“โอว! หรือเป็นเช่นนี้จึงมิคิดส่งคืนที่ที่มันจากมากันแน่”
“ข้ามิเคยเห็นท่านอ๋องเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย เสียดายที่นางมิใช่...” หม่าชิงเทียนว่าพลางมองจ้องเข้าไปในกระโจมที่ยังมีแสงไฟจากตะเกียงให้พอเห็นว่าคนด้านในกำลังร่ำสุราอยู่ตามลำพัง เขารับรู้เป็นนัยว่าสหายสนิทผู้มีศักดิ์ใหญ่กว่าดูจะถูกใจสตรีนางนี้เข้าเสียแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ให้เห็นแม้แต่ชายผ้าคลุมเตียง
“อยากรู้เหลือเกินว่านางเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ดูจากการแต่งกายซอมซ่อเช่นนั้นแล้วคงมิใช่ลูกสาวผู้ลากมากดีที่ไหน หรือท่านว่าอย่างไร”
“พ้นคืนนี้ไปคงได้รู้กัน” หวังเฉาเสียนเอ่ยพลันต้องชะงักหันมองหน้าหม่าชิงเทียนเลิ่กลั่กเสียอาการเพราะแสงไฟในกระโจมดับวูบลง
. ในใจทั้งสองคิดแต่เพียงว่าผู้เป็นเจ้าชีวิตตนคงหมายเสพสุขชั่วคืนกับกระต่ายน้อยแสนงดงามที่เก็บได้จากกลางป่าเช้ามาก็ต่างคนต่างไปเท่านั้น
แต่ความเข้าใจของขุนพลหน้าหยกทั้งสองล้วนคลาดเคลื่อน...
อ๋องสี่หลี่หลานหมิงถอดเข็มขัดคาดเอวและเสื้อคลุมสีเทาเมฆตัวนอกออกเหลือเพียงชุดนอนสีขาวสะอาดตาขณะจ้องร่างอรชรบนที่นอนไม่วางตา แม้จะเป็นเพียงตั่งเตี้ยสำหรับใช้พักผ่อนหลับนอนชั่วคราวระหว่างออกเดินทางนอกวังหลวงแต่ก็กว้างขวางพอสำหรับที่เขาจะแทรกตัวลงไปนอนเคียงได้
เป็นเช่นนี้ก็นับว่าเป็นวาสนาของนางแล้ว...
หากการหาข้ออ้างออกนอกวังคือเพื่อมาดูตัวว่าที่คู่หมั้นแล้วพบว่ามีอุปสรรคคือการที่เขาได้หญิงชาวบ้านมาอยู่ข้างกายในฐานะชายา ดูเถิดว่าฮ่องเต้ต้าหลี่พี่ชายจะทำหน้าอย่างไรหากการเจริญสัมพันธไมตรีกับบุตรสาวผู้ทรงอิทธิพลแห่งเมืองฉู่เพื่อเจรจาเปิดเส้นทางทะเลล้วนไม่เป็นผล...
หึหึ...
อ๋องสี่ผู้สง่างามครุ่นคิดขณะล้มตัวลงนอนเคียงข้างเจ้าของดวงหน้าขาวราวหยกที่แรกเห็นก็ติดตาตรึงใจ นางหลับพริ้มข้างกายของเขาราวกับมิใช่คนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอ เขาเคยเจอนางแน่ๆ แต่ที่ใดกัน
มิน่า...
มันเป็นส่วนหนึ่งในแผนเท่านั้น...
เขามิได้สนใจนาง...
“ให้โอกาสเจ้าได้นอนสบายคืนนี้นะ... กระต่ายน้อย”
หลี่หลานหมิงกระตุกยิ้มครู่หนึ่งจึงเบนสายตามองจ้องแสงจันทรานวลที่กำลังหยอกล้อดวงดาวบนฟ้าระยิบระยังให้เห็นบนช่องกลางกระโจมแล้วจึงเผลอยิ้มออกมาก่อนจะหลับตาลง
ทว่า...
ในท่ามกลางความมืด หลี่หลานหมิงรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างที่มีน้ำหนักมากทับลงมากลางลำตัวอย่างแรง ครั้นลืมตาเห็นบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวยุกยิกอยู่ก็หยิบอาวุธคู่กายคลายออกจากฝักตั้งท่ารอให้มันคืบคลานขึ้นมา
แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่!
