ซ่งอินเดินวนไปมาหน้าห้องเรียนด้วยท่าทางสง่างาม เขามองเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ที่นั่งเรียงกันในท่าฝึกสมาธิอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่ทรงพลัง
“หน้าที่ของพวกเจ้าในวันนี้คือโคจรลมปราณและใช้พลังของเจ้า ทำให้แผ่นไม้เล็กเรียวยาวตรงหน้าลอยอยู่กลางอากาศให้ได้”
ทุกคนต่างหันมามองแผ่นไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าของตัวเอง ด้วยแววตาที่ผสมผสานระหว่างความมุ่งมั่นและกังวล
ซ่งอินอธิบายเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“การควบคุมลมปราณในระดับนี้เป็นพื้นฐานของการฝึกขี่อาวุธในอนาคต หากพวกเจ้าทำไม่ได้ แม้แต่เหาะเหินเดินอากาศก็คงเป็นไปไม่ได้ จงตั้งสมาธิ หายใจให้ช้า และดึงพลังปราณจากภายในตัวเจ้าออกมา!”
ศิษย์แต่ละคนพยายามทำตามคำแนะนำ บางคนหลับตา บางคนจ้องแผ่นไม้ด้วยความตั้งใจสุดกำลัง เสียงลมหายใจดังสลับกับเสียงพึมพำเบาๆ ของบางคนที่พยายามรวบรวมสมาธิ
แต่ก็ยังไม่มีใครทำให้แผ่นไม้ลอยขึ้นได้
จางอี้หมิงนั่งอยู่หลังสุดของห้อง แม้เขาจะไม่ได้โคจรลมปราณในตอนนี้ แต่เขามองดูศิษย์คนอื่นด้วยความสงบ ราวกับกำลังประเมินทุกคนอย่างใจเย็น ทว่าภายในใจเขากลับคิดอย่างขบขัน
“พวกเด็กใหม่เหล่านี้ยังอ่อนหัดกันจริงๆ”
ทันใดนั้น เสียงใสๆ ของดรุณีน้อยก็ดังขึ้น
“ข้าทำได้แล้ว!”
เสียงของหลินหนิงดึงดูดสายตาของทุกคนทันที เมื่อพวกเขาหันไปมอง ก็เห็นแผ่นไม้เล็กๆ ลอยอยู่กลางอากาศระหว่างฝ่ามือทั้งสองของนาง ดวงตากลมโตของหลินหนิงฉายแววตื่นเต้นและยินดี
ซ่งอินหยุดเดินแล้วมองไปยังหลินหนิง ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ
“ดีมาก เจ้าเข้าใจการควบคุมลมปราณได้เร็วถึงเพียงนี้ นับว่ามีพรสวรรค์ที่ดี”
จางอี้หมิงที่มองอยู่ด้านหลังลอบยิ้มเล็กน้อย
เขาคิดในใจว่า “แม่นางผู้นี้ไม่เพียงมีหน้าตางดงาม แต่ยังมีฝีมือที่น่าสนใจอีกด้วย พรสวรรค์ของนางนับว่าไม่ธรรมดา”
เขาลอบมองหลินหนิงอีกครั้งอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะคิดต่อ “วันใดวันหนึ่ง ข้าต้องเชิญนางมาฝึกเวทอักษรส่วนตัวกับข้าสองต่อสองให้ได้ นางคงพัฒนาไปไกลไม่น้อย”
“บัดซบเอ้ย! ข้าควรรู้สึกผิดที่หลอกโก่งราคาขายตำราติวสอบให้นาง!”
ในขณะเดียวกัน ศิษย์คนอื่นๆ ยังคงพยายามต่อไป แม้จะยังไม่มีใครทำได้สำเร็จเช่นเดียวกับหลินหนิง แต่แววตามุ่งมั่นของทุกคนกลับยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ซ่งอินยังคงเดินตรวจดูอย่างเงียบๆ รอคอยศิษย์คนต่อไปที่จะทำสำเร็จ
จางอี้หมิงจ้องมองแผ่นไม้ตรงหน้าด้วยแววตาจริงจัง เขาพลางครุ่นคิดถึงวิธีโคจรลมปราณที่ผิดแผกจากผู้อื่น
“พลังปราณของข้ายังไม่สมดุล หากฝืนโคจรตามปกติก็คงไร้ผล ต้องเริ่มจากจุดอื่นแล้วค่อยดึงกลับสู่ตันเถียน...”
