ความว่างเปล่ากลืนกินสติของข้าหลังจากการต่อสู้ ข้าต่อสู้อย่างสุดกำลัง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องชาวเมือง แต่ในที่สุด ความอ่อนล้าก็ตามทัน ข้าหมดสติท่ามกลางความโกลาหลรอบตัว
ในห้วงนิทราลึก ข้าพบว่าตัวเองจมดิ่งสู่ความฝัน มันทั้งชัดเจนและเลือนรางในคราวเดียวกัน เหมือนจริงจนน่าประหลาดใจ แต่ก็คล้ายกับบางสิ่งที่ข้าไม่อาจไขว่คว้าได้ ภาพเลือนรางปรากฏขึ้นตรงหน้า—เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยเงาอันเร้นลับ ทำให้ข้ามองเห็นไม่ชัด ทว่าผมสีส้มเพลิงของเขาส่องประกายราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ท่ามกลางความมืดแห่งนั้น แรงดึงดูดบางอย่างฉุดข้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว
เขายืนหันหลังให้ข้า และเมื่อข้าจ้องมองเขาอยู่นั้น เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมา หัวใจข้าเต้นรัว ความคาดหวังพุ่งทะยานขึ้นสูง ทว่าในวินาทีที่เขาหันมาเผชิญหน้ากับข้า ข้ากลับไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย ข้ามองเห็นเพียงริมฝีปากของเขาขยับ เป็นถ้อยคำที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้
ข้าพยายามเปล่งเสียงเรียกเขา ทว่าไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบเล็ดลอดจากริมฝีปากของข้า ข้าทำได้แค่เฝ้ามอง ขณะที่เขาขยับปากกล่าวบางอย่าง…แต่ข้าไม่ได้ยิน
“ได้โปรด…xxxxที่รักของข้า” ข้ายื่นมือออกไป พยายามจะไขว่คว้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อยากจะลดช่องว่างระหว่างเราให้หายไป ทว่าทันทีที่มือของข้าเอื้อมถึง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเลือนหายไป ความมืดเข้ามากลืนกินข้าอีกครั้ง เหลือไว้เพียงความรู้สึกโดดเดี่ยวและว่างเปล่าที่แทรกซึมลึกลงไปในหัวใจ
ข้ารู้สึกถึงความสูญเสียบางอย่าง ความโหยหาที่ข้าไม่เข้าใจ ข้าถูกดึงเข้าสู่ห้วงอันเวิ้งว้าง ตกลงไปในความว่างเปล่าที่ไร้แสงสว่างใด ๆ
“อึก…!”
ทันใดนั้น ข้าสะดุ้งตื่นขึ้นมา ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ความฝันยังคงติดค้างอยู่ในจิตใจ ดวงตาของข้ากะพริบถี่เพื่อปรับให้ชินกับสภาพแวดล้อมรอบตัว ข้ากลับมาอยู่ในห้องของตัวเองแล้ว กลิ่นลาเวนเดอร์ที่คุ้นเคยลอยอวลอยู่ในอากาศ ทว่าในใจของข้ายังคงรู้สึกหนักอึ้ง ราวกับว่าสิ่งสำคัญบางอย่างได้หลุดลอยไป
เมื่อข้าหันไป ข้าก็พบว่าเอลลี่ยังคงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง ใบหน้าของเธอเผยให้เห็นความโล่งใจเมื่อเห็นว่าข้าฟื้นขึ้นมา ดวงตาของเธอเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ก่อนที่เธอจะพุ่งเข้ามาสวมกอดข้าแน่น
"ฝ่าบาท! ทรงฟื้นแล้ว!" เธอร้องขึ้น เสียงของเธอเต็มไปด้วยความดีใจและความโล่งอก
ข้าพยายามยกแขนขึ้นกอดตอบ แต่ทันทีที่ขยับตัว ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจากข้อเท้าของข้าจนทำให้ข้านิ่วหน้า "ข้า…เกิดอะไรขึ้นกับข้า?" ข้าถามออกไป น้ำเสียงของข้าเต็มไปด้วยความกังวล
เอลลี่ผละออกเล็กน้อยก่อนจะใช้หลังมือเช็ดน้ำตาของตัวเอง " “พระองค์หมดสติหลังจากช่วยชาวเมือง ทรงหมดสติไปสองวันเต็ม ๆ" เธอพูด น้ำเสียงยังสั่นเครือ “พระองค์กล้าหาญมาก! แต่ฝืนตัวเองเกินไปแล้วนะเพคะ!”
