เจ้าสาวในนาม แลกชีวิตพ่อ แต่เธอซ่อนความลับสุดหัวใจเอาไว้ ลูกชายที่เหมือน "เขา" ราวกับแกะ หนึ่งปีแห่งสัญญาจะจบลงอย่างไร? เมื่อเงาแค้นเก่ากำลังเปิดโปงความจริง!
View MorePROLOGUE
“แม่ครับ… ทำไมวันนี้ฝนตกแรงจังครับ?” เสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายวัยสี่ขวบดังขึ้นข้างกายฉัน พร้อมกับร่างป้อม ๆ ที่เข้ามากอดขาแน่น
ฉันก้มลงมองลูกชาย ‘น้องไทม์’ ที่เงยหน้ามองด้วยแววตาไร้เดียงสา ริมฝีปากบางเฉียบของเขาถอดแบบมาจาก ‘คนคนนั้น’ อย่างกับแกะ ยิ่งทำให้ใจฉันเจ็บปวดรวดร้าว
“ไม่เป็นไรนะลูก” ฉันตอบเสียงแผ่ว พลางลูบผมหยักศกสีเข้มของลูกเบา ๆ แต่ในใจกลับกรีดร้อง ฝนไม่ได้ตกแค่ภายนอก แต่พายุร้ายกำลังกระหน่ำซัดอยู่ในชีวิตของฉันต่างหาก
ภาพตรงหน้ายังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน คฤหาสน์หรูหราตระหง่านภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงทุ้มต่ำเย็นชาดังก้องในโสตประสาท “แต่งงานกับฉันหนึ่งปี แลกกับเงินก้อนนี้เพื่อกอบกู้ครอบครัวเธอ” นี่คือข้อเสนอที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ ในวันที่ครอบครัวล้มละลาย พ่อป่วยหนัก และแม่ถูกโกงจนสิ้นเนื้อประดาตัว
ฉันจำต้องยอมรับข้อตกลงบ้า ๆ นั้น โดยไม่รู้เลยว่าการแต่งงานหลอก ๆ ครั้งนี้ จะนำฉันกลับไปเผชิญหน้ากับอดีตที่ฝังลึก อดีตที่ฉันเคยทำผิดพลาดครั้งใหญ่ และความลับที่ฉันปกปิดมาตลอดสี่ปี... ลูกชายของฉัน ลูกชายที่เกิดจาก ‘เขา’ คนเดียวกับที่กำลังจะกลายเป็นสามีในนามของฉัน
เสียงฟ้าร้องคำรามกึกก้อง ร่างกายฉันสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาวเย็น แต่เป็นเพราะความกลัว กลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผย กลัวว่าหัวใจที่พยายามปิดตายมาตลอดจะเริ่มหวั่นไหว และกลัวว่าเขา... ซีอีโอเลือดเย็นที่ฉันต้องอยู่ด้วยตามสัญญา จะทำลายทุกอย่างที่ฉันพยายามปกป้อง
ฉันรู้ว่าชีวิตจากนี้ไปจะไม่เหมือนเดิม นี่คือเกมที่เดิมพันด้วยหัวใจ และฉันต้องเล่นมันให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม
-----------------------------------------------------------------------------------------------
#เจ้าสาวสัญญารักของซีอีโอเลือดเย็น
ฝากเรื่องใหม่ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยนะค้าบบบบ
ความผูกพันที่ก่อร่างขึ้นทีละน้อยระหว่างฉัน ภูผา และน้องไทม์ ทำให้บรรยากาศในคฤหาสน์ดูอบอุ่นและมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม ฉันเริ่มคุ้นชินกับการมีภูผาอยู่ข้าง ๆ ไม่ว่าจะในเวลาทานอาหารเช้า หรือช่วงเย็นที่เราสามคนใช้เวลาร่วมกันวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังพาน้องไทม์เดินเล่นในสวนของคฤหาสน์ น้องไทม์วิ่งไปเจอรถของเล่นคันเล็ก ๆ คันหนึ่งที่ดูเก่าและมีฝุ่นเกาะอยู่“แม่ครับ! รถของเล่นใครครับ” น้องไทม์ถามด้วยความตื่นเต้นฉันก้มลงมองรถของเล่นคันนั้น มันเป็นรถสปอร์ตคันเล็กสีแดงสด ดูเหมือนจะเป็นรถของเล่นที่ถูกเก็บไว้นานแล้ว“ไม่รู้สิลูก คงจะเป็นของเก่าของปะป๊ามั้ง” ฉันตอบพลางลูบผมลูกชายเบา ๆทันใดนั้น ภูผาก็เดินเข้ามาในสวน เขาคงจะเพิ่งกลับจากทำงานและลงมาเดินเล่น“ปะป๊า! รถของเล่นใครครับ” น้องไทม์วิ่งไปหาภูผาพร้อมกับชูรถของเล่นคันนั้นขึ้นมาภูผามองรถของเล่นในมือน้องไทม์ แววตาของเขาฉายแววบางอย่างที่ฉันไม่อาจเข้าใจ อาจจะเป็นความทรงจำ หรือความรู้สึกอื่น ๆ ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ลึก ๆ“รถของเล่นของปะป๊าเอง” ภูผาตอบเสียงแผ่ว “เป็นของที่ฉันเคยเล่นตอนเด็ก ๆ”“ปะป๊าเล่นด้วยกันไหมครับ” น้องไทม์ถามอย่างสดใสภูผายิ้มจาง ๆ