เขาตั้งสมาธิแน่วแน่ เริ่มดึงพลังจากจุดที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างระมัดระวัง ทุกการเคลื่อนของลมปราณเป็นไปอย่างเชื่องช้าและรัดกุม
ไม่นานนัก แผ่นไม้ตรงหน้าของเขาก็เริ่มขยับ ลอยขึ้นจากพื้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะตกลงมาอีกครั้ง
จางอี้หมิงถอนหายใจเบาๆ แม้จะยังไม่สำเร็จ แต่เขารู้ว่าตนกำลังเดินมาถูกทางแล้ว
“ถือว่าเป็นก้าวแรกที่สวยงาม”
ขณะนั้นเอง เสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นจากเหล่าศิษย์ ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่ หวงจื่อรั่ว ดรุณีที่แต่งกายคล้ายบุรุษ แต่มีความงดงามจนสะดุดตา
แผ่นไม้เบื้องหน้าของนางกำลังลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ระหว่างฝ่ามือ ดวงตานางนิ่งเฉย สง่างามดุจน้ำค้างยามรุ่งอรุณ
ซ่งอินเดินเข้ามาใกล้หวงจื่อรั่ว ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“เจ้าทำได้ดีมาก สมเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูง นี่เป็นขั้นแรกที่สำคัญ จงรักษาความมุ่งมั่นเช่นนี้ต่อไป”
เสียงซุบซิบในห้องเริ่มดังขึ้น มีทั้งความชื่นชมและอิจฉาในตัวหวงจื่อรั่ว แต่เจ้าตัวกลับยังคงนิ่งเฉย ราวกับคำชมเหล่านั้นเป็นเพียงสายลมพัดผ่าน
จางอี้หมิงมองไปที่หวงจื่อรั่วด้วยแววตาชื่นชม พร้อมกับคิดในใจว่า “แม่นางจื่อรั่ว นอกจากจะมีความสามารถโดดเด่นแล้ว ยังมีใบหน้างดงามดุจภาพวาดของเทพธิดา...”
แต่แล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ ในใจเมื่อคิดต่อ “เสียดายที่นางมีนิสัยแข็งกร้าวนัก หากนางอ่อนโยนกว่านี้อีกหน่อย คงง่ายต่อการเชิญชวนให้นางมาอยู่ในใจข้าได้”
“ถึงอย่างไรนางก็ควรค่าแก่การจับตามอง”
จะเป็นแม่นางหลินหนิงหรือว่าหวงจื่อรั่ว นับว่าเป็นหญิงงามที่น่าจับตามองในอนาคต ไม่ว่าจะเรื่องฝีมือ รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่จางอี้หมิงมั่นหมายไว้ในใจ แต่ถึงอย่างไรเสียนางก็ไม่สามารถเป็นผู้ช่วยในการปรับสมดุลพลังในเร็ววันนี้ของเขาเป็นแน่
ซ่งอินเดินเข้ามาใกล้จางอี้หมิง พร้อมกับมองแผ่นไม้ที่ลอยขึ้นและหล่นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาพยายามเก็บสีหน้าไว้เรียบเฉยในฐานะของอาจารย์ประจำวิชา แต่ถึงอย่างไรเขาก็นับว่าเป็นศิษย์ก้นกุฏิในวิชาเวทอักษรของจางอี้หมิงเช่นกัน ฉะนั้นความเคารพนับถือจึงมีอยู่ไม่น้อย
ซ่งอินโน้มตัวเข้าไปใกล้ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาๆ ที่ได้ยินกันสองคน
“ศิษย์พี่ ท่านอย่าได้เครียดนัก ลองปล่อยตัวให้ผ่อนคลาย อย่าว่อกแว่ก พลังปราณจะโคจรได้ลื่นไหลกว่านี้”
จางอี้หมิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้าช้าๆ เขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามปลดเปลื้องความคิดฟุ้งซ่านในใจ
เมื่อจิตใจเริ่มนิ่ง เขาเริ่มโคจรลมปราณอีกครั้ง แผ่นไม้ตรงหน้าค่อยๆ ขยับ ก่อนจะลอยขึ้นมาอย่างมั่นคง ครั้งนี้มันไม่ตกลงอีก
จางอี้หมิงลืมตาขึ้น ยิ้มมุมปากเบาๆ แล้วหันไปสบตากับซ่งอิน เป็นอันรู้กันระหว่างพี่น้องทั้งสองว่าเป็นการขอบคุณ
ซ่งอินเผยยิ้มเล็กน้อย แต่ยังรักษาท่าทางในบทบาทอาจารย์ประจำวิชาไว้ ก่อนพยักหน้าและเดินกลับไป
ขณะเดียวกัน หลินหนิงและหวงจื่อรั่วที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็หันมามองทางจางอี้หมิงโดยตั้งใจ
หลินหนิง นางมีรอยยิ้มสดใสประดับใบหน้า และคิดในใจว่า “เสี่ยวอี้ผู้นี้มีความสามารถไม่น้อย อีกทั้งนิสัยก็ไม่เลว หากได้ร่วมฝึกฝนด้วยกันต่อไป คงนับเป็นสหายที่ดีทีเดียว”
หวงจื่อรั่ว แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับคอยจับตาดูจางอี้หมิงตั้งแต่ต้น นางรู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก “บุตรชายท่านอ๋องจางผู้นี้ แม้สูญเสียพลังปราณ แต่ความสามารถก็มิใช่น้อย...” นางคิดพลางเผลออมยิ้มเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้นมองแผ่นไม้ที่ลอยอยู่เบื้องหน้าอย่างพอใจ
“นับว่าไม่เลว”
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร