หากเจ้าฝันซ้ำซาก ว่าถูกว่าที่สามีสังหารอย่างโหดเหี้ยมจนแยกไม่ออกว่าฝันหรือตื่น เจ้ายังจะแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นอยู่อีกหรือไม่?! (นิยายเรื่องนี้มีหลายฉากดาร์กและสยอง ทั้งผ่าศพและสังหารแบบชัดเจน)
Voir plusบทนำ
ฤดูหนาวกำลังมาเยือนจิ้งโจว ลมหนาวเสียดแทงถึงกระดูกพัดหวิว หิมะขาวเริ่มโปรยปราย ซากบ้านเมืองที่ถูกเผาและทำลายราบเพียงข้ามคืน กลายเป็นเมืองร้างอ้างว้าง ถนนหลวงเต็มไปด้วยซากรถม้า ศพทับถม เลือดแดงคล้ำกระเซ็นเป็นหย่อม กลิ่นคาวลอยคละคลุ้งอยู่กลางอากาศ
หน้าประตูเสวียนอู่ ป้อมใหญ่ของวังต้าเจา ทหารสองฝ่ายตั้งคุมเชิง ฝ่ายหนึ่งเกราะดำคลุมผ้าแดง ฝ่ายหนึ่งเกราะเงินคลุมผ้าน้ำเงิน ต่างเผชิญหน้ากันด้วยความตึงเครียด
“หากพวกเจ้ายอมจำนน ข้าจะละเว้นครอบครัว ต่อไปพวกเจ้าจะได้เป็นประชาราษฎร์ของเสวียนจงฮ่องเต้ ไม่แบ่งแยก!”
เสียงซ่งอวิ๋นโม่บนหลังอาชาสีดำก้องสะท้อน ทหารในชั้นในเหลือไม่ถึงห้าร้อยนาย ใบหน้าล้วนซีดเผือด เมื่อมองเห็นว่าศัตรูมีพลมากมายมืดฟ้ามัวดิน
ตำหนักชิงหลวน...
ในยามที่ด้านนอกกำลังแตกพ่าย เชื้อพระวงศ์กว่าร่วมร้อยชีวิตต่างรวมตัวในตำหนักใหญ่ด้วยความตื่นตระหนก ไท่หยางฮ่องเต้ผู้ทรงราชย์มานานแปดปี ยังไม่เคยเผชิญเหตุร้ายแรงถึงเพียงนี้
“ฝ่าบาท! กบฏซ่งอวิ๋นโม่ฝ่าประตูเสวียนอู่เข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หวังเฉวียนกงกงวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหมอบกราบ
“เราจะทำอย่างไรดีเล่า! ซือหม่าหยวนกับติ้งถิงโหวยังอยู่ไกลถึงซั่วโจว!” หลีไทเฮาเอ่ยเสียงสั่น แววพระเนตรเต็มไปด้วยความกังวล
ซือหม่าอวี้ กุ้ยเฟยผู้กล้าหาญหันมาขวางสามีทันที “ไม่ได้นะฝ่าบาท!”
แต่ไท่หยางฮ่องเต้กลับคว้าดาบแน่น “หากเจิ้นไม่ไป ปล่อยให้มันบุกเข้ามาถึงที่นี่ จะให้พวกเจ้ารับเคราะห์แทนหรือ! อวี้เอ๋อ เจ้าจงคุ้มครองเสด็จแม่กับอาเยว่ เจิ้นจะออกไปเผชิญหน้าด้วยตนเอง!”
สิ้นวาจา พระองค์ก็ผละจากไปพร้อมองครักษ์กว่าเจ็ดสิบชีวิต
หลิ่วถิงเยว่ก้าวมาคุกเข่า ร่ำไห้สะอื้น “เสด็จแม่! พี่สะใภ้! เขาคือสามีของข้า คือบิดาของลูกในครรภ์นี้! ขอให้ข้าออกไปเจรจากับเขาเถิด!”
“ไม่ได้นะอาเยว่! เจ้าท้องแก่แล้วอันตรายเกินไป!” หลีไทเฮารีบโผเข้ากอดไว้แน่น
ทันใดนั้น เสียงฆ้องศึกดังสนั่น ประตูเสวียนอู่แตกพัง กองทัพซ่งทะลวงเข้ามา ธงตระกูลซ่งโบกสะบัดเหนือกองทหารเกราะดำขลิบแดง เสียงกรีดร้องโกลาหลดังก้องทั่วลานหน้าวังหลวง องครักษ์ถูกสังหารล้มระเนระนาด ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ถูกมัดมือไพล่หลัง เสียงร่ำไห้ดังระงม
“โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด!”