สิ่งนั้นกลับยังอยู่และกำลังลูบคลำกล้ามท้องลามไปถึงท้องน้อยของเขาอย่างอุกอาจ แม้ใช้ปลายนิ้วปัดออกแต่มันกลับไม่ยอมให้ถูกผลักไสโดยง่ายจนทนไม่ไหวเพราะที่เห็นคือมือนุ่มนิ่มของคนข้างกายที่กำลังทำมิดีมิร้ายกับร่างกายของเขาอยู่
“เจ้าคิดทำสิ่งใดกัน!” หลี่หลานหมิงโพล่งและปัดมือนางออกทันที
แต่...
“อย่าดิ้นสิ ตุ้งตุ้ง...”
ตุ้งตุ้งหรือ!
“ตุ้งตุ้ง? เจ้าคิดว่าข้าเป็นกระต่ายหูเทาตัวนั้นหรือ”
“ก็เจ้าน่ะสิ ตุ้งตุ้ง มามะอย่าดื้อมาให้ข้ากอดเสียดีๆ ยังอีก... เจ้านี่มันดื้อจริงๆ อยากถูกข้าดึงหนวดอีกหรือไง”
เหอะ!
มารดาเจ้าเถอะ!
คนอย่างเขามีเพียงคำว่าพยัคฆ์เท่านั้นที่คู่ควรต่างหากเล่า!
หลี่หลานหมิงรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกคุกคามโดยน้ำมือกระต่ายน้อยร่วมเตียงจึงทั้งโกรธทั้งอับอาย หากสองคนด้านนอกรู้เข้ามีหรือว่าเขาจะรอดปากเหยี่ยวปากกายืดยาวของพวกนั้นไปได้ จากที่ไม่คิดกินกระต่ายก็แทบถอนคำพูดไม่ทัน
“เจ้าอยากถูกเสือจับกินจริงๆ ใช่หรือไม่ตอบมา!”
หลี่หลานหมิงผู้แสนเย็นชาพลิกตัวโอบร่างอรชรแล้วขู่ฟ่อข้างหู ริมฝีปากคลอเคล้าไม่ห่างพวงแก้มนวลใสในใจล้วนคิดเรื่องชั่วร้ายอย่างที่ไม่เคยทำ
หึ...
อย่าหาว่าโหดร้ายก็แล้วกัน!
หลี่หลานหมิงก้มหน้าลงจรดปลายจมูกลงบนแก้มนวล สติเริ่มกระเจิดกระเจิงราวกับสัญชาติญาณดิบกำลังถูกปลุกเร้า มือแข็งแกร่งปะป่ายไปยังผ้าคาดเอวสีฟ้าของกระต่ายน้อยพลันกระตุกปมเชือกออก
มิคาด!
“ท่านแม่... กอดข้าหน่อย ข้าหนาวเหลือเกิน เหตุใดที่นี่จึงทั้งมืดและหนาวเช่นนี้!”
“ท่านแม่หรือ?” อ๋องสี่ทวนคำ
ไม่ทันขาดคำก็ถูกมือเล็กๆ เย็นเฉียบรวบเอวเขาลงไปกอดแนบแน่น ไม่พอนางยังซุกหน้ากับซอกคอของเขาราวกับมันมีไว้เพื่อคลายหนาวก็ไม่ปาน ครานี้หลี่หลานหมิงตระหนักซึ้งแล้วว่านางผู้นี้เป็นภัยอย่างร้ายกาจต่อตัวเขา นางกำลังทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ ขณะยับยั้งชั่งใจใหญ่หลวงคำพูดต่อมาของดรุณีงามก็ทำให้เขาชะงัก
“แม่ใหญ่ขังข้าไว้อีกแล้ว ฮือ ฮือ ท่านแม่ช่วยข้าด้วย”
“ขังหรือ ผู้ใดขังเจ้านะ”
“แม่ใหญ่เกลียดซิงซิน... ฮือ ฮือ ท่านแม่ช่วยซิงซินด้วย ซิงซินกลัวแล้ว”
“ซิงซิน! เจ้าชื่อซิงซินหรือ” หลี่หลานหมิงตกใจยิ่งเมื่อได้รู้ชื่อ ความรู้สึกประหลาดเริ่มเข้าครอบงำเขาทีละน้อย เพียงเห็นหน้าแดงก่ำร่ำไห้ทั้งที่ยังหลับก็อยากปลอบ “ไม่ต้องกลัวกระต่ายน้อย ข้าหลี่หลานหมิงใหญ่กว่าแม่เจ้าแน่นอน และตอนนี้ข้าก็อยู่นี่แล้วอย่ากลัวไปเลยกระต่ายน้อย”