ความห่างเหินระหว่างฉันกับภูผาที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้บรรยากาศในคฤหาสน์ดูอบอุ่นขึ้นกว่าเดิมมาก ภูผาไม่ได้กลับบ้านดึกดื่นเหมือนเมื่อก่อน เขามักจะใช้เวลาช่วงเย็นอยู่กับน้องไทม์ และบางครั้งก็จะมีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เราสามคนอยู่ด้วยกันในห้องนั่งเล่นในวันหนึ่ง ฉันกลับมาจากทำงานที่ร้านกาแฟ เห็นภูผากำลังนั่งอ่านนิทานให้น้องไทม์ฟังอยู่บนโซฟา น้องไทม์นั่งตักเขาอย่างสบายใจ ดวงตากลมโตจ้องมองรูปภาพในหนังสืออย่างสนใจ เสียงทุ้มต่ำของภูผาที่เล่านิทานอย่างอ่อนโยน ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูกฉันยืนมองอยู่ห่าง ๆ ใบหน้าของภูผาที่ผ่อนคลายลง รอยยิ้มจาง ๆ ที่ปรากฏขึ้นมุมปากเวลาที่น้องไทม์หัวเราะ ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขากำลังมีความสุขอย่างแท้จริงเมื่อนิทานจบลง น้องไทม์ก็โผเข้ากอดภูผาแน่น “ปะป๊าเก่งที่สุดเลยครับ!”ภูผาลูบหัวน้องไทม์เบา ๆ ก่อนจะหันมาเห็นฉันที่ยืนอยู่ เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้ฉัน“กลับมาแล้วเหรอ” เขาถามเสียงเรียบ“ค่ะ” ฉันตอบ พร้อมรอยยิ้มจาง ๆฉันเดินเข้าไปหาน้องไทม์ หอมแก้มลูกชายเบา ๆ “คนเก่งทำอะไรครับวันนี้”“ปะป๊าอ่านนิทานให้ฟังครับแม่” น้องไทม์ตอบอย่างร่าเริงค่ำคืนนั้น หลังอาหารเย็
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นที่ภูผาขับรถมารับฉันท่ามกลางสายฝน ความรู้สึกห่างเหินระหว่างเราดูเหมือนจะลดน้อยลงไปอีกนิด ภูผายังคงเป็นคนเงียบขรึมเช่นเดิม แต่ฉันสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในท่าทีของเขาที่มีต่อฉันในบางครั้งที่ฉันกลับจากทำงานและเดินเข้ามาในคฤหาสน์ ฉันจะเห็นภูผานั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น อ่านหนังสือพิมพ์หรือทำงานอยู่ เขามักจะเงยหน้าขึ้นมามองฉันเล็กน้อย และพยักหน้าให้เบา ๆ เป็นเชิงทักทาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนฉันยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่กับน้องไทม์ และคุณพ่อที่มาเยี่ยมคฤหาสน์ ภูผาก็ยังคงอนุญาตให้คุณพ่อเข้ามาเยี่ยมหลานได้เสมอ และบางครั้งเขาก็จะมาร่วมนั่งเล่นกับน้องไทม์ด้วย แม้จะไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่ฉันก็เห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของเขาเวลาที่น้องไทม์เข้ามาอ้อน หรือเล่นสนุกกับเขาวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังพาน้องไทม์ลงไปเดินเล่นในสวนของคฤหาสน์ ฉันเห็นภูผากำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ริมสระน้ำ ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดกว่าปกติ ฉันแอบได้ยินเขาพูดถึงเรื่องธุรกิจบางอย่างที่ดูเหมือนจะมีปัญหา“ครับ… ผมเข้าใจว่ามันยาก แต่เราต้องหาทางออกให้ได้” ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “เราจะปล
ความรู้สึกที่ซับซ้อนในใจฉันยังคงดำเนินต่อไปหลังจากที่ได้เห็นภูผาในมุมที่อ่อนโยนและเปราะบาง ฉันยังคงทำหน้าที่ในแต่ละวัน ทั้งการดูแลน้องไทม์ ทำงานที่ร้านกาแฟ และดูแลคุณพ่อ แต่ในใจลึก ๆ ฉันก็เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในตัวภูผามากขึ้นภูผายังคงเป็นคนเงียบขรึมและไม่ค่อยแสดงออก แต่ฉันสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่เขามีให้ฉัน แม้จะไม่ใช่คำพูด แต่เป็นผ่านการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บางครั้งก็ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังกลับจากทำงานที่ร้านกาแฟ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ฉันไม่มีร่มและเสื้อกันฝนติดตัวมาด้วย ฉันรีบวิ่งหาที่หลบฝนใต้ชายคาตึกแห่งหนึ่ง ตัวฉันเปียกปอนไปหมดด้วยหยาดฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายทันใดนั้น รถยนต์คันหรูสีดำสนิทก็มาจอดเทียบตรงหน้า หน้าต่างรถเลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าของภูผาที่มองมาที่ฉันด้วยแววตาเรียบเฉย“ขึ้นมาสิ” เขาเอ่ยสั้น ๆฉันประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้ แต่ฉันก็รีบขึ้นรถไปอย่างไม่ลังเลเมื่อเข้ามาในรถ ความอบอุ่นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ฉันรู้สึกสบายขึ้น ภูผายื่นผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้ฉัน“เช็ดตัวก่อน” เขาพูดฉันรับผ้า
วันเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ฉันยังคงใช้ชีวิตในคฤหาสน์ของภูผาภายใต้ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ ฉันยังคงทำงานที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งนั้น เพราะรู้สึกว่าการได้ออกไปเผชิญโลกภายนอก ทำให้ฉันได้หายใจและไม่รู้สึกจมดิ่งกับความรู้สึกอ้างว้างในคฤหาสน์มากเกินไปในตอนเย็น ฉันจะรีบกลับมายังคฤหาสน์เพื่อดูแลน้องไทม์และใช้เวลาร่วมกับคุณพ่อ ซึ่งภูผาก็ยังคงอนุญาตให้คุณพ่อมาเยี่ยมหลานชายได้เสมอฉันสังเกตเห็นว่าภูผาเริ่มใช้เวลากับน้องไทม์มากขึ้น เขาอาจจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน แต่ฉันเห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของเขาเวลาที่น้องไทม์เข้ามาอ้อน หรือเวลาที่เขาพาลูกชายไปเล่นในสวน บางครั้งฉันก็ได้ยินเสียงหัวเราะของภูผาดังออกมาจากห้องของน้องไทม์ ซึ่งเป็นเสียงที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องสมุด ภูผาเดินเข้ามาในห้อง เขาไม่ได้มาทำงาน แต่กลับเดินตรงไปยังชั้นหนังสือที่เก็บอัลบั้มรูปเก่าๆ ของเขาไว้ เขาหยิบอัลบั้มรูปนั้นขึ้นมาเปิดดูอย่างเงียบ ๆฉันมองเขาอยู่ห่าง ๆ สังเกตเห็นสีหน้าของเขาที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาพลิกดูรูปภาพเหล่านั้น มีทั้งความเศร้า ความเจ็บปวด และความคิดถึงปรากฏอยู่ในดวงตาคมกริบคู
ความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจฉันหลังจากเหตุการณ์ในสวนสาธารณะ ทำให้ฉันมองภูผาเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่เงาของความแค้นในอดีตอีกต่อไป แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ภายในลึก ๆ โดยเฉพาะเวลาที่เขาอยู่กับน้องไทม์แต่ถึงแม้จะมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในความสัมพันธ์ของเรา กำแพงที่มองไม่เห็นก็ยังคงดำรงอยู่ระหว่างฉันกับเขา ภูผายังคงใช้ชีวิตส่วนตัวของเขา ส่วนฉันก็ยังคงอยู่ในบทบาทภรรยาในนามที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เขากำหนดในค่ำคืนหนึ่ง หลังจากที่ภูผากลับจากทำงานดึกดื่น ฉันเห็นเขานั่งทำงานอยู่ในห้องสมุด แสงไฟสลัวจากโคมไฟบนโต๊ะส่องกระทบใบหน้าของเขา ทำให้ฉันเห็นร่องรอยของความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดฉันเดินเข้าไปใกล้เขาช้า ๆ “คุณยังไม่นอนอีกเหรอคะ”ภูผาเงยหน้าขึ้นมองฉัน ดวงตาของเขาดูอ่อนเพลีย “งานยังไม่เสร็จ”ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ฉันรู้ดีว่าเขาทุ่มเทให้กับงานมากแค่ไหน โดยเฉพาะหลังจากที่ครอบครัวของเขาต้องเผชิญกับเรื่องราวร้ายแรงในอดีต“คุณควรพักผ่อนบ้างนะคะ” ฉันเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อยภูผาถอนหายใจออกมาอย่างช้า ๆ “ฉันสบายดี”เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ และก้มหน้าลงทำงา
Comments