กลางลาน หลิ่วถิงเยว่ถูกฉุดออกมาพร้อมหลีไทเฮาและสตรีฝ่ายในนับร้อย ทันทีที่สายตาเหลือไปเห็นสามีตนยืนกดคมดาบที่ลำคอไท่หยางฮ่องเต้ พี่ชายของนาง น้ำตาก็หลั่งนอง
“พี่ใหญ่!”
ซ่งอวิ๋นโม่ผลักร่างฮ่องเต้หนุ่มให้ยืนเด่นกลางฝูงชน ดวงตาเย็นชาปรายมองถิงเยว่ที่กำลังครรภ์แก่โดยไร้ซึ่งความอาวรณ์ “บัดนี้สกุลหลิ่วสิ้นแล้ว แผ่นดินนี้จะเป็นของตระกูลซ่ง!”
ไท่หยางฮ่องเต้กัดฟันตะโกนลั่น “ซ่งอวิ๋นโม่ เจ้ากบฏ! แม้ตระกูลเจิ้นจะสิ้น เจ้าก็ไม่มีวันได้ครองบัลลังก์อย่างสมศักดิ์ศรี!”
ถิงเยว่ร่ำไห้เสียงสั่น “อวิ๋นโม่! สิ่งที่ผ่านมาข้ากับพี่ชายและเสด็จแม่ดีกับเจ้าไม่พอหรือ ไฉนเจ้าต้องทำถึงเพียงนี้!”
แต่บุรุษผู้นั้นไม่เหลียวแลแม้แต่น้อย เพียงหันไปสั่งการเสียงเรียบ “ลากพวกมันไปขังคุก! รอวันชำระบาปต่อหน้าฟ้าดิน!”
“ไม่นะอวิ๋นโม่! เจ้าอย่าทำกับข้าเช่นนี้!” เสียงร้องไห้ปานใจจะขาดของถิงเยว่อื้ออึงไปทั่วลาน ทว่าซ่งอวิ๋นโม่ยังคงไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง…
รุ่งอรุณวันใหม่...
ณ ลานประหารหน้าพระราชวังกว้างใหญ่ปกคลุมด้วยหิมะเย็นยะเยือก เสียงร่ำไห้ของสตรีและเด็กเล็กดังระงมเมื่อเชื้อพระวงศ์ถูกต้อนออกมาเป็นแถว ๆ หลิ่วถิงเยว่ถูกผลักมากับไท่หยางฮ่องเต้ หลีไทเฮา และซือหม่ากุ้ยเฟย โซ่ตรวนเหล็กกล้าพันธนาการแขนขา พวกเขาถูกบังคับให้คุกเข่าบนแท่นประหารที่นองไปด้วยเลือด
ราชบุตรเขยซ่งอวิ๋นโม่ บุรุษผู้เคยอ่อนโยน บัดนี้กลับยืนเหี้ยมเกรียมในอาภรณ์ดำขลิบทอง ประกาศตนเป็น “เสวียนจงฮ่องเต้” ดวงตาเย็นเฉียบตวัดมองภรรยาที่กำลังครรภ์แก่ราวคนแปลกหน้า
“วันนี้…คือวันที่แซ่หลิ่วต้องชดใช้บาปต่อสกุลจ้าว!” เสียงของเขาดังก้องเหนือสายลมหนาว
ไท่หยางฮ่องเต้กัดฟันแน่น คุกเข่าต่อหน้าผู้ทรยศ “ซ่งอวิ๋นโม่! เจ้ากบฏต่ำช้า!”
หลีไทเฮาในฉลองพระองค์ขาวร่ำไห้จนเสียงสั่น ส่วนซือหม่ากุ้ยเฟยนั้นกลับนิ่งงันราวรูปสลัก
ไท่หยางฮ่องเต้ตะโกนอีกครา “เจ้าจะสังหารพวกเราอย่างไรก็ช่าง แต่อาเยว่…นางคือภรรยาเจ้า! นางกำลังอุ้มท้องลูกของเจ้าอยู่นะ!”
ซ่งอวิ๋นโม่เหยียดยิ้มเย็น “ช่วยไม่ได้ นางผิดตั้งแต่เกิดมาเป็นคนสกุลหลิ่วแล้ว คนสกุลหลิ่วเกิดมาก็สมควรตายทั้งโคตร…สายเลือดสกุลข้าจะสะอาดได้ ก็ต้องล้างด้วยเลือดของพวกเจ้า! แม้แต่ลูกในครรภ์…ก็ไม่เว้น!”
เสียงสัญญาณดังขึ้น ทหารฉุดลากไท่หยางฮ่องเต้ขึ้นแท่นประหาร
“พี่ใหญ่! ไม่นะพี่ใหญ่!” ถิงเยว่กรีดร้องสุดเสียงแต่ดาบฟันลง “ฉัวะ!” เลือดแดงกระเซ็นหิมะขาว ร่างพี่ชายล้มทั้งที่ดวงตายังลืมค้าง
“เสด็จแม่!” ถิงเยว่พยายามดิ้นเข้าหาหลีไทเฮา แต่ถูกตรึงไว้แน่น น้ำตาไหลพราก “อาเยว่ผิดต่อท่านแล้ว…!”
หลีไทเฮาหันมา น้ำตาท่วมสองแก้ม “ลูกรัก…เจ้าอย่าโทษตน...”
“ฉัวะ!” นางยังกล่าวไม่จบคำคมดาบก็ตัดฉับลงบนลำคอระหง ศีรษะของพระนางหล่นสู่พื้น ความเงียบปกคลุมทั้งลาน
ซ่งอวิ๋นโม่เดินเข้าหาถิงเยว่ มือกำดาบแน่น แววตาแข็งกระด้าง “ในฐานะสตรีสกุลหลิ่ว เจ้าต้องชดใช้ ต่อให้ในครรภ์มีสายเลือดของข้าก็ไม่ละเว้น!”
“อวิ๋นโม่! ได้โปรด…อย่าทำลูกข้า! ข้ายอมตายแทน แต่จงรอให้เขาเกิดก่อน!” ถิงเยว่ร้องไห้ พร้อมตะโกนเสียงสั่น
ซ่งอวิ๋นโม่กลับหัวเราะเย็น “เจ้าคิดหรือว่าคำขอร้องของเจ้ามีค่าอันใด?”
สิ้นคำ เขากดร่างนางลงกับพื้น มือหนึ่งล็อกแขน อีกมือจ้วงดาบแทงเข้ากลางท้อง เลือดสดสาดกระจายบนหิมะสีขาว เสียงกรีดร้องของมารดาดังก้องสะท้อนทั้งลาน
ซ่งอวิ๋นโม่คว้านท้องนางอย่างโหดเหี้ยม ล้วงดึงทารกแดงก่ำออกมา ท่ามกลางเสียงโกลาหล เขาชูร่างเล็กจ้อยของทารกเพศชายขึ้นเหนือหัว ตะโกนก้อง “ดูเถิด! สายเลือดหลิ่วสิ้นแล้ว! วันนี้ข้าสังเวยเลือดนี้แด่บรรพบุรุษสกุลจ้าว!”
แล้วเหวี่ยงร่างทารกลงกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น เลือดนองปกคลุมหิมะ ถิงเยว่หวีดร้องสุดกำลัง น้ำตาไหลพราก ดวงใจแตกร้าวสิ้นสลาย
สายตาสุดท้ายของนางเต็มไปด้วยเพลิงแค้น ก่อนร่างจะสิ้นใจในเงาเลือด เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของซ่งอวิ๋นโม่ ดังก้องสะท้อนไปทั่วลานประหาร
—เฮือก!—
ร่างเล็กผวาลุกขึ้นจากเตียงกว้าง สองมือกุมหน้าอกหอบหายใจรัว “นี่มัน…ฝันร้ายอันใดกัน…”
เด็กสาววัยสิบหกปี พึมพำเสียงแหบพร่า ความน่าสะพรึงยังตามหลอกลอนไม่สิ้น
ตอนที่ ๒๔ || ตามหารอยสักหมาป่าคำรามดังนั้นพอถึงวันถัดมา หลิ่วถิงเยว่ตื่นขึ้นด้วยดวงตาที่ใต้ดวงตาดำคล้ำ แต่ความมุ่งมั่นกลับหนักแน่นยิ่งกว่าเดิมหลิ่วถิงเยว่นำภาพวาดที่ตนเขียนไว้ติดตัวออกจากตำหนักฉางหลันหลังนางกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ขันทีนางกำนัลพากันขบวนติดตาม นางกำนัลประจำหอตำราหลวงต่างรีบออกมาก้มศีรษะต้อนรับด้วยความเคารพ หลังอากุ่ยไปแจ้งว่าฉางหลันจ่างกงจู่ต้องการศึกษาตำราฉางหลันจ่างกงจู่ ผู้สูงศักดิ์เสด็จมาอ่านตำรา ใครเล่าจะกลัวขวางทาง ไม่ว่านางจะไปแห่งหนใด ขุนนางทั้งหลายล้วนต้องถอยหลีกทางร่างอรชรก้าวเข้าสู่หอตำราหลวงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสงอาทิตย์สาดลอดหน้าต่างสูงสะท้อนคัมภีร์และตำราที่เรียงรายสุดสายตา เสียงฝีเท้าของถิงเยว่ดังก้องไปตามทางเดินที่ถูกขันทีและนางกำนัลผู้ดูแลหอตำราขัดถูจนสะอาดเงาวับตลอดวันนั้น นางกางภาพหมาป่าดำเทียบกับตำราไปไม่น้อย มือเล็กหยิบเล่มแล้วเล่มเล่า ไล่ค้นทั้งหมวดสัตว์ป่าหวงห้าม ตำราพิธีบูชา ไปจนถึงบันทึกตำนานโบราณ ทว่าทุกเล่มล้วนเงียบงันไร้คำตอบวันเดียวไม่พอ…สองวันก็ยังว่างเปล่าจนกระทั่งครบเจ็ดวันเต็ม นางยังวนเวียนอยู่ที่หอตำราหลวง ใบหน้างามมีแต่ซีดขาวเพ
ตอนที่ ๒๓ ||ใต้หล้าล้วนผิดต่อข้า!เสียงฆ้องสามครั้งดังสะท้อนทั่วตำหนักจิ้งหยางหลังไท่หยางฮ่องเต้มีดำรัสให้เลิกงานเลี้ยงเพียงเท่านี้ แขกเหรื่อแตกตื่นลุกขึ้นก้มศีรษะคำนับตามรับสั่ง ไท่หยางฮ่องเต้เสด็จออกจากท้องพระโรงพร้อมหลีไทเฮาเหลือทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงเสียงซุบซิบอื้ออึงของเหล่าบัณฑิตและขุนนางที่ยังไม่ทันดื่มกินให้สำราญใจ งานเลี้ยงที่ควรเป็นเกียรติสูงสุดกลับถูกยุติกลางคันด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันในความวุ่นวายนั้น ซ่งอวิ๋นโม่ ยืนนิ่งราวถูกตอกตรึงไว้กับพื้น ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ดวงตาที่เคยสว่างวาบไปด้วยความหลงใหล กลับมืดครึ้มลงอย่างน่ากลัวเพียงเพราะหญิงงาม เขากลับหลงลืมภารกิจสำคัญไปจนสิ้น!ซ่งอวิ๋นโม่กำหมัดแน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดซึม ร่างสั่นสะท้านด้วยความโกรธแค้นต่อตนเองที่หลงลืมเพลิงแค้นยี่สิบปี เพียงสบตากับซือหม่าอวี้ หลงลืมเป้าหมายที่จะโดดเด่นต่อไท่หยางฮ่องเต้ และทำตนให้สะดุดตาฉางหลันจ่างกงจู่อวิ๋นโม่เอ๋ย อวิ๋นโม่ เจ้าช่างโง่งมสิ้นดี! เจ้ามาเพื่อแก้แค้น เพื่อชะตาตระกูล ที่สูญสิ้นเพราะพวกคนแซ่เหลิ่วมิใช่มาเพื่อจมอยู่ในห้วงรักแรกพบที่ไร้ค่า!ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งกลับบิดเ
ทันทีที่เสียงขันทีใหญ่เอ่ยขานจบ บุตรสาวคนรองแห่งจวนติ้งถิงโหว ซือหม่าอวี้ ก้าวออกจากแถวด้วยกิริยาสงบ ดวงตาคมกริบสะท้อนประกายมั่นใจ งามหยดย้อยแต่แฝงกลิ่นอายดุดันของนักรบหญิงถัดมา ซือหม่าหยวน พี่ชายคนโต ก้าวออกเคียงข้างใน อาภรณ์ขุนนางฝ่ายบู๊สีชาดขลิบทอง สง่างามราวเพลิงไฟ มิใช่ชุดออกศึกเช่นยามอยู่ที่ค่ายทหาร ท่วงท่ามั่นคงดุดันสมฐานะแม่ทัพผู้ปกป้องบูรพาสองพี่น้องหยุดยืนกลางท้องพระโรง ค้อมกายคำนับบัลลังก์มังกร ก่อนที่ขันทีจะส่งกระบี่ยาวคู่หนึ่งเข้ามาในมือเสียงดนตรีพลันเปลี่ยนเป็นจังหวะหนักแน่น กลองใหญ่กระหึ่มก้อง ปี่และขลุ่ยสอดประสานดุจเสียงลมกรรโชกซือหม่าอวี้สะบัดปลายแขนยกกระบี่ขึ้น ฟาดหมุนวาดเป็นวงกลมงดงาม ก่อนพุ่งก้าวไปข้างหน้าเหมือนพยัคฆ์สาวตะปบเหยื่อ กระบี่ในมือนางเปล่งแสงสะท้อนกับแสงโคมไฟระยิบระยับราวอัสนีแลบซือหม่าหยวนโต้ตอบด้วยกระบี่ที่มั่นคงและทรงพลัง ทุกกระบวนท่าผสานรับส่งกับน้องสาวอย่างคล่องแคล่ว หนักแน่นเสมือนขุนเขา แต่ก็พลิ้วไหวราวสายน้ำเสียงเหล็กกระบี่กระทบกันดัง เคร้ง! ก้องกังวานสะท้อนทั่วท้องพระโรง ทุกสายตาจับจ้องร่างทั้งสองที่เคลื่อนไหวประสานกันไม่ต่างจากบทกวีแห่งสงคร
ราตรีหนึ่งในราชสำนักต้าเจาในปลายฤดูร้อนกลางเดือนห้าเจิดจ้าด้วยแสงประทีปนับหมื่นดวงคืนนี้ตำหนักจิ้งหยางอันโอ่อ่าถูกเปิดกว้าง ตกแต่งประดับประดาด้วยผ้าแพรโปร่งหลากสีพาดลดหลั่นดั่งม่านเมฆ ลวดลายมังกรกับหงส์ทองปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทองสะท้อนกับแสงโคมไฟจนระยิบระยับราวดวงดาวตกลงมาประดับพื้นดินหอสูงทั้งสี่มุมตำหนักแขวนโคมไฟลวดลายงดงามแปลกตา ริมทางเดินปูพรมผ้าไหมสีชาดทอดยาวตั้งแต่หน้าตำหนักขึ้นสู่บันไดท้องพระโรง เสียงดนตรีพิณ คงโหว ขลุ่ยบรรเลงกล่อมด้วยท่วงทำนองนุ่มนวลต้อนรับแขกเหรื่อ ขับเน้นให้ค่ำคืนนี้หรูหราเกินเปรียบบนโต๊ะยาวเรียงรายทั่วห้องโถง เครื่องคาวและหวานถูกจัดวางอย่างประณีต อาหารเลิศรสจากทั่วทุกหัวเมืองส่งมารวม ณ ที่นี้ ทั้งปลากรายนึ่งซีอิ๊ว ปูทะเลตัวใหญ่แกะเปลือกวางบนจานเงินเนื้อกวางตุ๋นยาจีนหอมฉุย ขนมหวานงดงามอย่างดอกเหมยน้ำผึ้ง ผลไม้หายากจากแดนไกล สายน้ำชาและสุราบ่มนานถูกทยอยรินไม่ให้ขาด นางกำนัลและขันทีเดินกันขวักไขว่ ขับเน้นความเอิกเกริกสมกับเป็นงานเลี้ยงใหญ่ที่ราชสำนักจัดเพื่อต้อนรับบัณฑิตผู้สอบผ่านของปีไท่หยางที่ 7 นี้อย่างใหญ่โอฬารบัณฑิตหนุ่มจากหัวเมืองต่าง ๆ สวมชุดยาวสีน้ำ
ตอนที่ ๒๐ || ห้วงฝันสีเลือดสายหมอกหนาหนักโอบล้อมครอบคลุมทั่วทั้งหลังเขา ความเงียบวังเวงจนแม้เสียงลมหายใจของตนเอง หลิ่วถิงเยว่ยังได้ยินดังสะท้อนในหู ร่างเล็กก้าวไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ใจรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง คล้ายถูกใครบางคนดึงรั้งให้เดินสืบเท้าต่อไปโดยไม่อาจฝืนฉัวะ!เสียงคมดาบฟาดเฉือนผ่านอากาศ ฉับพลันก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนสะท้านวิญญาณ เลือดคาวคลุ้งลอยมากับลมเย็นยะเยือกจนขนกายลุกชัน หญิงสาวใจสั่นระรัว อยากหันหลังหนีแต่ร่างกลับแข็งทื่อ เท้าทั้งสองกลับก้าวต่อไปอย่างดื้อรั้น“ไม่นะ!…เจ้าเท้าไม่รักดีห้ามพาข้าไปเห็นเรื่องไม่ควรเห็นสิ!…” นางพึมพำ น้ำเสียงสั่นเครือยิ่งก้าวลึกเข้าไปในหมอก เสียงฟาดฟันโลหะปะทะโลหะก็ถี่กระชั้นขึ้น ทั้งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของมนุษย์ที่ถูกเชือดขาดสะบั้นก้องกังวานทั่วผืนเขา จนหลิ่วถิงเยว่เหมือนจะหูอื้อไปชั่วขณะเมื่อม่านหมอกขาวสลายคลายออก ภาพตรงหน้ากลับทำให้หัวใจนางแทบหยุดเต้นกลางลานดินกว้างเต็มไปด้วย ซากศพ นับร้อย เลือดแดงสดไหลรวมเป็นธารนองพื้น กลิ่นคาวคลุ้งคละคลุ้งสะอิดสะเอียนท่ามกลางกองซากน่าสะพรึงนั้น เด็กชายผู้หนึ่งยังคงยืนหยัด ร่างเล็กวัยเพียงสิบถึงสิบเอ
ตอนที่ ๑๙ || หยกหวนคืนอีกครั้ง!หลังจากถูกอาหลิวกับอากุ่ยพากลับมายังตำหนักฉางหลัน หลิ่วถิงเยว่ก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ในห้องบรรทม น้ำตาไหลเปียกแก้ม ภาพพี่ชายตะคอกใส่พร้อมทุบหยกและเผาสมุดบันทึกต่อหน้าต่อตายังคงวนเวียนไม่หาย ทุกครั้งที่นึกถึง ใจดวงน้อยก็ปวดร้าวราวถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ“จ่างกงจู่เพคะ ฝ่าบาทคงมิได้ตั้งทัยหรอกเพค” อาหลิวเอ่ยปลอบใจ เพราะทราบดีผู้เป็นนายคงสะเทือนใจไม่น้อย“ไม่ตั้งพระทัยหรือ? เจ้าหรอกใครอยู่กันเล่า อาหลิว พวกเจ้าออกไปเถอะ เปิ่นจ่างกงจู่อยากอยู่ผู้เดียว” กล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน แต่มิอาจทราบได้ว่านางเย้ยหยันผู้ใดอยู่ใดกันแน่“แต่ว่า…” อาหลิวยังห่วงนายสาว เนื่องจากฉางหลันจ่างกงจู่นั้นบอบบางราวแก้ว ไท่หยางฮ่องเต้คราวนี้รุนแรงไปแล้ว“ออกไปเถอะ!” หลิ่วถิงเยว่จำต้องทำเสียงเคร่ง เพราะอาหลิวกับอากุ่ยมักเป็นเช่นนี้ในยามที่นางกล่าววาจาดีด้วยก็ไม่ค่อยจะรับฟังชอบให้นางเอ็ดเสียงดัง แต่ในยามนี้เด็กสาวอยากอยู่ลำพังจริงๆ“พี่เยี่ยน…เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้” นางพึมพำแผ่วเบา เสียงสะอื้นติดคอ เติบโตมาด้วยกัน หลิ่วเยี่ยนเฟยไม่เคยขาดเหตุผลเช่นนี้ หรือเพราะเมิ่งหรูจื่อ?หลิ่วถิงเยว่สะ
Commentaires