🌙❄️ใครจะคิดว่าการสมัครงาน "ส่งอาหาร" จะพาฉันข้ามมิติมายังโลกที่หิมะไม่เคยละลาย — และเจอกับ "องค์ชายมังกรน้ำแข็ง" ผู้เย็นชาราวกับไม่เคยรู้จักความรัก ในมือฉันมีเพียงกล่องราเมนร้อน ๆ และหัวใจที่กำลังเต้นแรงไม่หยุด... เขา ผู้ควบคุมหิมะและพายุ ฉัน เด็กสาวจากโลกที่แสนธรรมดา ...เมื่อเส้นทางของเราเกี่ยวพันกันด้วยคำสาป และพันธะเลือด จะมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น — ละลายหัวใจที่เย็นยะเยือกนี้... หรือถูกกักขังใต้หิมะไปตลอดกาล 【❄️ระวัง...เมื่อราเมนหนึ่งชาม อาจละลายทั้งดวงใจของมังกรน้ำแข็ง❄️】
View Moreเสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือน
เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยัน
เธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้
ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวัง
โต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพ
แผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนตัวอักษรแทบเลือนหาย เหลือเพียงเศษไม้ผุ ๆ เปื้อนโคลน
เธอโดนใส่ร้าย!!
คู่แข่งที่ประสงค์ร้ายต่อเธอใส่ร้ายป้ายสีผ่านโลกโซเชียลที่เต็มไปด้วยความหลอกลวง ส่งผลให้เธอถูกประณาม
"เธอก็แค่ต้มตุ๋น!" เสียงหนึ่งตะโกนขึ้น ทะลุทะลวงหมอกหนาในหัวของเธอ
"คำพยากรณ์ไม่มีจริง!" อีกเสียงแหลมสูงแทรกขึ้นมา ตามด้วยเสียงโห่ไล่อีกระลอก
"เราถูกหลอก!" เสียงสุดท้าย รุนแรงจนเหมือนตบหน้าด้วยฝ่ามือเย็นเฉียบ
เสียงเหล่านั้นโหมกระหน่ำใส่เธอไม่หยุดหย่อน ไล่ล่าเธอเหมือนเงามืดที่ไม่มีวันหลุดพ้น
เอลาเรียพยายามอ้าปากตะโกนอธิบาย พยายามเรียกคืนศรัทธาที่หายไป แต่คำพูดของเธอกลับกลืนหายไปในหมอกหนาทึบ ราวกับโลกนี้ไม่เหลือใครฟังเธออีกต่อไป
เธอเหวี่ยงแขน คว้าไพ่ใบหนึ่งที่ลอยละลิ่วในอากาศ—แต่ปลายนิ้วของเธอกลับสัมผัสได้เพียงอากาศว่างเปล่า ไพ่กลับลอยหนีไป ราวกับเธอไม่มีตัวตน
ขาของเธอเริ่มจมลงในหมอกหนา เย็นเยียบ และเหนียวหนืด ราวกับจะกลืนร่างของเธอทั้งเป็น ความรู้สึกโดดเดี่ยว ความสิ้นหวัง และความหวาดกลัว ท่วมท้นขึ้นมาจนแทบหายใจไม่ออก
ในห้วงวินาทีนั้น เอลาเรียรู้สึกได้ว่า... เธอกำลังถูกโลกทั้งใบลืมเลือน
แล้ว...
ตี้ง! ตี้ง! ตี้ง!
เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือดังก้องแสบแก้วหู ราวกับระฆังเร่งเร้าให้ลืมเลือนฝันร้าย เสียงนั้นกระชากเอลาเรียให้ผงะตื่นจากห้วงหลอนในพริบตา
เธอสะดุ้งโหยง ลมหายใจติดขัด ดวงตาเบิกโพลง มองไปรอบห้องเช่าเล็ก ๆ ของตัวเองด้วยหัวใจที่ยังเต้นระรัว ผนังสีเทาหม่นแตกร้าวเป็นเส้น ๆ ด้านข้าง ผ้าม่านเก่าขาดวิ่นปลิวไหวไปมาตามกระแสลมอ่อนยามเช้า แสงแดดสีซีดส่องลอดผ่านรูตะเข็บเข้ามา ฉายเงาสั่นไหวบนพื้นไม้เก่า ๆ ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตามแรงลม
กลิ่นอับชื้นและกลิ่นไม้เก่าผสมปนเปกันในอากาศ แต่มันกลับให้ความรู้สึกจริงยิ่งกว่าฝันเมื่อครู่หลายเท่า
เอลาเรียหอบหายใจแรงราวกับวิ่งหนีฝันร้ายมาทั้งคืน เธอยกมือขึ้นนวดขมับเบา ๆ เพื่อบรรเทาความปวดหนึบที่เล่นงานราวกับจะตอกย้ำว่าฝันนั้นทิ้งร่องรอยไว้ในความจริง
"ฝันบ้า ๆ ... อีกแล้ว..." เธอพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงแหบพร่า ริมฝีปากแห้งแตกแทบไม่มีน้ำเสียงเหลือ
มือของเธอลูบผ่านข้างเตียง สัมผัสเจอโต๊ะไม้เก่า ๆ ที่วางของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้บนมัน ทั้งกองไพ่ทาโรต์เก่า กล่องไม้เก็บเครื่องราง และเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญที่เป็นเงินทุนก้อนสุดท้าย
เธอสูดหายใจลึก กลืนก้อนแข็ง ๆ ที่ค้างอยู่ในลำคอลงไป ก่อนจะค่อย ๆ พาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงผ้าใบเก่า ๆ ที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดเบา ๆ
วันนี้เป็นวันแรก — วันที่เธอไม่มีสิทธิ์ล้มเหลวอีกแล้ว
เธอเหลือบมองไพ่ทาโรต์ที่วางกองอยู่ ขอบไพ่หลุดลุ่ยจนแทบจับไม่ติดกันแล้ว แต่เธอกลับยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมาแนบอกแน่น ราวกับมันคือเศษเสี้ยวสุดท้ายของตัวตนที่เธอไม่ยอมปล่อยมือ
ไม่ว่าโลกจะพังทลายลงกี่ครั้ง
วันนี้... เธอจะต้องเริ่มต้นใหม่ให้ได้
หลังจากลุกขึ้นอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาจนความง่วงหายไป เอลาเรียเช็ดผมเปียกหมาด ๆ ด้วยผ้าขนหนูเก่า แล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ ข้างเตียง
บนราวไม้แขวนเก่า ๆ มีชุดใหม่ล่าสุดแขวนอยู่ — ยูนิฟอร์มที่เพิ่งได้รับมาจากบริษัท Omnibite เมื่อวานนี้
เธอยื่นมือไปสัมผัสเนื้อผ้า พลางอดยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากไม่ได้ ความรู้สึกตื่นเต้นน้อย ๆ จาง ๆ ผุดขึ้นในอก
ยูนิฟอร์มของ Omnibite ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันจนเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดว่ามันเป็นเพียง "ชุดทำงาน"
เสื้อแจ็กเก็ตน้ำหนักเบา สีดำด้าน โครงเสื้อเข้ารูปเล็กน้อยเพื่อให้คล่องตัว ตัดเย็บด้วยผ้าที่ทั้งกันน้ำและระบายอากาศได้ดี พื้นผิวแต่งลายสะท้อนแสงสีเงินเป็นเส้นสายบาง ๆ พาดผ่านเหมือนรอยร้าวของอวกาศ ทว่าในแสงธรรมดามองแทบไม่เห็น เส้นสายเหล่านี้จะเปล่งแสงวาววับก็ต่อเมื่อสะท้อนกับแสงไฟยามค่ำคืน