ความทรงจำเกี่ยวกับการต่อสู้พลันพรั่งพรูกลับมา ภาพของความโกลาหล ความหวาดกลัว และแรงผลักดันที่จะปกป้องผู้คนทำให้ข้ารู้สึกใจหาย ข้านึกถึงชาวเมือง—พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าทำหน้ากังวล มือยกขึ้นกุมขมับขณะพยายามรวบรวมสติ
"แล้ว…เมืองล่ะ? พวกเขาปลอดภัยดีไหม?" ข้าถามด้วยความกระวนกระวาย
เอลลี่มองข้าด้วยสายตาอ่อนโยน "ชาวเมืองปลอดภัยแล้ว แม้ว่าเมืองจะได้รับความเสียหายบางส่วนก็ตาม แต่ทุกคนค่อยๆ ร่วมมือกันซ่อมแซมกลับมา"
ข้ารู้สึกทั้งโล่งใจและอ่อนล้าไปพร้อมกัน ความรู้สึกทั้งภาคภูมิใจและหงุดหงิดกับตัวเองแทรกเข้ามาพร้อมกัน ข้าอยากจะทำมากกว่านี้ อยากช่วยชิทูเรียให้มากกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกัน…ข้าก็ยังคงไร้พลังเกินไป
อีกทั้งภาพในความฝันนั่นยังคงติดอยู่ในความคิด—ภาพของเด็กหนุ่มผมสีส้มเพลิงทำให้ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับข้า รวมถึงความรู้สึกติดค้างที่เขาช่วยชีวิตข้าไว้ด้วย
ข้าสูดลมหายใจลึกก่อนจะพยายามขยับตัวขึ้นนั่ง แม้ว่าร่างกายจะอ่อนแรง แต่จิตใจของข้ากลับแข็งแกร่งขึ้น "ข้าอยากช่วยพวกเขามากกว่านี้ ข้าอยากช่วยกันฟื้นฟูเมืองให้กลับมาเหมือนเดิม...ไม่ซิดีกว่าเดิม! เมืองที่มอบความสุขให้ข้า" ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
"หม่อมฉันก็จะช่วยด้วยเพคะ! แต่พระองค์ต้องทรงพักผ่อนก่อนเพคะ! อย่างน้อยก็ให้อาการอ่อนล้าของพระองค์ได้รับการฟื้นฟูจนหมดจดเสียก่อน" เอลลี่กล่าวพลางยิ้มจาง ๆ แต่ดวงตาของเธอยังคงแฝงไปด้วยความเป็นห่วง
ขณะที่ข้าครุ่นคิดถึงความฝันและความจริงที่ต้องเผชิญ เอลลี่ ก็ได้ยกน้ำแก้วหนึ่งมาให้ข้าดื่ม "พระองค์ทรงเสวยน้ำก่อนเถอะเพคะ" น้ำอุ่นในแก้วช่วยบรรเทาความกระหายในลำคอของข้าที่แห้งดุจทะเลทรายได้เป็นอย่างดี
ก่อนที่นางจะค่อยๆ พยุงตัวข้าลงนอนอีกครั้งความอ่อนล้าเริ่มเข้าแทรกทั่วทั้งร่างกายของข้าอีก เอลลี่ เสยผมของข้าขึ้นก่อนจะจูบลงที่หน้าผากอย่างอ่อนโยน "หลังจากพระองค์ตื่นแล้ว หม่อมฉันจะอบขนมที่พระองค์โปรดมาให้นะเพคะ" สาวใช้ลุกเดินออกไปเปิดประตูปรากฏร่างของชายหนุ่มยืนอยู่ ดูเหมือน เซอร์ไอเดน ก็จะมาเยี่ยมข้าเหมือนกัน
ข้ายิ้มตอบโดยไม่พูดอะไรมาก เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆ บดบังสายตาอีกครั้ง ข้ายังมีอะไรอีกมากที่ต้องทำ แต่สำหรับตอนนี้ข้าขอนอนอีกสักหน่อย ในคืนนั้นฝันแปลกๆ ก็ไม่ย่างกรายเข้ามาอีกปล่อยให้ข้าได้พักผ่อนอย่างสงบ อาจจะเป็นเพราะจุมพิตอันอ่อนโยนของ เอลลี่ ที่เปรียบดังเวทมนตร์คุ้มกันก็ได้.....