แต่อาจจะดีเหมือนกัน ส่งมันไปให้พ้นตาแลกกับชุดแต่งงานชุดเดียวอีกทั้งถ้าคนผู้นั้นไม่สับปลับส่งราชรถมารับลูกเลี้ยงของนางไปให้ไกลตาได้ นับว่าเป็นพระคุณกับสกุลจินใหญ่หลวง...แต่นางพลาด...เสียงโหวกเหวกดังมาจากด้านนอกทำให้จินฮูหยินที่ตั้งท่าจะหาเรื่องจินซิงซินต่อถึงกับหยุดชะงัก ไม่นานก็ปรากฏร่างเล็กผอมแห้งของพ่อบ้านหม่าวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น“ฮูหยินขอรับ มีแขกมาที่หน้าประตูขอรับ” “ใคร” นางเอ่ยเสียงวางอำนาจ “เขาบอกว่าที่ตกลงกับฮูหยินเมื่อวานนี้ขอรับ” จินฮูหยินแค่นยิ้มแต่ตาวาวเป็นประกายทันใด “มาตามสัญญา นับว่าคนจริง ไปเชิญเข้ามา” “เอ่อ คือว่า” พ่อบ้านอึกอักหน้าซีดหน้าหดหลบตาก่อนเอ่ยต่อ “ข้าเชิญแล้ว แต่เข้าบอกว่าจะไม่เข้ามาด้านในขอรับ” “ว่าอะไรนะ!” “เขาบอกว่าจะมารับตัวคุณหนูซิงซิน แต่ไม่เข้ามาด้านขอรับ” “สามหาว! ทำเช่นนี้ไม่เห็นหัวสกุลจินเลยรึ”“ขะ ข้าไม่รู้”“ไม่ได้ถาม!” นางตวาดลั่นก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปแต่ยั้งไว้หันกลับมาที่จินซิงซินแล้วชี้หน้าคาดโทษทันที “ห้ามออกไปจนกว่าข้าจะตกลงกับคนผู้นั้น เข้าใจหรือไม่ซิงซิ
“กินนี่ดีกว่า คุณหนูชอบมิใช่หรือเจ้าคะ”เหยียนหลิวส่งชามน้ำข้าวเจือจางให้ตบท้าย จินซิงซินรับมาดื่มจนหมดคราวนี้ปรากฏรอยยิ้มสว่างไสวขึ้นมาบนใบหน้า มือน้อยปาดน้ำตาป้อยๆ ขณะวางชามลงบนโต๊ะ “อร่อยมากเลยท่านยาย”“ดีแล้วๆ กินเสียมื้อนี้ก่อนที่จะไม่ได้กิน” เหยียนหลิวมือหนึ่งลูบศีรษะนายน้อยของตนด้วยความรักอีกมือรั้งร่างบอบบางเข้ามาสวมกอดด้วยความสงสารจับใจจินซิงซินยิ้มเต็มหน้ากอดตอบด้วยความรักใคร่กระทั่งเสียงฝีเท้าสวบสาบดังมาตามด้วยเสียงเปิดประตูครัวกระแทกผนังจนสะเทือนทำให้สองยายหลานผละออกจากกัน เป็นร่างอวบอัดของจินฮูหยินที่ก้าวเข้ามาตามด้วยสาวใช้ส่วนตัวที่ถือห่อผ้ามาวางลงตรงหน้าสองยายหลาน“เหยียนหลิว เจ้าดูแลนางให้ใส่เสื้อผ้าชุดนี้ด้วย” จินฮูหยินสั่งทั้งยืนกอดอกปรายตามองทั้งคู่เหยียนหลิวพยักหน้ารับก่อนเอ่ย “เจ้าค่ะ แต่ให้ข้าทำแผลให้คุณหนูก่อน”“โดนตีแค่นี้ถึงกับอ่อนปวกเปียกเรียกหาคนช่วยเชียวหรือซิงซิน อยากจะโดนข้าตีอีกสักสองสามไม้หรือไม่”“มะ มะ ไม่เอา! ซิงซินกลัวแล้ว!...” ดรุณีน้อยร้องลั่นรีบคว้าห่อผ้ามาแกะด้วยมือไม้สั่นเทากระทั่งเหยียนหลิวแตะมือแล้วพยักเพยิดบอก“เช่นนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที
“เหตุใดกริ้ว” หลี่หลานหมิงเสียงเกรี้ยวไม่เพียงเท่านั้นยังชักสีหน้าไม่พอใจออกมาหลายส่วนสองขุนพลคู่ใจเริ่มไม่สบายใจก่อนจะเป็นหม่าชิงเทียนที่ดันหลังเพื่อนให้พูดแทน “ก็ทรงขัดรับสั่งฝ่าบาท”“ข้ากลัวรึ”“รู้ว่าท่านอ๋องมิเกรงกลัว”“ชีวิตข้า ข้าเลือกเอง” หลี่หลานหมิงว่าจบก็สะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปในกระโจม ไม่สนใจทั้งสองแต่ก่อนที่หม่าชิงเทียนและหวังเฉาเสี่ยนจะแยกย้ายก็ได้ยินเสียงเปิดม่านกระโจมพรึ่บพรั่บตามด้วยเจ้าของร่างกำยำที่ยืนเท้าแขนอยู่หน้าประตู สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกยินดียินร้ายแต่กลับออกคำสั่งกลายๆ“พวกเจ้าไปตามจับเจ้าตุ้งตุ้งกระต่ายหูเทาที่ชายป่าน้ำตกฝั่งโน้นมาให้ข้า”“แต่นี่มันก็สายแล้ว”“ยังมีเวลาอีกมาก ก่อนตะวันขึ้นข้าต้องได้เห็นมันอยู่ที่นี่”“แล้วหากพวกเราหาไม่เจอเล่าพ่ะย่ะค่ะ”“หาจนกว่าจะเจอ มีกี่ตัวก็หามาให้หมด ข้าจะเอากลับตำหนักเหมันต์ไปให้ซิงซิน”“หะ... หา!” สองขุนพลอุทานพร้อมกันอีก เป็นหม่าชิงเทียนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เอ่ยต่อ “แค่ไม่ทันไรท่านอ๋องของเราก็หลงพระชายาเสียแล้ว”“พูดมาก”“หากว่าหาไม่เจอเล่าพ่ะย่ะค่ะ”“ก็ไม่ต้องกลับมา”“โธ่!” หวังเฉาเสี่ยนอึกอักไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้
จินซิงซินแตะนิ้วชี้ที่ริมฝีปาก ดึงริมฝีปากล่างลงจนเห็นรอยแผลเล็กขนาดเท่าปลายเล็บ ดวงหน้านวลก็เริ่มขึ้นสีชาดโดยไม่รู้ตัวแล้วมองค้อนอ๋องสี่หลี่หลานหมิงที่ยืนคอแข็งคุมเชิงอยู่ไม่ไกล“เอ่อ... เขาจะทำแบบนี้กับเจ้าแลกกับไม่กินตุ้งตุ้งเช่นนั้นหรือ”“ใช่ๆ แล้วเขาก็กัดข้าจนปากเป็นแผล คนใจร้ายไม่ต่างจากเสือยังบอกว่านี่แค่เล็กน้อย อีกหน่อยถ้าข้าดื้อจะไม่แค่กัดแต่จะกินข้าด้วย”“หะ... หา!” สองขุนพลร้องลั่นพร้อมกันจินฮุ่ยอิงทนฟังไม่ได้รีบเอามือปิดปากน้องสาวแล้วพยุงลุกขึ้นเดินด้วยความทุลักทุเล กระทั่งถูกกระชากแขนอีกครั้ง“ท่านแม่!”“พวกเจ้ายิ่งอยู่นานยิ่งน่าขายหน้า กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้!”จินฮูหยินที่โผล่มาเงียบๆ ตวาดพลันเชิดหน้าก้าวฉับๆ ฝ่าวงล้อมสามหนุ่มไปยังบุตรสาวทั้งสองที่กอดกันกลมอยู่บนพื้นหญ้า จินฮุ่ยอิงที่อยู่ในโอวาทมารดามาตลอดกระวีกระวาดดึงร่างน้องสาวลุกตาม จินซิงซินหยุดร้องทันทีที่สบแววตาแข็งกร้าว“ข้านึกว่าท่านแม่กลับไปก่อนแล้ว” จินฮุ่ยอิงเอ่ยเสียงเบาหวิวมือจับจินซิงซินแน่น“ก็ไปแล้วแต่เพราะพวกเจ้าไม่ตามลงไปเสียที แม่ก็เลยกลับขึ้นมาทันได้ฟังเรื่องขายหน้า ดีเหมือนกันจะได้ถามให้รู้เรื่องไ
“เหตุใดไม่”“มะ ไม่รู้” จินซิงซินส่ายหน้าและประหม่ากับคำถามอย่างไม่เคยเป็นจินฮุ่ยอิงมองสองคนสลับไปมาถึงกับงันไป เมื่อครู่หรือนางหูแว่วไปเอง เขาบอกจะแต่งน้องสาวนางเป็นชายาหรือที่ถูกคือบุรุษหนุ่มผู้นี้อาจหมายถึงตบแต่งน้องสาวนางเป็นภรรยา แต่แค่คิดว่าจินซิงซินจะต้องตบแต่งออกไป นางก็หวั่นใจเสียแล้วว่ามันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาจะยอมรับได้หรือที่จะมีภรรยาที่โตแต่ร่างกายแต่หัวใจไร้การเจริญเติบโตหึหึ...หลี่หลานหมิงหัวเราะในลำคอขณะปรายตามองหน้าดรุณีน้อยที่เม้มริมฝีปากบางจนแทบห้อเลือด นึกประหลาดใจกิริยาอาการแต่ก็มิได้ถือสากลับก้มกระซิบข้างหูนางอยู่นาน เป็นผลให้จินซิงซิงหน้าถอดสีไม่นานก็เปล่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและเสียงพึมพำหวาดกลัวในลำคอ“เกิดอะไรขึ้นซิงซิน! เขาว่าอะไร เจ้าถึงได้ร้องไห้ขนาดนี้”“ใจก็ร้าย พูดก็ไม่ดี นิสัยก็ไม่ดี!” จินซิงซินโวยวายไม่หยุด“เขาว่าอะไรเจ้าอีก ถึงได้ว่าเขาขนาดนี้”“คนใจร้ายเหมือนเสือบอกว่าจะจับกินตุ้งตุ้ง หากซิงซินไม่ยอมไปอยู่ด้วยจะจับตุ้งตุ้งกิน!”“ตุ้งตุ้ง? เจ้าหูเทาของเจ้าน่ะรึ”“ใช่แล้วพี่ใหญ่ ตุ้งตุ้งของข้าออกจะน่ารัก เขายังคิดจะกินตุ้งตุ้งได้ลงคอ”จินซ
“ดี! ส่งขบวนของหมั้นมา ข้าจะรอดูว่าพวกเจ้าว่าจะสามารถทำให้สมฐานะตระกูลจินหรือไม่” นางประกาศกร้าวขณะเหลือบตามองบุตรสาวที่สีหน้าสลดลงและปรามด้วยแววตาดุมิให้ห้ามปราม นางยิ้มเย้ยไปที่ดรุณีน้อยอย่างสมใจเพราะได้ผลักไสลูกเลี้ยงที่ไม่รักไปให้พ้นทางดีแล้ว...ควรเป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว...จินหวั่นอิงนึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ถึงแม้นางแต่งเข้าสกุลจินมาในฐานะฮูหยินรองที่มิได้รับความเอาใจใส่อย่างที่ควรจะเป็นแต่เพราะความดื้อแพ่งของนางเอง แม้จะถูกกีดกันจากบิดามารดาเพราะสืบแซ่เดียวกันกับสามีแต่นางก็ไม่ย่อท้อ เพราะเหยาจื่อซินที่เป็นฮูหยินใหญ่ครานั้นไร้บุตรสืบสกุลถึงแม้ร่วมหอมานานหลายปี นางเห็นทีที่จะได้ครองรักกับคนที่หลงรักมานาน แม้ต้องหอบเสื้อผ้ามาอยู่กับเขาในฐานะภรรยารองนางก็ยอม กระทั่งตั้งครรภ์ทุกคนจึงรุมเร้าเอาใจ แต่เมื่อมีบุตรสาวมิใช่บุตรชายความสนใจก็จางหายไปแล้วอย่างไรเล่า...แต่ถึงอย่างไรนางก็มีบุตรให้เขาก่อน แม้เด็กที่คลอดจะเป็นหญิง นางย่อมมีสิทธิ์มีเสียงเหนือกว่าเหยาฮูหยินที่ไร้บุตรสืบสกุลแต่มิคาด...นางมีความสุขได้รับความเอาใจใส่ไม่นาน เหยาจื่อซินก็ตั้งครรภ์และคลอดออกมาเป็นเด็กโง่ที่เติบโตมาพร้