ตรงอกซ้ายปักตราสัญลักษณ์ตัว "O" รูปประตูมิติบิดเบี้ยวซ้อนกับภาพราเมนถ้วยเล็ก ปักด้วยด้ายสีขาวสะอาดตา ลายเส้นละเอียดจนดูเหมือนภาพมีชีวิต
ด้านในเป็นเสื้อยืดสีเทาเข้มเนื้อผ้านุ่ม เบา และยืดหยุ่น รองรับการขยับตัวได้อย่างอิสระ
กางเกงขาสามส่วนทรงแอคทีฟ ตัดเย็บด้วยผ้าเทคนิคอลชนิดพิเศษ ที่ทั้งกันน้ำ กันลม และยืดหยุ่นได้ดี แม้ต้องเผชิญฝนห่าใหญ่หรือวิ่งไล่ส่งอาหารในตรอกแคบ ๆ ก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้
รองเท้าผ้าใบดีไซน์โฉบเฉี่ยว สีดำขลิบเส้นเงินสะท้อนแสง บริเวณข้อเท้ามีชิประบุตัวตนฝังอยู่เป็นมาตรฐานใหม่ของบริษัท เพื่อความปลอดภัยและการเช็กอินแบบไร้สัมผัส
เมื่อสวมใส่ครบชุด เอลาเรียยืนพิจารณาตัวเองหน้ากระจกบานเล็กที่มีรอยแตกตรงมุมหนึ่ง
ใครเห็นก็คงคิดว่าเธอเป็นสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการลับจากองค์กรลึกลับ...ไม่ใช่แค่พนักงานส่งอาหารธรรมดาแน่นอน
"อย่างน้อย...ก็ดูเท่ล่ะนะ"
เอลาเรียหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง เสียงหัวเราะนั้นเจือด้วยความขมอมหวานและความหวังเล็ก ๆ ที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางความเปราะบางของชีวิตใหม่
เธอยืนอยู่หน้ากระจกบานเล็ก จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ดึงซิปเสื้อแจ็กเก็ตขึ้นจนสุดคออย่างตั้งใจ ก่อนจะเอื้อมไปคว้ากระเป๋าส่งอาหารพิเศษของ Omnibite ที่แขวนอยู่ข้างประตู
กระเป๋าใบนั้นมีผิวสัมผัสเนียนลื่น ลวดลายบาง ๆ เรืองแสงจาง ๆ บนพื้นผิวเหมือนเส้นทางในจักรวาลไกลโพ้น มันทั้งแข็งแรง กันกระแทก และดูเหมือนมีชีวิตในตัวเอง
เอลาเรียสะพายกระเป๋าขึ้นบนหลัง จัดท่าทางให้มั่นใจอีกครั้ง เธอมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นลวก ๆ ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยร่องรอยความเหนื่อยล้า แต่ในดวงตาคู่นั้น—มีประกายของความกล้าอยู่ลึก ๆ
"ส่งอาหารทะลุมิติ...เหรอ?"
เธอนึกถึงตอนที่เห็นประกาศรับสมัครครั้งแรกทางออนไลน์ ภาพโฆษณาสีฉูดฉาด บอกว่างานนี้คือโอกาสสำหรับ "ผู้กล้าที่พร้อมเดินทางข้ามพรมแดนแห่งจักรวาล" มันฟังดูไร้สาระเสียจนเธอหัวเราะออกมาในตอนนั้น
'ส่งอาหารข้ามมิติ...ต้องบ้าแน่ ๆ'
เธอเคยคิดแบบนั้นจริง ๆ — และก็ยังคิดอยู่นิดหน่อย
แต่ตอนนี้ เธอกลับยืนอยู่ตรงนี้ สวมชุดยูนิฟอร์มเท่ ๆ และพร้อมจะก้าวออกไปสู่โลกใบใหม่ ที่แม้จะยังมืดมน...แต่ก็เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุด
ตี้ง!
เสียงแจ้งเตือนจากนาฬิกาข้อมือดังขึ้น ดึงเธอออกจากภวังค์
[คุณมีออเดอร์ใหม่จาก Omnibite : "โลเคชั่นไม่สามารถระบุได้"]
เอลาเรียกะพริบตาปริบ ๆ มองข้อความที่กระพริบอยู่บนนาฬิกา ก่อนจะหลุดหัวเราะขม ๆ ออกมา
"ไม่รู้โลเคชั่นงั้นเหรอ..."
เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ ราวกับจะถามโลกนี้กลับไป
“เอาสิ...อยากรู้เหมือนกันว่าจะไปมิติไหน”
เสียงหัวเราะของเธอเบาแต่จริงใจ คราวนี้ไม่มีความกลัวเจืออยู่เลย
เอลาเรียยกนิ้วจิ้มปุ่ม "ตกลงรับงาน" อย่างไม่ลังเล —
โดยไม่รู้เลยว่า การตัดสินใจครั้งนี้ จะนำพาเธอไปสู่การผจญภัยที่ไม่อาจหวนกลับ และจะเปลี่ยนชีวิตของเธอ...ตลอดกาล
🧊 🧊 🧊 🧊 🧊
ณ ห้องบรรทมแห่งวังเทียนหลง — เมื่อม่านจันทราปิดบังสายตาจากท้องฟ้าเบื้องบนเสียงประตูห้องบรรทมปิดลงเบา ๆ ราวกับไม่อยากรบกวนเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นรัวอยู่ในห้วงเดียวกันแสงเทียนนับสิบเล่มล่องลอยกลางห้องอย่างสงบ เปลวไฟสะบัดปลายไหวในจังหวะอ้อยอิ่ง พาแสงส้มอุ่นทอดเงาบนผนังหินแกะลาย เงาสองร่างทาบทับกัน ใกล้...จนแทบกลืนเป็นหนึ่งเดียวหลงอวิ๋นไม่ได้พูดสักคำ...แต่ในดวงตาของเขา มีคำมากมายที่ถูกกักเก็บไว้นานนับคืนความโหยหา ที่กัดกินทุกวินาทีของการรอคอยความรัก ที่ถูกหล่อหลอมด้วยทั้งเวทมนตร์และความเจ็บปวดความต้องการ ที่ไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้ในวันที่ฉันไม่อาจรับรู้ถึงมันเขาก้าวเข้ามาใกล้ ช้า...แต่มั่นคงมือของเขาเลื่อนไปประคองแผ่นหลังฉันเบา ๆ อีกมือหนึ่งรั้งใต้เข่าด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่ร่างสูงสง่าจะช้อนฉันขึ้นจากพื้น—อ้อมแขนของเขาอุ่นและแน่นหนาราวกับจะไม่ยอมให้ฉันหลุดหายไปอีกแม้เพียงวินาทีเดียวฉันซุกหน้าไว้ที่อกของเขา รับรู้ได้ถึงแรงเต้นของห
โลกทั้งใบ...เริ่มชัดขึ้นอีกครั้งแสงจันทร์ทอดพาดผ่านเปลือกตา กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยแตะจมูก ปลายนิ้วฉันรู้สึกถึงไออุ่นจากมืออีกข้างที่กำมันไว้แน่นหนา ไม่ยอมปล่อยแม้สักวินาทีฉันกะพริบตาช้า ๆ เสียงแรกที่ได้ยิน—“เอลาเรีย…!”เสียงที่ฉันรู้จักดี ไม่ว่าจะอยู่ในฝัน ในความมืด หรือแม้แต่ในความว่างเปล่า...เพราะเขา—คือ บ้าน ของฉันฉันลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงจันทร์ที่ส่องผ่านม่านบางทำให้สายตาพร่ามัวเล็กน้อย แต่ภาพตรงหน้ากลับชัดเจนในใจชายผู้มีดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งงดงามราวผลึกเวทมนตร์นั่งอยู่ชิดขอบเตียง เขาจ้องฉัน...นิ่งงัน ไม่แม้แต่กะพริบตา ใบหน้าของเขาซีดเผือด ผมยาวกระเซิงไม่ได้รวบไว้เช่นทุกวันหลงอวิ๋น...เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำในแววตานั้น—ฉันเห็นรอยแตกร้าว ...แต่มันเริ่มจางหายไปเมื่อฉันลืมตา“...เอลาเรีย...” เขาเอ่ยชื่อฉันอีกครั้ง เสียงสั่นเครือราวกับยังไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงฉันยิ้มให้เขา ลมหายใจแผ่วเบา ฉันพยายามขยับริมฝีปาก...แต่สิ่งแรกที่หลุดออกมากลับเป็น—น้ำตา
กลิ่นชาหอมอ่อนจากมวลดอกไม้ยามราตรีลอยอบอวลทั่วห้องบรรทม ผ้าม่านโปร่งลายจันทราโบราณปลิวไหวตามลมหิมะที่ลอดผ่านหน้าต่างแสงจันทร์พาดผ่านเนื้อผ้าและไหลแตะลงบนผ้าห่มสีเงินอ่อนที่คลุมร่างของหญิงสาวหนึ่งไว้แนบเนื้อ—อย่างแผ่วเบาเอลาเรียยังคงหลับใหล...นานถึงสิบแปดวันแล้วร่างกายของเธอยังอุ่น เวทจันทรายังเรืองแสงบางใต้ผิวบริเวณหัวใจ แต่เปลือกตาคู่งามของเธอ...ยังคงปิดสนิท ราวกับหลับลึกในห้วงแห่งคำสัญญาที่ไร้เสียงบนเก้าอี้ไม้แกะลายมังกรน้ำแข็งข้างเตียง หลงอวิ๋นนั่งนิ่งไม่ไหวติง มือข้างขวาของเขากุมมือของเธอไว้แน่น...นิ้วโป้งลูบเบา ๆ ที่หลังมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ใช่เพื่อปลุกเธอแต่เพื่อบอกกับเธอทุกวินาที...ว่าเขายังอยู่ตรงนี้“ข้าจะรอ…ไม่ว่านานแค่ไหน” เขากระซิบ ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งยังจ้องใบหน้าอ่อนหวานของเธอ...อย่างไม่ละสายตาเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนบานประตูไม้จะถูกแง้มออกช้า ๆ ด้วยมือเรียวในชุดคลุมผ้าทอมือ“องค์ชายเพคะ…”หลงจื่อ สาวใช้คนสนิทกล่าวเสียงอ่อน เธอถือถาดอาหารไม้แกะลา
เช้าวันใหม่คลี่คลายลงเหนือปราสาทน้ำแข็งสีเงินในเทือกเขานอร์วัล ดวงอาทิตย์เพิ่งลอยขึ้นเหนือขอบฟ้า แต่สนามเวทเบื้องหน้าปราสาทกลับเต็มไปด้วยละอองเวทมนตร์ที่ระยิบระยับตั้งแต่รุ่งสางซิลวาเอลินหมุนปลายนิ้วอย่างเชื่องช้า ทิศทางลมเปลี่ยนทันที—คลื่นหิมะที่เคยสงบลุกขึ้นเป็นพายุหมุนเล็ก ๆ ล้อมรอบร่างนาง เธอหลับตาแน่น ตั้งสมาธิกับแก่นเวทในกาย ท่ามกลางความหนาวที่กัดผิวหลงอวิ๋นยืนห่างออกไปไม่ไกล มือข้างหนึ่งประคองเปลวเพลิงสีฟ้าที่ลอยเหนือฝ่ามือ ส่วนอีกข้างหนึ่งถือยันต์เวทมังกรโบราณที่ลอยหมุนรอบตัว“แก่นเวทเจ้าผสานกับพายุได้แน่นขึ้นแล้ว” เขากล่าวเสียงราบเรียบ แต่ดวงตาแฝงความชื่นชม“อีกไม่นาน เจ้าจะหลอมเวทระดับอัสนีได้แน่”ซิลวาเอลินหอบน้อย ๆ เมื่อยกมือปล่อยเวทสุดท้ายจนเสร็จ ร่างกายเปียกเหงื่อ แม้จะอยู่กลางหิมะเธอหันมาหาเขา ยิ้มให้ดวงตาพราวระยับ“หากมีเจ้าอยู่ตรงนี้...ข้าก็พร้อมจะฝึกทุกวัน”“แต่ข้ากลัวว่าคืนนี้ เจ้าจะหมดแรงซะก่อน”เขาหยอก ริมฝีปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ สะท้อนแววไฟแห่งปรา