แสงอาทิตย์ของวันใหม่ส่องเข้ามาในห้อง เป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วนับจากวันที่สัตว์เวทมนตร์บุกเมือง ข้าค่อยๆ ดึงตัวเองออกจากรังของผ้าห่มที่ห่อหุ้มข้าระหว่างช่วงพักฟื้น ความเจ็บปวดที่ข้อเท้ายังคงเป็นเพียงความปวดหน่วงๆ แพทย์ของเมืองบอกว่าข้อเท้าของข้าอาจจะไม่ใช่แค่พลิกธรรมดา กระดูกอาจจะร้าวด้วยแต่โชคดีที่ไม่ร้ายแรงมากพักฟื้นซักเดือนสองเดือนก็หาย ข้าพยายามพยุงตัวเดินไปที่หน้าต่าง แสงแดดอ่อนๆ เชื้อเชิญให้ข้ามองออกไป
หน้าบริเวณประตูเมืองยังคงเต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผล บ้านบางหลังมีรูโหว่ขนาดใหญ่ตรงจุดที่เคยเป็นกำแพง ในขณะที่บางหลังก็เอนเอียงราวกับพร้อมจะพังทลายได้ทุกเมื่อ แม้ว่าความเสียหายโดยรวมจะไม่ถึงขั้นทำลายล้างทั้งหมด แต่การได้เห็นชุมชนอันเคยรุ่งเรืองต้องเผชิญกับความหวาดกลัวและความสูญเสีย ก็ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ
"พวกเขาไม่ควรต้องเผชิญกับความลำบากเช่นนี้..." ข้าพึมพำเบาๆ ความกล้าหาญของเหล่าทหารในระหว่างการต่อสู้นั้นยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ แต่หลังจากจบการต่อสู้หรือสงคราม(?)การฟื้นฟูคือส่วนที่ลำบากเสมอ จากเท่าที่เห็นการซ่อมแซมเป็นไปได้อย่างเชื่องช้าอาจเป็นเพราะวัสดุอุปกรณ์และทุนทรัพย์ต่างๆที่ไม่มากพอ...
ขณะที่ข้ากำลังครุ่นคิดถึงก้าวต่อไป ประตูห้องก็ได้ถูกเปิดออกพร้อมร่างของ เซอร์ไอเดน และ เอลลี่ ที่เข้ามาต้อนรับอรุณใหม่ของวันให้ข้า
"เซอร์ไอเดน" ข้าเรียกเขาด้วยเสียงที่มั่นคงขึ้น "เรื่องการโจมตีของอสูรเวทมนตร์... นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยหรือไม่?"
เขาสบตากับข้า สีหน้าสงบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความหนักใจ "ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณของภัยแล้งในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง" เขาเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ "โดยปกติแล้ว อสูรเวทมนตร์ไม่โจมตีมนุษย์ พวกมันมักจะหลีกเลี่ยงเรา แต่เมื่ออาหารขาดแคลน พวกมันจะเริ่มออกหาแหล่งใหม่ และเมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่น พวกมันก็จะหันมาล่ามนุษย์เป็นแหล่งอาหารสุดท้ายพ่ะย่ะค่ะ"
ถ้อยคำของเขาทำให้บรรยากาศรอบตัวเคร่งเครียดขึ้น ข้าไม่เคยคิดเลยว่าอสูรเวทมนตร์ที่บุกโจมตีเมืองจะมาจากความสิ้นหวังของพวกมันเอง ข้าเริ่มคิดถึงชาวบ้าน—ขนาดสัตว์ป่า และสัตว์เวทมนตร์ยังเป็นขนาดนี้? แล้วพวกชาวเมืองเขาจะมีอาหารพอกินหรือเปล่า?
เซอร์ไอเดน กล่าวต่อ "ข้าเคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาแล้ว สมัยก่อนข้าเคยเป็นทหารในดินแดนทางเหนือ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการเตรียมตัวรับมือ ฤดูหนาวที่โหดร้ายสามารถบีบบังคับให้ทุกชีวิตทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด และไม่เว้นแม้แต่พวกเราเหล่ามนุษย์ก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ"
เอลลีเสริมขึ้นมาด้วยเสียงที่อ่อนโยนขณะที่กำลังหวีผมให้ข้า "ตอนที่ข้ายังเด็ก หมู่บ้านของหม่อมฉันก็เคยประสบกับเหตุการณ์แบบนี้เช่นกันเพคะ แม้ว่าเราจะสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงฤดูหนาว แต่เด็กๆในหมู่บ้านของดิฉันและผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็พึ่งพากันและกันจนเอาชีวิตรอดมาได้เพคะ"
