปเห็ดหลินจือดำ" อย่างไม่ขาดสาย กลิ่นหอมฟุ้งของอาหารจีนโบราณที่ปรุงด้วยความพิถีพิถันลอยอบอวลไปทั่วทั้งตลาด
"ท่านแม่เจียง! ข้าขอซุปเห็ดหลินจือดำสองถ้วย!" "ท่านแม่เจียง! บะหมี่เจของท่านอร่อยจริง ๆ ข้าจะกลับมากินทุกวันเลย!" เสียงชมเชยและเสียงเงินทองที่ดังกระทบกัน สร้างรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเหม่ยหลินและลูก ๆ หลี่เฟยหลงกับหลี่เฟยหานช่วยกันตักอาหารอย่างคล่องแคล่ว ส่วนชิวลี่ฮวากับหลี่เฟยหยางก็ช่วยกันรับเงินและห่ออาหารด้วยความกระตือรือร้น "วันนี้เราขายดีมากเลยนะขอรับท่านแม่!" หลี่เฟยหยางเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเปื้อนไปด้วยคราบแป้งเล็กน้อย เหม่ยหลินยิ้ม "ใช่แล้วลูก วันนี้เราต้องทำอย่างเต็มที่นะ" ตลอดทั้งวันนั้น อาหารของเหม่ยหลินขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่ช่วงบ่าย ผู้คนบางส่วนถึงกับผิดหวังที่มาไม่ทัน พวกเขาก็ต่างสั่งจองอาหารสำหรับวันพรุ่งนี้ล่วงหน้า "ท่านแม่! วันนี้เราได้เงินเยอะมากเลยขอรับ!" หลี่เฟยหลงถือถุงผ้าที่เต็มไปด้วยเงินเหรียญทองแดงและเงินพดด้วงมาให้เหม่ยหลิน ดวงตาเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจ เหม่ยหลินรับถุงเงินมา เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของมันและรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้า "ดีมาก! วันนี้พวกเจ้าทำงานหนักมากเลยนะ" เมื่อกลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่เหม่ยหลินทำคือการจัดสรรเงินที่ได้มา เธอแบ่งส่วนหนึ่งไว้สำหรับซื้อวัตถุดิบสำหรับวันพรุ่งนี้ อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สำหรับหนี้ของจางไห่ และส่วนที่เหลือก็แบ่งให้ลูก ๆ และชิวลี่ฮวา เพื่อให้พวกเขานำไปใช้จ่ายส่วนตัว "แต่ท่านแม่...พวกเราไม่เคยมีเงินเยอะขนาดนี้มาก่อนเลยขอรับ" หลี่เฟยหานเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ต่อไปนี้พวกเจ้าก็จะมีแล้ว" เหม่ยหลินตอบ "แม่จะทำให้พวกเราทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น" คืนนั้น ทั้งครอบครัวร่วมกันกินอาหารอย่างมีความสุข อาหารมื้อนี้ไม่ได้หรูหราอะไรนัก แต่เป็นอาหารที่เต็มไปด้วยรสชาติของความพยายามและชัยชนะ มันเป็นมื้ออาหารที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ในขณะที่พวกเขากำลังกินอาหารอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก๊อกๆๆ! ทุกคนหันไปมองหน้ากันด้วยความสงสัย เหม่ยหลินลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู เมื่อประตูเปิดออก เธอก็พบกับชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาคือ จางไห่! "โอ้! ท่านแม่เจียง!" จางไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ดูท่าทางสบายดีขึ้นเยอะเลยนี่" เหม่ยหลินมองจางไห่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอรู้ว่าเขามาเพื่ออะไร "ท่านจางมีอะไรหรือเจ้าคะ?" เหม่ยหลินถาม "ก็มาทวงหนี้สินที่ท่านแม่ของเจ้าติดค้างข้าไว้น่ะสิ!" จางไห่ตอบ พลางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ดูเก่าแก่ยับยับมาให้ "สิบตำลึงทอง! เจ้าจำได้ใช่ไหม!" หลี่เฟยหลงที่เดินเข้ามาใกล้ก็กำมือแน่นด้วยความโกรธ แต่เหม่ยหลินเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ "ข้าจำได้เจ้าค่ะ" เหม่ยหลินตอบ พลางหยิบถุงเงินที่เตรียมไว้จากด้านในเสื้อของเธอ "นี่คือเงินสิบตำลึงทองที่ท่านแม่ของข้าติดค้างท่านไว้" จางไห่รับถุงเงินมาด้วยความแปลกใจ เขาลองชั่งน้ำหนักของมัน และเมื่อเห็นว่ามันเป็นเงินพดด้วงจริง ๆ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด "นี่...นี่เจ้าไปเอาเงินมาจากไหน!" จางไห่ถามเสียงสั่น "เจ้าขายอาหารได้เงินเยอะขนาดนี้เชียวหรือ!" "ใช่เจ้าค่ะ" เหม่ยหลินตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน "ข้าเป็นเชฟ ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าจะหาเงินมาคืนท่าน และข้าก็จะทำให้ท่านต้องเสียใจที่ดูถูกข้า" จางไห่กัดฟันแน่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธและความอับอาย เขากระแทกถุงเงินลงบนโต๊ะไม้ใกล้ ๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ "หึ! คิดว่าจะจบแค่นี้อย่างนั้นรึ! อย่าฝันไปเลย! ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในตลาดของข้า! เจ้าจะต้องเจอดีแน่!" จางไห่กล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงอาฆาต ก่อนจะเดินจากไปอย่างหัวเสีย ทุกคนในบ้านถอนหายใจอย่างโล่งอก เหม่ยหลินรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปัญหา และจางไห่จะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่นอน เงาอิทธิพลคุกคาม หลังจากเหตุการณ์กับจางไห่ผ่านไปสองสามวัน ธุรกิจอาหารของเหม่ยหลินก็ยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี ชื่อเสียงของ "บะหมี่เจผักรวม" และ "ซุปเห็ดหลินจือดำ" เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงก็เริ่มเดินทางมาที่ตลาดเพื่อลิ้มลองอาหารของเธอ ครอบครัวหลี่มีเงินทองจับจ่ายใช้สอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ความสำเร็จย่อมมาพร้อมกับความริษยาและอุปสรรค วันหนึ่ง ขณะที่เหม่ยหลินกำลังง่วนอยู่กับการปรุงอาหารที่แผงขายของเธอ จู่ ๆ ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์รูปร่างใหญ่โตราวห้าหกคนเดินเข้ามาล้อมแผงของเธอไว้ หัวหน้าของกลุ่มคือชายร่างใหญ่มีรอยสักเต็มแขน ใบหน้าดุดัน ดวงตาเต็มไปด้วยความอำมหิต "นี่คือแผงของแม่เจียงอย่างนั้นรึ?" ชายร่างใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห้าวหาญ เหม่ยหลินเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าของเธอเรียบเฉย แต่ในใจกลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี หลี่เฟยหลงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบขยับเข้ามาบังร่างของเหม่ยหลินไว้เล็กน้อย "มีอะไรหรือเจ้าคะ?" เหม่ยหลินถาม "ข้าคือ หัวหน้าหมา ผู้ดูแลความเรียบร้อยของตลาดแห่งนี้" ชายร่างใหญ่ตอบ พลางยิ้มเยาะ "ได้ยินว่าเจ้าทำอาหารอร่อยนักนี่! แถมยังกล้าดีมาท้าประลองกับมาดามหลี่อีก!" เหม่ยหลินรู้ทันทีว่าชายคนนี้ต้องเป็นคนของมาดามหลี่หรือจางไห่แน่ ๆ "แล้วท่านต้องการอะไรจากข้าหรือเจ้าคะ?" เหม่ยหลินถามอย่างใจเย็น หัวหน้าหมาหัวเราะในลำคอ "ข้าต้องการอะไรอย่างนั้นรึ! ก็ต้องการส่วนแบ่งจากกำไรของเจ้าน่ะสิ!" คำพูดของหัวหน้าหมาทำให้ผู้คนที่กำลังซื้อของอยู่รอบ ๆ ต่างถอยห่างออกไป สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อชายกลุ่มนี้ "ส่วนแบ่งอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?" เหม่ยหลินทวนคำ "ข้าไม่เคยได้ยินว่าต้องจ่ายค่าส่วนแบ่งให้ใคร" "หึ! เจ้าคงจะยังไม่รู้สินะว่าใครเป็นเจ้าของตลาดแห่งนี้!" หัวหน้าหมากล่าวด้วยน้ำเสียงคุกคาม "มาดามหลี่เป็นผู้มีอิทธิพลในตลาดแห่งนี้ หากเจ้าไม่อยากมีปัญหา...ก็จ่ายค่าคุ้มครองให้ข้าทุกเดือน! ไม่เช่นนั้น...แผงของเจ้าอาจจะไม่เหลือแม้แต่ซาก!" คำพูดของหัวหน้าหมาทำให้หลี่เฟยหลงถึงกับกำมือแน่น ดวงตาของเขาฉายแววโกรธเคือง แต่เหม่ยหลินเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ "ข้าไม่มีเงินจะให้ท่านหรอกเจ้าค่ะ" เหม่ยหลินตอบอย่างเด็ดเดี่ยว "ข้าเป็นคนทำมาหากินสุจริต และข้าจะไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น!" คำตอบของเหม่ยหลินสร้างความประหลาดใจให้แก่หัวหน้าหมา เขามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ "โอ้โห! กล้าดียังไงมาพูดจาแบบนี้กับข้า!" หัวหน้าหมาตะโกนเสียงดัง "เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน!" "ข้าคือเหม่ยหลิน" เหม่ยหลินตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ "และข้าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกครอบครัวของข้าเด็ดขาด!" "หึ! ปากดีนัก!" หัวหน้าหมากล่าว "ในเมื่อเจ้าไม่ยอมจ่าย...ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนแล้วกัน!" หัวหน้าหมากล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มเยาะ ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องของเขาทำลายแผงขายของเหม่ยหลิน "พวกแก! ทุบแผงนี่ให้เละเลย!" หัวหน้าหมาออกคำสั่ง ลูกน้องของหัวหน้าหมาพุ่งเข้าใส่แผงของเหม่ยหลินทันที พวกเขาเริ่มทุบทำลายโต๊ะ เก้าอี้ และภาชนะใส่อาหาร ข้าวของกระจัดกระจายไปทั่วพื้น อาหารที่ปรุงไว้ก็หกเลอะเทอะ "หยุดนะ! พวกเจ้าทำอะไรกัน!" หลี่เฟยหลงตะโกนขึ้นอย่างโมโห เขารีบเข้าไปขวาง แต่ก็ถูกลูกน้องของหัวหน้าหมาผลักกระเด็นออกไป "พี่ใหญ่!" หลี่เฟยหานและหลี่เฟยหยางร้องขึ้นด้วยความตกใจ ชิวลี่ฮวาก็เข้ามาประคองหลี่เฟยหลงไว้ เหม่ยหลินมองดูแผงขายของเธอที่กำลังถูกทำลายด้วยความรู้สึกเจ็บปวด แต่ในแววตาของเธอกลับไม่มีความหวาดกลัว มีเพียงความโกรธที่กำลังคุกรุ่น "หยุดเดี๋ยวนี้!" เหม่ยหลินตะโกนขึ้นเสียงดัง เสียงของเธอเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่ทำให้ทุกคนถึงกับชะงัก "เจ้ามีอะไรจะพูดอีกอย่างนั้นรึ!" หัวหน้าหมากล่าวอย่างดูถูก "ข้าขอท้าเจ้า!" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ข้าขอท้าเจ้าประลองฝีมือ!"หลายเดือนหลังจากการเอาชนะภัยแล้งและความร่วมมือกับเผ่าหินทมิฬ ความสงบสุขก็กลับมาสู่แคว้นอีกครั้ง เหม่ยหลินยังคงทำหน้าที่เชฟหลวงและครูสอนทำอาหารอย่างไม่ย่อท้อ แต่ในใจของเธอ เธอรู้ว่าความสงบสุขนี้เป็นเพียงช่วงเวลาที่ยืมมาจากโชคชะตาเท่านั้น พลังงานลึกลับ ที่คุณหมอชลธีกล่าวถึง เริ่มแสดงอาการที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆพลังงานที่ปั่นป่วนและอาการผิดปกติของธรรมชาติในคืนหนึ่งที่เงียบสงบ เหม่ยหลินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในสวนหลวงเพื่อฝึกจิตให้สงบตามที่คุณหมอชลธีแนะนำ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คลื่นพลังงานนั้นทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และได้ยินเสียงกระซิบที่เธอไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้คล้ายกับความรู้สึกในวันที่เธอเดินทางข้ามมิติมายังโลกนี้!เธอรีบไปยังที่พักของคุณหมอชลธีทันที และพบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าต่างด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด"คุณหมอชลธี! คุณรู้สึกไหมคะ!?" เหม่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับ...ผมรู้สึก" คุณหมอชลธีตอบ "มันไม่ใช่แค่ในร่างกายเราแล้วนะครับคุณเหม่ยหลิน...แต่ผมรู้สึกว่ามันกำลังปั่นป่วน มิติ นี้อยู่"อาการผิดปกติเริ่มปรากฏขึ้นทั่วแคว้น สัตว์เลี้ยง
การเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ"หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!"เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬการล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดารการเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิ
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสามตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกน้าวสุดแรง ไป๋เฟิงมองเหม่ยหลินและคุณหมอชลธีสลับไปมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดด้วยความลับที่ปกปิดมานานหลายปี เธอรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้อีกต่อไป"ไป๋เฟิง" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่ตัดสินข้า และจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด"ไป๋เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้าให้สัญญาขอรับ"เหม่ยหลินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เธอเป็นเชฟในโรงพยาบาลในโลกที่เธอจากมา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอหลุดข้ามมิติมายังโลกนี้ การได้พบกับครอบครัวของเจียงเหวิน และการใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตใหม่ เธอไม่ได้ละเว้นแม้แต่เรื่องราวที่เธอเคยบอกไปแล้วอย่างเรื่องการทำอาหารจากวัตถุดิบประหลาด หรือเรื่องราวของโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าโลกนี้มากไป๋เฟิงฟังอย่างเงียบสงบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจและตกตะลึง ในขณะที่คุณหมอชลธีก็เสริมข้อมูลบางอย่างที่เหม่ยห
หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ
ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง