เข้าสู่ระบบหนึ่งเดือนต่อมาในวันนี้มีการแสดงละครเวทีของหยางจื้อเจ๋อ ซูเฟยตื่นแต่เช้าด้วยความตื่นเต้น ละครเวทีจะเริ่มแสดงตอนเก้าโมงเช้าและแสดงยาวแปดชั่วโมงจบอีกทีก็ห้าโมงเย็น วันนี้ซูเฟยจึงตั้งใจแต่งตัวและแต่งหน้าทำผมเป็นพิเศษเพื่อให้ตัวเองดูสวยที่สุดเผื่อว่าหยางจื้อเจ๋อจะมองลงมาจากเวทีแล้วเห็นเธอบ้าง
อากาศเช้านี้สดใสยิ่งจึงทำให้หญิงสาวดูสดชื่น ซูเฟยคิดว่าคงเป็นเพราะวันที่เป็นวันดีของเธอท้องฟ้าก็เลยปลอดโปร่งทั้ง ๆ ที่เป็นฤดูฝนเพื่อให้เธอเดินทางไปดูละครเวทีได้อย่างสะดวก
ชุดที่เลือกใส่วันนี้เป็นเสื้อเชิ๊ตสีชมพูกับกางเกงยีนส์ตัวเท่ห์และเลือกที่จะปล่อยผมยาวสลวยแต่งหน้าอ่อน ๆ ตามแบบฉบับของสาวมั่นแต่ก็ซ่อนความหวานไว้เล็กน้อย เป็นเพราะสาวในสเป็คที่หยางจื้อเจ๋อเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการนั้นมีลักษณะประมาณนี้ ปากก็บอกว่าไม่ได้คาดหวังอะไรจากการเป็นแฟนคลับของเขาแต่สุดท้ายแล้วก็พยายามทำทุกอย่างเผื่อว่าเขาจะมองมาอยู่ดี
"เท่านี้ก็เรียนร้อยแล้ว" ซูเฟยยืนหน้ากระจกหมุนไปหมุนมาแล้วมองสำรวจตัวเองอีกครั้งว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือยัง จากนั้นค่อยคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไป
ก่อนไปสถานีรถไฟฟ้าก็แวะที่ร้ายขายดอกไม้ก่อน เธอโทรมาสั่งดอกไม้ไว้แล้วล่วงหน้าเพื่อที่จะเอาไปให้กำลังใจนักแสดงที่หน้าโรงละคร
"สวัสดีค่ะ ฉันมารับดอกไม้ที่สั่งไว้ค่ะ" ซูเฟยกล่าวอย่างยิ้มแย้มกับพนักงานร้านดอกไม้ที่หน้าเคาน์เตอร์
"สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าผู้ที่สั่งดอกไม้ชื่ออะไรเหรอครับ" พนักงานถามกลับ เนื่องจากมีคนสั่งดอกไม้เข้ามาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นทางร้านจึงต้องจัดทำรายชื่อผู้สั่งไว้อย่างละเอียดจะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดอย่างเช่นหยิบดอกไม้ให้ผิด
"ชื่อซูเฟยค่ะ" ซูเฟยตอบ
"กรุณานั่งรอตรงนี้สักครู่นะครับ" พนักงานตอบกลับอย่างยิ้มแย้มก่อนจะเดินหายเข้าไปที่หลังร้าน
ซูเฟยยืนมองดอกไม้ภายในร้านอย่างอารมณ์ดีและคิดว่าหลังจากกลับจากไปดูละครเวทีแล้วจะมาแวะอีกรอบเพื่อซื้อดอกไม้เข้าห้อง วันไหนที่อารมณ์ดีก็อยากให้ห้องนอนที่แสนจะจืดชืดของตัวเองนั้นดูสดใสขึ้นมาบ้าง
สักพักพนักงานก็เดินออกมาพร้อมช่อดอกไม้ช่อโตที่เธอสั่งไว้ ดอกไม้ที่สั่งเป็นช่อดอกกุหลาบสีแดงจำนวนหนึ่งร้อยดอกจัดช่อและห่อด้วยกระดาษสีดำ ปิดจบด้วยการผูกโบว์สีแดง แฟนคลับส่วนใหญ่เวลาแสดงความยินดีกับเขาก็มักจะสั่งดอกไม้และจัดช่อแบบนี้
"ขอบคุณค่ะ มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมไหมคะ" ซูเฟยถามก่อนจะรับช่อดอกไม้นั้นมา
"ไม่มีครับ การ์ดที่เขียนให้แนบไว้ที่ดอกไม้แล้วนะครับ" พนักงานตอบพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง
ซูเฟยได้ของแล้วก็เดินออกจากร้านมาและตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าทันทีเพราะนี่ก็เป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้ว ต้องรีบหน่อยเพราะว่าจะไปถึงก็อีกตั้งครึ่งชั่วโมง
หญิงสาวบุคลิกมาดมั่นคนหนึ่งกับดอกใม้ช่อโตเป็นที่สะดุดตาของผู้คนบนรถไฟฟ้าเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียวเพราะหากไม่ใช่วันแห่งความรักแล้วก็ไม่ค่อนเห็นใครถือดอกไม้ช่อโตขนาดนี้หรอก แสดงว่าวันนี้ต้องเป็นวันพิเศษของเธอแน่ ๆ
“พี่สาวค่ะ แฟนพี่ให้ดอกไม้มาเหรอค่ะ สวยจังเลยค่ะ” เด็กหญิงอายุราว ๆ แปดเก้าขวบที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถามขึ้น เป็นธรรมดาของเด็กหญิงที่เห็นช่ออดกไม้สวย ๆ แล้วก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้
“อ๋อ ไม่ใช่หรอกจ้ะ ดอกไม้นี่พี่จะเอาไปให้นักแสดงละครเวที” ซูเฟยตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“พี่กำลังจะไปดูละครเวทีเหรอคะ” เด็กหญิงถามอีกครั้ง
“ใช่แล้ว อีกไม่นานก็แสดงแล้วล่ะ” หญิงสาวตอบ
เด็กหญิงส่งยิ้มกลับมาให้เธอบ้าง “ถ้างั้นดูให้สนุกนะคะ”
“ขอบใจจ้ะ” ซูเฟยตอบกลับด้วยความยินดี
มาถึงโรงละครสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือเอาช่อดอกไม้ของตัวเองไปจัดไว้ที่หน้าโรงละครซึ่งตอนนี้มีแฟนคลับของนักแสดงหลายคนเอาช่อดอกไม้มาจัดวางแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยช่อเป็นทางยาวจนเกือบจะถึงประตูทางเข้า ช่อดอกไม้ของซูเฟยจึงได้พื้นที่ที่ค่อนข้างไกลหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยก็ถือว่าได้มาแสดงความยินดีกับความสำเร็จของละครเรื่องนี้แล้ว ตามกฏแล้วแฟนคลับไม่สามารถเอาช่อดอกไม้ไปให้ศิลปินของตนเองที่ด้านในโรงละครได้บรรดาแฟนคลับจึงต้องจัดวางช่อดอกไม้ไว้ข้างนอก
ประตูเปิดให้เข้าตอนเก้าโมงตรง ซูเฟยเดินเข้าไปยังที่นั่งของตนเองด้วยความตื่นเต้น เธอนั่งในโซนวีไอพีด้านหน้าเวทีพอดีและนี่คือผลพวงของการซื้อตั๋วแพงเพราะว่าจะได้เห็นนักแสดงชัดๆ
ละครเวทีเรื่องที่จะแสดงนี้มีชื่อว่า "มุ่งสู่ความฝันด้วยใจที่มุ่งมั่น" เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นทหารซึ่งรับบทโดยหยางจื้อเจ๋อ เด็กหนุ่มคนนี้มีความฝันที่จะเป็นทหารตามพ่อซึ่งเคยมีตำแหน่งเป็นถึงทหารยศผู้พันแต่ว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสจนพิการจึงจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาและหยุดปฏิบัติหน้าที่มาจนถึงทุกวันนี้ เขาจึงตั้งใจที่จะเป็นทหารเพื่อนสานต่อความฝันของพ่อตัวเอง
แต่พอได้เข้าไปเป็นทหารแล้วตัวเองก็เจออุปสรรคมากมายเช่นกันที่ทำให้ชีวิตทหารของเขาไม่ราบรื่น จนในที่สุดต้องละทิ้งความฝันนั้นและลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัวแทน ธุรกิจของเขาในตอนเริ่มต้นก็เป็นไปอย่างทะลักทุเลเพราะว่าในสมันนั้นรัฐไม่ได้เปิดโอกาสในการทำการค้ามากนักแต่ในทีสุดเมื่อผ่านช่วงของการเปลี่ยนแปลงมาแล้วเขาก็สามารถนำพาธุรกิจของเขาให้ผ่านพ้นวิกฤติและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้
แต่ว่าอุปรรค์ของเขายังไม่หมดเพียงเท่านี้ วันหนึ่งเขาเกิดอุบัติเหตุรถชนทำให้ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง ถึงแม้ว่าเขาจะเสียใจแต่ก็ไม่ย่อท้อ เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการฟื้นฟูตัวเองและกลับมายืนยัดต่อสู้สร้างธุรกิจต่อ ถึงแม่้ว่าจะนั่งบนรถเข็นแต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะว่าสมองและสองมือยังคงทำงานได้ เขายังมีความฝันอีกอย่างก็คืออยากที่จะเป็นนักเขียน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องราวของตนเองเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น และเขาก็ทำตามความฝันจนสำเร็จ หนังสือของเขาติดอันดับขายดีอยู่หลายปีซ้อน
หยางจื้อเจ๋อแสดงได้ดีมากจนคนดูถึงกับร้องไห้ตาม ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นนักแสดงทุกคนที่แสดงละครเวทีเรื่องนี้ต่างก็เป็นนักแสดงคุณภาพ เมื่อการแสดงจบลงทุกคนก็ยืนขึ้นปรบมือเป็นกำลังใจให้กับนักแสดง จากนั้นนักแสดงก็กล่าวขอบคุณผู้ชม ในตอนที่หยางจื้อเจ๋อกล่าวของคุณผู้ชมอยู่นั้นสายของเขาก็กวาดมาสบตากับซูเฟยอยู่แวบหนึ่ง ซูเฟยถึงกับอึ้งจนแน่นิ่งไปกว่าจะตั้งสติได้อีกทีเขาก็กล่าวขอบคุณผู้ชมจบไปแล้ว
บทที่ 50 บิดามารดามาเยี่ยม ตั้งแต่ที่ฟางหนิงฮวามาที่เมืองเสวี่ยคังนี่ก็เป็นเป็นเวลากว่าห้าเดือนแล้ว นางยังไม่ได้กลับบ้านเสียที มีแต่เขียนจดหมายไปบอกบิดามารดาเท่านั้น ฟางตวนกับนิ่งหรงพอเห็นว่าบุตรสาวไม่กลับบ้านก็คิดถึงและเป็นห่วงจึงได้คิดที่จะไปเยี่ยมนาง พวกเขาเริ่มออกเดินทางส่วนร้านซาลาเปานั้นก็ฝากไว้กับอารอง “ท่านพี่ เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง” นิ่งหรงเอ่ยถามสามีที่กำลังจัดของของตัวเองใส่ห่อผ้าอยู่ เขาเอาสิ่งนั้นเข้าสิ่งนี้ออกอยู่หลายครั้งจนนางรำคาญ “ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ แต่ขอข้าคิดก่อนว่าควรจะเอาเนื้อกวางแห้งนี่ไปฝากหนิงฮวาดีหรือไม่” ฟางตวนพูดพลางหยิบเนื้อกวางแห้งนั่นใส่เข้าไปในห่อผ้าอีกครั้ง “ท่านไม่ต้องเอาอะไรไปฝากนางทั้งนั้นแหละ
บทที่ 49 ดวลสุรา เป็นเพราะว่าเห็นคุณชายผู้นี้พูดคุยกับฟางหนิงฮวาทำให้เซียวป๋อเหวินอดไม่ได้ที่จะหึงขึ้นมา เขาตัดสินใจนั่งร่วมโต๊ะกับเหยียนจื่อจิง ทั้งนี้ก็เพื่อจะเอาตัวเองขวางกั้นไม่ให้เหยียนจื่อจิงได้สนทนากับฟางหนิงฮวาได้สะดวก “ถ้าเช่นนั้นทั้งสองท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะให้พ่อครัวจัดอาหารมาให้” ฟางหนิงฮวาพูด “อ้อ...ท่านแม่ทัพอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะได้ทำให้” “แล้วแต่เจ้าเถิด แต่ว่า...ข้าขอสุรามากหน่อย วันนี้รู้สึกอยากดื่มสุรา” เซียวป๋อเหวินพูด หลังจากที่ฟางหนิงฮวาหายเข้าไปในครัวแล้วบรรยากาศในร้านก็เปลี่ยนไป เซียวป๋อเหวินที่แย้มยิ้มเมื่อสักครู่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสายตามาดร้ายจ้องไปที่เหยียนจื่อจิงอย่างไม่วางตา
บทที่ 48 ตุ๊กตาหมี เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ของฟางหนิงฮวากับเซียวป๋อเหวินก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นจนเหล่าทหารทั้งกองทัพต่างก็มองว่าทั้งสองเป็นคู่รักกันไปแล้ว ฟางหนิงฮวามักจะเอาอาหารไปให้เขาที่ค่าย ส่วนเขาก็มักจะทำอะไรให้นางประหลาดใจอยู่บ่อย ๆ วันนี้ที่ร้านยุ่งมากจนฟางหนิงฮวาไม่สามารถปลีกตัวออกจากร้านได้ เดิมทีนางคิดว่าจะทำไก่ผัดพริกเสฉวนไปให้เขากินที่ค่ายแต่ว่าทำเสร็จนานจนอาหารเย็นชืดก็ยังไม่ได้ไป กว่าลูกค้าจะออกจากร้านหมดก็ปาเข้าไปปลายยามเซินแล้ว ฟางหนิงฮวากลับมาที่จวน นางถือกล่องอาหารมาด้วยและก็พบเข้ากับเซียวป๋อเหวินที่กลับมาพอดี “ไก่ผัดพริกเสฉวนนี่เย็นชืดหมดแล้ว เดี๋ยวข้าจะเข้าครัวไปอุ่นให้ท่านใหม่นะ” “ไม่เป็นไรหรอก ให้สาว
บทที่ 47 ร้านอาหารเสฉวนแห่งเมืองเสวี่ยคัง หนึ่งเดือนต่อมาร้านอาหารก็เปิด ฟางหนนิงฮวาเปิดร้านอาหารรูปแบบของเสฉวน เน้นอาหารรสชาติเผ็ดร้อนที่เซียวป๋อเหวินชอบ แถมยังมีหม้อไฟหม่าล่าซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ของที่นี่อีกด้วย สร้างความฮือฮาในหมู่ชาวเมืองเสวี่ยคังเป็นอย่างอยิ่ง เมื่อได้ยินว่ามีร้านอาหารมาเปิดใหม่ผู้คนต่างก็อยากรู้อยากเห็น พากันแวะเวียนมาเดินผ่านหน้าร้านกันแต่ว่าก็ยังไม่มีใครกล้ามาลองกินดูสักคน จนเมื่อฟางหนิงฮวาเปิดหม้อน้ำแกงหม่าล่าออกก็ถึงกลับทำให้คนที่เดินไปมาอยู่หน้าร้านถึงกลับชงัก กลิ่นของน้ำแกงนั้นหอมเตะจมูกเป็นอย่างยิ่ง มีทั้งกลิ่นที่กลมกล่อมของมันวัวและกลิ่นเครื่องเทศที่หอมฟุ้ง ชาวเมืองที่อยู่แถวนั้นต่างก็กลืนน้ำลายกันเป็นแถว “นี่มันอาหารอะไรเนี่ย ข้าไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่หอมเช่นนี้มาก่อนเลย” ชายวันกล
บทที่ 46 เริ่มต้นกิจการ “นี่...หัวหน้าองครักษ์กู้ ช่วงนี้ท่านแม่ทัพกำลังยุ่งอยู่หรือไม่” ฟางหนิงฮวาถาม นางมาดักรอหัวหน้าองครักษ์ที่ทางเดินไปห้องหนังสือของเซียวป๋อเหวิน “ช่วงนี้ท่านแม่ทัพค่อนข้างยุ่งน่ะ ต้องเตรียมเรื่องการฝึกทหาร ยิ่งตอนนี้มีการรับทหารใหม่เข้ามา งานก็เลยล้นมือ” หัวหน้าองครักษ์กู้ตอบ “เหตุใดเจ้าไม่ไปถามกับท่านแม่ทัพเอาเล่าหนิงฮวา” “ข้าไม่อยากรบกวนเขาน่ะ และข้าก็รู้ว่าท่านต้องตอบข้าทุกอย่างอยู่แล้ว” ฟางหนิงฮวายิ้มน้อย ๆ “เจ้านี่ฉลาดเอาเรื่อง ว่าแต่ถามหาท่านแม่ทัพมีธุระอันใดหรือ” หัวหน้าองครักษ์กู้ถาม “ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าช่วงที่ข้า
บทที่ 45 หุบเขาวัดเสวียนคงและสวนต้นกุ้ยฮวา หลังจากการศึกจบลง บ้านเมืองสงบเซียวป๋อเหวินได้มีเวลาของตัวเอง วันนี้เข้าจะพาฟางหนิงฮวาออกไปเที่ยวนอกเมืองสักหน่อย เขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงเรื่องความงามของธรรมชาตินอกเมืองมานานแล้ว แต่ด้วยความที่ต้องยุ่งอยู่กับการศึกจึงไม่ได้มีเวลาออกไป วันนี้ว่างแล้วจึงเป็นเวลาที่เหมาสมพอดี เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองสามครั้งตั้งแต่เช้าตรู่ ฟางหนิงฮวาที่เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นานกำลังนั่งแต่งตัวจัดเครื่องประดับอยู่ที่หน้ากระจกทองเหลืองเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูก็รีบออกมาเปิดทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเซียวป๋อเหวินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้วเช้าตรู่เช่นนี้เขาจะอยู่ที่ห้องหนังสือมิใช่หรือ “ท่านแม่ทัพ มาหาข้าแต่เช้ามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” หญิงสาวถาม&nb