"เอลลี่..."เรื่องราวของพวกเขาทำให้ข้าตระหนักได้ว่าข้าไม่สามารถปล่อยให้ ชิทูเรีย ต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นนั้นต่อไปอีกได้ หลังข้าเช็ดตัวและทานอาหารมื้อเช้าฝีมือ เอลลี่ เสร็จข้าก็คลุกตัวเองอยู่ในห้องทำงานคิดแผนการช่วยเหลือ ชิทูเรีย โดยที่ยังคงมี เอลลี่ และ เซอร์ไอเดนอยู่ในห้องด้วย หลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นห่วงข้ามากกว่าเดิม ช่วงนี้พวกเขามักจะคอยอยู่ใกล้ๆข้าเสมอเหมือนกลัวว่าอยู่ๆข้าจะบุ่มบ่ามทำอะไรแปลกๆจนเป็นอันตรายต่อตัวเองอีกอย่างไรอย่างนั้น
"หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่!" ข้าประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ความมุ่งมั่นในใจเริ่มลุกโชนอีกครั้ง "ก่อนอื่นข้าจะใช้เงินส่วนตัวเพื่อช่วยชาวบ้านซ่อมแซมบ้านเรือนแถวหน้าประตูเมือง เราต้องฟื้นฟูเมืองและจัดหาทรัพยากรเพื่อเตรียมรับมือกับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง" โชคดีที่แม้เสด็จพ่อจะไม่เคยสนใจไยดีข้าเลยแต่ท่านมักจะให้เงินส่วนตัวไว้ใช้จ่ายกับข้ามากเกินจำเป็นเสมอ หรืออาจเป็นเพราะข้าไม่เคยได้ใช้เงินเหล่านั้นในการซื้อของมาปรนเปรอตนเองเลยมั้งเงินเก็บของข้าเลยเหลือมากอยู่พอสมควร
ข้าจึงเริ่มวางแผนการเปลี่ยนแปลง ชิทูเรีย ข้ารู้ดีว่าเราต้องไม่เพียงซ่อมแซมสิ่งที่เสียหาย แต่ยังต้องวางรากฐานที่จะปกป้องเมืองจากภัยพิบัติในอนาคตด้วย ทุกย่างก้าวจะเป็นบทพิสูจน์ถึงความเข้มแข็งของชาวเมือง และข้าตั้งใจจะนำพาพวกเขาสู่การฟื้นฟูที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
"เหล่าทหารต้องการกำแพงป้องกันที่หนาขึ้นสมบูรณ์ขึ้น รวมถึงป้อมปราการ อาวุธ และเสบียงอาหาร" ข้ากล่าวเสริม"แต่ที่สำคัญกว่านั้น เราต้องสร้างระบบที่ช่วยให้ชาวบ้านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในระยะยาว"
จากนั้น ข้าหันความสนใจไปที่ตัวชาวเมืองเอง พวกเขาต้องการเครื่องมือที่จะทำให้พวกเขามีชีวิตที่มั่นคงได้ ไม่ใช่แค่เอาตัวรอดไปวันๆ
“สิ่งสำคัญคือเราต้องส่งเสริมให้ชาวเมืองสามารถผลิตสินค้าเพื่อขายได้” ข้าพึมพำ “เราสามารถส่งผู้เชี่ยวชาญมาอบรมทักษะเฉพาะทางให้แก่พวกเขา—ไม่ว่าจะเป็นงานไม้ งานช่างฝีมือ การเกษตร หรืออะไรก็ตามที่จะช่วยให้พวกเขามีรายได้ ส่วนพวกงานวิชาชีพ ฝีมือ หรือใช้แรงงานให้มุ่งเน้นไปในทางที่ใจรัก หากทำเพื่อให้มีชีวิตรอดให้เปลี่ยนเป็นมีกิจการค้าขายเป็นของตัวเอง จะเป็นครัวเรือนหรือส่วนตัวก็ได้ตามแต่เจ้าตัวต้องการ”
“การกระตุ้นการค้าภายในเมืองจะเปลี่ยนความเข้มแข็งของพวกเขาให้กลายเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” เราสามารถสร้างสถานที่เพื่อให้ชุมชนหรือชาวเมืองได้เรียนรู้และทำงานร่วมกัน หากเราส่งเสริมให้พวกเขาพัฒนาทักษะของตนเองได้ พวกเขาก็จะสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองได้ในอนาคต”
ขณะที่ข้ากล่าวไปเรื่อย สาวใช้ และ เซอร์ไอเดน ก็ได้แต่จ้องมองข้าสลับกับสบสายตาหากันปริบๆบ่งบอกว่าตอนนี้พวกเขาตามความคิดข้าไม่ทันแล้ว
"ข้าควรจะเขียนจดหมายไปให้เจ้าเมือง ให้จัดเตรียมบุคลากรที่สามารถฝึกอบรมให้ชาวบ้านได้ ทั้งด้านการทำเกษตร การผลิตอุปกรณ์ต่างๆ อุปกรณ์เวทมนตร์ หรือรวมไปถึงเวทมนตร์เบื่องต้นให้แก่คนที่มีพลังเวทย์"
ส่วนสุดท้ายของแผนข้าคือ เส้นทางการค้า ชิทูเรีย เป็นเมืองที่อยู่สุดขอบชายแดนเมืองหลวงด้วยระยะทางที่ห่างไกลและถูกลายร้อมไปด้วยภูเขาทำให้การเดินทางไปมายากเย็นอยู่แล้ว และยิ่งช่วงฤดูหนาวที่ค่อนข้างยาวนานหิมะยิ่งเป็นอุปสรรคใหญ่หลงเข้าไปอีก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของชิทูเรียให้เติบโตขึ้นจำเป็นต้องมีเส้นทางลัดหรือเส้นทางค้าขายที่ดีกว่านี้
“เราจำเป็นสร้างเส้นทางค้าขายเชื่อมเมือง ชิทูเรีย เข้ากับ เส้นทางหลักของเมืองหลวง” ข้ากล่าว โดยจินตนาการถึงโอกาสทางการค้าที่จะเกิดขึ้น “เส้นทางเหล่านี้จะช่วยให้เมืองสามารถส่งออกและนำเข้าสินค้าได้สะดวกขึ้น”
เซอร์ไอเดน มีสีหน้าครุ่นคิด “นั่นเป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่มากพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท แต่เราต้องมั่นใจว่าเส้นทางเหล่านั้นปลอดภัยจากการโจมตีของเหล่าโจรอีกทั้งจากสัตว์ป่า หรือสัตว์เวทมนตร์...”
“เพราะงั้นเราถึงจะต้องขุดอุโมงค์กันไงหละ เราจะขุดอุโมงค์ผ่านภูเขาตัดตรงเข้าหาถนนหลัก" เซอร์ไอเดน และ เอลลี่ ต่างอึ่งกับความคิดเหล่านั้นของข้าที่ดูแล้วไม่น่าจะมาจากเด็กอายุเพียงสิบเอ็ดขวบแน่ๆ
“ในช่วงแรกข้าคิดว่าสินค้าที่ชาวเมืองผลิตอาจจะมีการระบายที่ไม่มั่นคงพอ เพราะกำลังซื้อของผู้คนในเมืองเองไม่ได้สูงมากนักและการส่งออกก็ทำได้ไม่กี่เดือนต่อปี ข้าจะใช้เงินทุนส่วนตัวซื้อสินค้าที่เหล่าชาวเมืองผลิตขึ้นและเหลือค้างในเมือง แล้วนำไปบริจาคให้ชาวเมืองเพื่อใช้ในการบำรุงชีพในช่วงแรก จนกว่าแผนของข้าจะเติบโตจนทำให้ชาวเมืองยืนหยัดด้วยตนเองได้มันอาจจะใช้เวลาเป็นปี หรือกระทั่งสิบปีจนอุโมงค์ขุดเสร็จแต่ข้าคิดว่า ชิทูเรีย ไม่ได้กว้างใหญ่มากมายนักแค่งบส่วนตัวของข้าน่าจะพอช่วยเหลือพวกเขาได้เป็นส่วนมากจนกว่าจะถึงวาระนั้นได้”
ว่าเสร็จข้าก็รีบร่างจดหมายทั้งหมด และส่งให้ เซอร์ไอเดน นำไปให้กับเจ้าเมืองทันที....
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนนับตั้งแต่ข้าเริ่มดำเนินแผนการเปลี่ยนแปลงชิทูเรีย และความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นก็เห็นได้ชัดเจนทั่วทั้งเมือง ถนนที่เคยเงียบเหงากลับมาคึกคักอีกครั้ง พร้อมกับพลังงานใหม่ที่ชาวเมืองต่างโอบรับ ผู้คนเริ่มซ่อมแซมบ้านเรือน สร้างงานใหม่ และร่วมมือกันเป็นชุมชนที่เต็มไปด้วยความหวัง
ข่าวเกี่ยวกับการกระทำของข้าแพร่กระจายปากต่อปาก ความเคารพและความชื่นชมเริ่มก่อตัวขึ้นในหมู่ชาวเมือง เสียงกระซิบเกี่ยวกับ "เจ้าหญิงผู้ใส่ใจ" ค่อย ๆ แผ่ขยายออกไป จนในที่สุดก็ไปจนถึงเมืองหลวง โดยไม่ตั้งใจ ข้ากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของเมืองชิทูเรีย ด้วยเหตุนี้ คำเชิญจากเหล่าขุนนางแห่งชิทูเรียก็หลั่งไหลมาหาข้า—คำเชิญเข้าร่วมงานน้ำชา งานสังสรรค์ เพื่อหวังจะได้พบปะพูดคุยกับข้า
แรกเริ่ม ข้าปฏิเสธคำเชิญทั้งหมด เพราะรู้สึกไม่พร้อมกับความสนใจที่ได้รับอย่างมากมายขนาดนี้ จุดมุ่งหมายของข้าคือช่วยเหลือประชาชนแห่ง ชิทูเรีย ให้หลุดพ้นจากเงามืดของความลำบาก แต่แล้วบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ข้าไล่ดูจดหมายเชิญที่กองเป็นภูเขา ซองจดหมายฉบับหนึ่งก็สะดุดตาข้า มันถูกเขียนด้วยอักษรประณีตจากตระกูล วาลมอร์ ชื่อนั้นทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างในใจข้า—ความรู้สึกคุ้นเคยที่อยู่ตรงขอบความทรงจำ พร้อมภาพเลือนรางของเด็กชายผมสีส้มเพลิง—เฟริกซ์....
ความทรงจำนี้ปลุกบางสิ่งในใจข้าขึ้นมา ประกายของความสงสัยที่กระตุ้นให้ข้ายอมรับคำเชิญในที่สุด บางที...อาจถึงเวลาที่ข้าต้องออกจากเปลือกของตัวเองและก้าวสู่โลกที่กว้างกว่าเพราะสุดท้ายอย่างไรเสียข้ายังมีตำแหน่งเป็นเจ้าหญิงแม้อาจจะแค่ในนามก็เถอะ
คฤหาสน์ของตระกูลวาลมอร์ตั้งอยู่ในเขตที่มั่งคั่งของชิทูเรีย รายล้อมด้วยสวนกุหลาบที่ได้รับการดูแลอย่างประณีต แม้จะไม่โอ่อ่าเทียบเท่ากับคฤหาสน์ขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวง(?) แต่ก็ยังสะท้อนถึงความมั่งคั่งและอำนาจที่ตระกูลนี้ถือครองในท้องถิ่น
เมื่อรถม้าของข้าหยุดลงหน้าเรือนรับรอง คนรับใช้รีบเข้ามาเปิดประตูให้ อากาศยามบ่ายเย็นสบาย กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้โชยมาจากสวน ข้าก้าวลงจากรถม้าพร้อมเอลลีและเซอร์ไอเดน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบันไดหินอ่อนที่ทอดยาวไปยังประตูไม้แกะสลักอย่างวิจิตร
ที่หน้าประตู เคานต์ เอดมันด์ วาลมอร์ และภรรยาของเขา เคาน์เตส เซลีนา ยืนรอต้อนรับเราอยู่ ทั้งสองแต่งกายในชุดหรูหราแต่ไม่ถึงกับฟุ่มเฟือย เคานต์เอดมันด์เป็นชายวัยกลางคน มีเส้นผมสีเงินอ่อนแซมขาวเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้ากริบ แฝงไปด้วยความเฉียบแหลม ส่วนเคาน์เตสเซลีน่ามีเรือนผมสีส้มรวบเก็บไว้อย่างประณีต ดวงตาสีอำพันของนางดูอ่อนโยน แต่ก็เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด
"ยินดีต้อนรับ สู่คฤหาสน์วาลมอร์ พ่ะย่ะค่ะ พวกเรารอคอยการมาเยือนของพระองค์อยู่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีนามว่า เอดมันด์ วาลมอร์ ส่วนนี่ภรรยาของกระหม่อม" เคานต์เอดมันด์เอ่ยเสียงนุ่ม พลางโค้งศีรษะเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
"ไรร่า วาลมอร์ เพคะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านเสด็จมาเพคะ เจ้าหญิงออเรเลีย" เคาน์เตสเซลีน่ากล่าวเสริม นางยิ้มละมุน แต่ข้าสังเกตเห็นแววประเมินในแววตาของนาง
"ส่วนนี่บุตรชายของกระหม่อม" สิ้นสุดคำพูดของเคานต์ วาลมอร์ เด็กชายผมสีส้มเพลิงก็เดินออกมาจากด้านหลังของประตู คราวนี้เขายืนประจันหน้าข้าไม่หนีและไม่ซ่อนอีกต่อไป ความรู้สึกประหม่าค่อยๆขึ้นมาจากปลายนิ้วเท้าของข้า
เมื่อสายตาของเราประสานกัน เฟริกซ์ โค้งตัวเล็กน้อย พลางก้าวเข้ามาใกล้ "ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง เจ้าหญิงออเรเลีย กระหม่อมมีนามว่า เฟริกซ์ วาลมอร์ พ่ะย่ะค่ะ" เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่ข้าหาความหมายแท้จริงไม่ได้
"ข้าก็เช่นกัน" ข้าตอบกลับ โดยพยายามควบคุมอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ในใจ
"เชิญเข้ามาด้านในเถิดเพคะ พวกเราเตรียมงานเลี้ยงน้ำชานี่อย่างสุดความสามารถแม้จะเล็กๆ แต่พระองค์จะต้องพอพระทัยแน่นอนเพคะ เฟริกซ์เจ้าช่วยนำทางให้เจ้าหญิงที" เคาน์เตสผายมือเชื้อเชิญ
"ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ ข้าต้องรบกวนท่านแล้ว" ข้าตอบกลับด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
ข้าก้าวเข้าไปในคฤหาสน์ โถงต้อนรับตกแต่งด้วยพรมลวดลายละเอียด เฟอร์นิเจอร์ไม้สลักแสดงถึงรสนิยมของเจ้าของบ้าน แม้จะไม่ได้หรูหราจนเกินไป แต่ก็ยังคงความสง่างามในแบบของขุนนางระดับเคานต์
ในห้องจัดเลี้ยง โต๊ะไม้ตัวไม่ใหญ่มากถูกจัดวางไว้อย่างประณีต มีขนมอบ น้ำชา และผลไม้สดจัดเรียงอย่างสวยงาม และข้างๆนั้นเองมีเด็กสาวผมสีเงินที่เปล่งประกายราวกับแสงจันทร์ ดวงตาสีชมพูที่สะท้อนทุกสิ่งรอบตัวเธอ ผิดกับรูปลักษณ์ที่น่าเอ็นดูและทะนุถนอม ทันทีที่เราสบตากัน คลื่นอารมณ์ถาโถมเข้าสู่จิตใจข้า—ความขุ่นเคือง ความโกรธแค้น ความอิจฉาริษยา ความเศร้าและความรู้สึกผิด(?) ข้าตัวสั่นไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนกำลังถูกความรู้สึกเหล่านั้นกลืนกิน เช่นเดียวกับตอนที่พบกับ เฟริกซ์ ครั้งแรก....
"ยินดีที่ได้พบกันนะเพคะ เจ้าหญิงออเรเลีย ข้ามีนามว่า โรสลิน เพคะ เพื่อนของเฟริกซ์ เพคะ" โรสลินแนะนำตัวเอง เสียงของเธอนุ่มนวลเต็มเปี่ยมด้วยความใส่ซื่อบริสุทธิ์ แม้มารยาททางการพูดจะไม่ถูกต้องเสียหมดแต่ทุกคำที่เปล่งออกมาช่างสง่างามและน่ารัก ข้าพยายามฝืนยิ้มตอบ แม้จะรับรู้ได้ว่าความรู้สึกที่ปั่นป่วนในใจข้ากำลังจะทำให้ข้าเสียการควบคุม
ท่ามกลางการสนทนานั้น ข้าสัมผัสได้ถึงสายตาสีฟ้าคู่นั้นอีกครั้ง—เฟริกซ์ เขายังคงยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยบางสิ่งที่ข้าอ่านไม่ออก มันเป็นความเมตตาของเพื่อน หรือบางสิ่งที่ลึกซึ้งและมืดมนกว่านั้น?
ข้ายืนอยู่ท่ามกลางเด็กสองคนที่ดูอย่างไรก็ไม่มีพิษภัยแต่บรรยากาศอึดอัดไม่ชอบมาพากลทำให้ข้ารู้สึกหายใจได้ไม่ทั่วท้อง อีกทั้งเคานต์และเคาน์เตสบอกว่าอยากให้ข้าได้สานสัมพันธ์อันดีกับบุตรชายของตนเลยไม่อยากมาเข้าร่วมงานเป็นส่วนเกิน ดูท่าว่านี่อาจจะไม่ใช่แค่งานน้ำชาธรรมดาๆ...เสียแล้วกระมั้ง—
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่พิธีราชาภิเษก ข้าก็ยังคงอยู่ในวังหลวง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยพลังงานแห่งการเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง สถาบันเอลโดเรียยังอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน ทำให้คาลิเบลมักวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ข้า เขาแวะเวียนมาที่ห้องของข้าอยู่บ่อยครั้ง ราวกับอยากชดเชยช่วงเวลาที่เราห่างหายกันไปนานและด้วยความคิดถึงกระมั้ง ข้ายินดีต้อนรับการมาเยือนของเขาเสมอ บอกตามตรงความร่าเริงของเขาเป็นเสมือนดวงไฟอุ่นที่ช่วยปลอบประโลมข้าให้คลายจากความกดดันในบรรยากาศของวังหลวงยิ่งไปกว่านั้น เฟลิกซ์กับโรซลินก็มักจะแวะมาเป็นครั้งคราว และที่น่าแปลกใจที่คือ ทั้งคู่คือเพื่อนที่คาลิเบลเคยเอ่ยถึงในจดหมายที่ส่งมาให้ข้าเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรแต่โลกช่างกลมยิ่งนักอย่างไรก็ตาม ข้ากลับไม่อาจสลัดความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจับตามองไปได้เลย หลังจากวันพิธี ข้าเริ่มได้รับคำเชิญไปงานน้ำชาจากขุนนางชั้นสูงอย่างต่อเนื่อง มากกว่าทุกครั้งที่เคยได้รับในช่วงที่อยู่ที่ชีทูเรีย เป็นไปได้ว่าท่าทีของข้าในวันนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาจับตามอง บันทึกไว้ราวกับเป็นวัตถุจัดแสดงที่น่าสนใจ ช่างน่าขำนี่ขนาดยังไม
รองเท้าส้นสูงของข้ากระทบสู่พื้นท้องพระโรงสถานที่จัดพิธี เสียงฮือฮาแห่งความตื่นเต้นยังคงถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นซัดหลังจากเสียง ของมหาดเล็กสิ้นสุดลง ใต้แสงระย้าจากโคมไฟระย้าหรูหรา การตกแต่งสีทองอร่ามส่องประกายเจิดจ้า ทว่าในขณะที่ข้าเดินไปที่บัลลังค์ข้างซ้ายองค์จักรพรรดิ เสียงกระซิบแห่งการดูแคลนและแปลใจต่างแทรกผ่านหมู่ชน ราวกับอสรพิษแฝงตัวกลางฝูงคนไม่หยุดหย่อน เหมือนข้าเป็น"องค์หญิงน้อยคนนั้นใช่ เจ้าหญิงออเรเลีย ใช่ไหม? ข้าพึ่งจะเคยเห็นนางครั้งแรกเลย""ข้าเองก็ไม่เคยเห็นนางออกงานสังคมที่ไหนมาก่อนเช่นกัน ขนาด ท่านคาลิเบล ข้ายังเคยเข้าเฝ้าในงานวันคล้ายวันประสูติ แต่ข้าไม่เคยเห็นนางสักครั้ง""มีเพียงขุนนางชั้นสูงบางคนที่เคยเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเคยเห็นนางเท่านั้นเอง"“ข้าได้ข่าวว่า นางถูกไล่ให้ไปอยู่แถวชานเมืองจนถึงเมื่อไม่นานมานี้เองด้วยนะ”"ที่ ชิทูเรีย ใช่หรือไม่? ข้าได้ยินข่าวว่านางเปลี่ยนแปลงเมืองนั้นยกใหญ่เลยนี่""ไม่ใช่ว่านั่นเป็นฝีมือของเจ้าเมืองและนางแอบอ้างชื่อตนเองเพื่อเอาความดีไปถวายองค์จักรพรรดิหรอกหรือ?""ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นางน่าจะโง่เขลาพอสมควรที่จะเอาใจองค์จักรพรรดิเช่นนั้น
ข้ากวาดตามองห้องที่เคยเป็นที่พักพิงของข้ามาหลายเดือน แม้จะรู้ดีว่าสักวันจะต้องจากไป แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงจริง ๆ หัวใจกลับรู้สึกหนักอึ้งกว่าที่คิด ข้าปิดหีบสัมภาระใบสุดท้าย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินออกจากห้องโดยไม่หันกลับไปมอง เมื่อข้ามาถึงลานกว้างหน้าเรือนหลัก รถม้ากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับวังหลวง พวกคนรับใช้ยืนรอส่งข้าอย่างเงียบงัน ข้ารู้สึกเศร้าที่ต้องกล่าวอำลาพวกเขา โดยเฉพาะสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ประตู เอลลี่และเซอร์ไอเดน ข้าหยุดยืนตรงหน้าเอลลี่ ก่อนจะยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้กับนาง "เอลลี่... หลังจากข้าไปแล้ว เจ้าค่อยเปิดอ่านจดหมายนี้นะ" ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม ดวงตาของเอลลี่เต็มไปด้วยความลังเล ข้ารู้ว่านางอยากจะถาม แต่ข้ากลับรีบพูดต่อก่อนที่นางจะเอ่ยปาก "ลองปรึกษากับเซอร์ไอเดนดู ไม่ว่าพวกเจ้าจะตัดสินใจกันอย่างไรข้าก็จะยอมรับมัน นี่อาจเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัว ใจจริงข้าไม่อยากลากพวกเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ว่า..." ข้าพูดไม่จบประโยค เพียงแค่ดึงเอลลี่เข้ามากอดแน่น ข้ารู้ว่านางกำลังสั่นเทา และข้าเองก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะอย
เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย
เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า
ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