ก่อนที่ยุคจะมีชื่อเรียก ก่อนแผ่นดินจะมีชื่อว่า เทียนหลง ก่อนมหามรรคจะทอดผ่านผืนหิมะ และคำว่า ‘มนุษย์’ กับ ‘มังกร’ ยังแบ่งแยกชัดเจนราวเส้นขอบฟ้ากับหุบเหวคือกาลที่หิมะขาวโพลนปกคลุมท้องฟ้าคือกาลที่มังกร...ยังอยู่ในเผ่าพันธุ์แห่งตำนานและคือกาล...ที่หัวใจของผู้ครองแดนเหนือ ยังไม่รู้จักคำว่า รักราชามังกรน้ำแข็ง...หลงอวิ๋นผู้ถือกำเนิดจากหยาดน้ำแข็งหยดแรกที่หล่นจากฟ้าสูงเหนือเมฆาเรือนผมของเขาเป็นสีน้ำเงินเข้มยาวสยายดุจหิมะเพิ่งโปรย ดวงตาสีฟ้าเข้มเหมือนน้ำแข็งก้นทะเลเขาอาศัยอยู่ลำพังบนยอดเขาเกล็ดขาวใจของเขา—ถูกสาปให้เยือกเย็นวิญญาณของเขา—เป็นเพียงเงาในลมหนาวที่ไม่มีใครมองเห็นจนกระทั่ง...ยามดึกคืนหนึ่งในแดนเหนือ ดวงจันทร์เสี้ยวแขวนอยู่เหนือฟากฟ้าราวหยาดแสงอันบางเบา ทอดเงาเงียบงันเหนือหุบหิมะไร้ผู้คน เสียงลมหวีดหวิวพัดลอดระหว่างชะง่อนผาหิมะ ราวเสียงบทเพลงที่ไม่มีผู้ขับขาน...ทว่าคืนนั้น—เสียงหนึ่ง...ทำให้ราชามังกรผู้โดดเดี่ยวต้องหยุดฝีเท้า
เสียงคำรามของเนรูไซร์ระเบิดขึ้นอีกครั้ง หางขนาดยักษ์กวาดทำลายผนังถ้ำเวทเหมือนกระดาษชื้น เวทแสงและเงาปะทะกันกลางอากาศจนเกิดการสั่นสะเทือนระลอกใหญ่ฝุ่นเวทปลิวว่อน—เสียงเวทร้องดังก้องในทุกสรรพางค์ของโลกเวทหลงอวิ๋นยังคงยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเวท ร่างกายบาดเจ็บจากการรับเวทแทนเอลาเรียดวงตาสีฟ้าของเขาเรืองแสงเย็นราวน้ำแข็งที่กำลังแตกร้าว เขากำมือแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเนรูไซร์ที่คำรามลั่นกลางอากาศ“...พอแล้ว”เสียงเขาดังแน่น…แต่ราบเรียบราวหิมะที่กำลังตก พลังเวทเริ่มปะทุจากใต้ฝ่าเท้า—วงเวทมังกรน้ำแข็งเรืองแสงใต้พื้นหิน“เอลิอาน”“ดูแลเอลาเรีย...จนกว่าข้าจะหยุดมันได้”เอลิอานสบตาเขานิ่ง ก่อนพยักหน้ารับหลงอวิ๋นยื่นมือแตะอกตนเอง—จุดที่พลังแก่นมังกรหลับใหล เวทน้ำแข็งทะลักออกจากผิวหนัง กลายเป็นเกล็ดสีฟ้าระยับ เสื้อคลุมของเขาฉีกออก—เผยร่างที่ค่อย ๆ ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกร เสียงกระดูกและกล้ามเนื้อแปรสภาพดังกรอบแกรบแสงเวทแตกกระจาย—ปีกกว้างกางออกกลางอากาศ
Comments