ในหอพักนักศึกษาหญิงของมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านรังสิต เธอกำลังกวาดสายตาอ่านบรรทัดสุดท้ายของ นวนิยายจีนโบราณออนไลน์เรื่อง ‘บ่วงนางหงส์’ ในไอแพดด้วยกิริยาหน้านิ่วคิ้วขมวด
“สวีเจียงหลัวถูกฝังทั้งเป็น...ไป๋อี้เฉินครองบัลลังก์ปกครองต้าหรงกับยัยนางเอกเจ้ามารยาแบบเจียงหลีอย่างราบรื่นทั้งที่เด็กในท้องคือลูกของพระร้าย...จบ”
เรียวปากเล็กพึมพำฉากจบอีกครั้ง ก่อนใบหน้างามจะบิดเบี้ยวไม่ชวนมองสักนิด
“จบ...จบเชี่ยอะไรกัน! พระเอกฆ่าเมียพร้อมลูกตัวเองแท้ๆ แล้วเลี้ยงลูกชู้ตัวจริงเนี่ยนะ ไม่สมเหตุสมผลที่สุด!!!”
อรรัมภาหรือที่เพื่อน ๆ เรียกว่า ไอ้รัม ทิ้งไอแพดลงที่นอนด้วยท่าทางราวจะบ้าคลั่ง สองมือยกขึ้นขยี้ผมตัวเองในขณะที่ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาแทบไหลซึม ไม่ใช่เพราะซาบซึ้ง แต่เพราะอารมณ์โกรธแค้นในความชั่วร้ายที่พระเอกนางเอกของเรื่องได้ลงเอยอย่างแฮปปี้ ทั้งที่นางร้ายกับครอบครัวพร้อมลูกในท้องโดนฝังทั้งเป็นแบบโคตรจะอนาถ!
“หึ! ยัยคนแต่ง! นี่แกเป็นนักเขียนโรคจิตใช่ไหม!!”
เสียงด่าทอดังก้องไปทั่วห้องพัก ยังดีว่ารูมเมทของเธอยังคงไม่กลับมาไม่อย่างนั้นเธอคงโดนมันด่าอีกแน่ที่เอาแต่หมกมุ่นกับสามีทิพย์ในนิยายเกินไปอีกแน่นอน
“ฉันหรืออุตส่าห์รีบอ่าน ขนาดมีรายงานต้องส่งอาจารย์ในอีก3 วันแท้ๆ ฉันยังวางเอาไว้ก่อน วันนี้มีรับน้องฉันก็แอบโดดแล้วดูสิ ยัยนักเขียนโรคจิตนั่นกับเขียนตอนจบมาแบบนี้ ฉันจะเครซี่!”
เพราะพอเมื่อคืนพอแจ้งเตือนว่า e-book ออกใหม่เป็นนิยายของนักเขียนที่ตนเองติดตามและเป็นนิยายเรื่องเพรียวนางหงส์หญิงสาวก็ไม่รอช้ารีบจ่ายเงินซื้อทันที เพราะลุ้นมาตลอดว่าสุดท้ายตอนจบ สวีเจียงหลัวจะตาสว่างแล้ว ฆ่าทั้งไอ้พระเอกเฮงซวย กับยัยน้องสาวเจ้ามารยาจากนั้นตัวเองก็กลายเป็นไทเฮา เลี้ยงลูกสวยๆ ใครจะคิดจุดจบจะหักมุมได้ขนาดนี้ ไหนละบ่วงนางหงส์ที่ว่า บ่วงนางหงส์ที่เธอคิดกับที่นักเขียนวางพล็อตเอาไว้ดูทรงจะเป็นละความหมาย ยิ่งคิด อรรัมภาก็ยิ่งด่าทอผู้เขียนต่อไปด้วยความโกรธแค้น
“ยัยนักเขียนโรคจิต เขียนพระเอกได้สารเลว! ชั่วช้า! สันดานอัปรีย์! ไหนคำโปรยเอ่ยถึงสวีเจียงเพรียวแล้วยังเคยบอกว่าสวีเจียงหลัวเป็นลูกรักของนักเขียนที่สุดไง ที่ไหนได้ยัยนักเขียนตัวแสบเธอดันมาฆ่าลูกรักตัวเองตอนจบได้!”
เธอพ่นลมหายใจฟึดฟัด โมโหยัยนักเขียนโรคจิตจนด่าทอบรรพบุรุษอีกฝ่ายไปสิบแปดรุ่นได้ ด่าไปด่ามาเลยคอแห้งต้องหยิบขวดน้ำขึ้นกระดกทีเดียวครึ่งขวด ก่อนขยำผ้าขนหนูบนหัวลงมาเช็ดหน้าปาดเหงื่อแล้วถอดแว่นกลมที่เลื่อนหล่นมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
“แล้วอะไร...นางเอกใสซื่อ น่าสงสาร โอ๊ย! น่าสงสารพ่อง!”
อรรัมภายื่นมือไปหยิบมือถือ เปิดเรตติ้งในเว็บรีวิวทันที กวาดตาดูคะแนนหัวใจสีแดงห้าดวงเรียงพรืดพร้อมคอมเมนต์อวย
‘น้ำตาไหล พระเอกนางเอกสมกันที่สุด! และสะใจมาก นางร้ายได้ชดใช้กรรมที่เคยหลอกพระร้ายแบบไป๋อี้หาน!’ คอมเมนต์บนสุดว่าอย่านั้น
“สมกัน ใช่พระเอกนางเอกคือสมกันมาก สมกันอย่างกับผีเน่าโลงผุ! แล้วมาสะใจอะไรก่อน สะใจที่นางร้ายต้องตาย พวกเธอลืมอะไรไปไหม เจียงหลัวท้องอยู่นะ ไร้ศีลธรรมที่สุด!”
อรรัมภาถึงจะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่การนอกใจ และฆ่าลูกในไส้แบบนี้เธอค่อนข้างรับไม่ได้อย่างแรง แค่แต่งทั้งพี่และน้องตอนที่เธออ่านมาได้ครึ่งเรื่องก็เหลือรับแล้วนะ แต่ตอนจบแบบนี้นักอ่านพันธุ์แท้แบบเธอรับไม่ได้!
‘พระเอกคนดี รักมั่นที่สุด!’
“เวรเถอะ! รักมั่นกับผีนะสิ! เลือกเมียน้อยที่มาทีหลังไม่พอยัง ฆ่าเมียตัวเองพร้อมกับลูกด้วยวิธีฝังทั้งเป็นเนี่ยน่ะนะ! แล้วอะไรคือรักมั่นคง ถ้ามั่นคงจริง ต้องเลือกเจียงหลัวสิ ไม่ใช่เลือกแม่ดอกบัวขาวเจียงหลี!”
และยังอีกมากมายที่อวยทั้งนักเขียนและพระเอกนางเอก แต่กลับสาปแช่งนางร้ายเช่นสวีเจียงหลัว อรรัมภา โกรธนักเขียนนะ อยากไปเมนต์ด่าระบายอารมณ์ แต่คิดไม่คิดมา เธอมันพวกมีอารยธรรม ตนเองไม่ถูกใจก็ไม่ใช่ความผิดของนักเขียน นักศึกษาสาวจึงแค่กดให้หัวใจห้าดวงแต่ไม่รีวิวอะไรทั้งนั้น
เธอเคืองอยู่!
แต่เคืองก็ส่วนหนึ่งเธอไม่ถูกใจตอนจบ ก็อีกเรื่องการไปคอมเมนต์ด่าทอหรือหักคะแนนหัวใจนักเขียนเธอไม่ทำเด็ดขาด เพราะคนเราความคิดเห็นต่างกันได้ไม่มีใครผิดใครถูก แต่เธอขัดใจไง!
“จบอะไรแบบนี้กันนะคุณนักเขียน! พระเอกฆ่าเมียกับลูกแท้ๆ เพราะระแวงกลัวเมียจะทรยศ คนแบบเจียงหลัวเนี่ยนะ จะทรยศรักอีพระเอกจนยอมทุกอย่างขนาดนั้น ส่วนเจียงหลีนอกจากเสียสละตัวเองยอมไปนอนกับตัวร้ายจนตั้งท้องก็ไม่เคยช่วยเหลืออะไรกลับยอมรับได้เฉย แต่ไม่ยอมรับลูกแท้ๆ โคตรไม่สมเหตุสมผล!”
ขณะนั้นเองเสียงไขและเปิดประตูห้องก็ดังแกรกขึ้น “อ้าว ไอ้รัมแกเป็นอะไร หน้าตาเหมือนคนโดนผัวนอกใจ”
เพียงจันทร์ เพื่อนร่วมห้องและร่วมคณะ กลับมาจากข้างนอกเห็นอรรัมภานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดจึงอดใส่ใจไม่ได้
“ฉันไม่เคยมีแฟน จะเอาผัวที่ไหนมานอกใจ” ตอบแล้วอรรัมภาก็เบะปากมองบน
“ฉันไม่ได้หมายถึงผัวในชีวิตจริง คนแบบแกก็ต้องผัวทิพย์ ผัวในซีรีส์ ผัวในโลกนิยายอยู่แล้วสิ ว่าไง ผัวคนล่าสุดนอกใจเหรอ” เพียงจันทร์ถามอย่างรู้จักอรรัมภาดี
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่เรื่องนี้แต่แรกฉันก็ไม่ได้เชียร์ไอ้พระเอกธงแดงอยู่แล้วที่รู้สึกเหมือนถูกหักหลังคงเป็นนักเขียนมากว่าน่ะแก่”
“ทำไมเหรอรัม?”
“ก็นิยายมันชื่อเรื่อง ‘บ่วงนางหงส์’ใช่ไหม และตลอดเรื่องสวีเจียงหลัวก็เป็นตัวเอกชูโรงมาตลอด นางเก่ง เฉลียวฉลาดมาก แล้วบทพระเอกก็มักพึ่งพาเจียงหลัวทุกสถานการณ์ แถมช่วงกลางเรื่อง อีพระเอกมันยังรับน้องสาวของเจียงหลัวเป็นพระชายารองอีกฉันเลยไม่ชอบมัน”
“เออ สมควรหมั่นไส้จริง เอาน้องเมียมาทำเมียอีกคนถ้าเป็นสมัย70ปีก่อนคงไม่แปลกแต่นี่มันปี2025แล้วไหม ทำไมถึงนักเขียนถึงให้บทนี้กับพระเอกวะ”
“ใช่ไหมล่ะ! แต่เห็นว่าแนวผัวชั่วมันขายดี คนเขียนเลยเขียนให้มันชั่วสุดทาง แต่ฉันก็ดันคาดหวัง ว่าตอนจบเจียงหลัวจะตาสว่าง จัดการพวกมัน แล้วอยู่สวยๆ กับลูกหรือหาสามีใหม่อะไรแบบนี้เพราะนางเก่งและฉลาดจะเป็นฮ่องเต้หญิงยังได้ แต่สุดท้ายดันตายอนาถ...โคตรจะนอยด์!”
เพียงจันทร์หัวเราะเบาๆ
“เออๆ เลิกนอยด์ก่อน วันนี้ฉันร่วมกิจกรรมรับน้องแทนแกไปแล้ว แต่คืนนี้แกหนีงานเลี้ยงไม่ได้นะ ไอ้รัม!”
อรรัมภาแค่นเสียงในลำคอ ดวงตาแดงก่ำเพราะทั้งโกรธทั้งเคือง แต่วันนี้เธอก็แอบกินแรงเพื่อนสาวคนสนิทจริง อาศัยที่เพียงจันทร์กำลังคุยๆ กับรุ่นพี่วันนี้เพราะไม่มีเรียน เธอจึงโดดกิจกรรมรับน้องแล้วให้เพื่อนลากับรุ่นพี่บอกว่าเธอป่วยแต่ความจริงเธอแค่อยากหยุดอยู่หอพักอ่านนิยายเท่านั้นเอง
“เฮ้อ! ขอฉันด่านักเขียนกับไอ้พระเอกเฮงซวยนี่อีกสิบประโยคได้ไหมแก”
“ไม่ต้องแล้ว แกคงนั่งด่ามาทั้งชั่วโมงแล้ว” เพียงจันทร์ถอนหายใจระอาคนยังไม่ยอมมูฟออนออกจากนิยายที่อ่านจบไปแล้ว
“คืนนี้แกต้องไปนะ ฉันขี้เกียจเป็นคนโกหกกับรุ่นพี่แล้ว”
“รู้แล้วน่า โอ๊ย! แต่ฉันยังโมโหอยู่เลยว่ะ”
“โมโหอะไรก็เก็บไว้ในใจ รีบไปอาบน้ำเลยไปอาบน้ำให้ใจเย็นไง หรือหากยังไม่เย็นแกก็กินเบียร์ล้างแค้นเอาดีไหม”
“เออ! อย่างนั้นคืนนี้ฉันต้องดื่มให้สาแก่ใจ จะได้เมาจนลืมตอนจบของยัยนักเขียนโรคจิตนั่นไปเสียที”
เสียงเพียงจันทร์หัวเราะออกมาเสียงพลิ้ว ก่อนจะเอ่ยเหน็บแนมแม่เพื่อนตัวดีของตนเองไปเล็กน้อย
“แกนี่มันจริงๆ เลยไอ้รัม จะโกรธอะไรขนาดนั้น”
“แกไม่ใช่สายนิยายจะไปเข้าใจอะไร!” อรรัมภาพูดแค่นั้นก็หายเข้าไปอาบน้ำ ก่อนจะกลับออกมาแล้วเพียงจันทร์ก็เข้าไปใช้ต่อ
ทว่า…สำหรับนาง กลับรู้ดี ว่าเป็นเพราะเขารู้จักชินอ๋องดีเกินไป มิใช่แค่รู้จักนิสัยของชินอ๋องดี แม้แต่นิสัยของพระนาง ขุนนางสองแผ่นดินตรงหน้าก็คงถ่องแท้เช่นกันถ่องแท้จนเข้าใจว่าหากเขารีบเอ่ยปาก ‘ขอร้อง’ ต่อหน้ามารดาเช่นนาง อาจกลายเป็นการยั่วไฟโทสะให้ลุกท่วมง่ายกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็นตัวของพระนางหรือไป๋อี้หานเองจ้านไทเฮาหลุบตาลงเล็กน้อย ในแววตาฉายความซับซ้อนทั้งเป็นห่วงสวีเจียงหลัว ทั้งโกรธบุตรชาย และทั้งอ่อนใจในคราเดียวกันเพียงชั่วอึดใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไป“เจ้ากล่าวว่า…ต้าหลัวบาดเจ็บหนัก…เป็นหรือตายมิอาจทราบ แต่กลับถูกชินอ๋องพาตัวไป…เช่นนั้นหรือ…อาฟ่าน”สุ้มเสียงนุ่มลึกล้ำซึ่งเคยสงบ บัดนี้ไม่หลงเหลือรอยตกพระทัยอีก มีเพียงความเด็ดขาดที่น่าหวาดเกรง“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ…”“เช่นนั้น…พวกเจ้าจึงยังไม่รู้เลยสินะ…ว่านางเป็นเช่นไรแล้วบ้างหลังจากอาหานพานางจากไป…”พระเนตรทอดลงต่ำ แววในดวงตาประหนึ่งพายุซึ่งค่อยๆ ก่อตัว“กราบทูลไทเฮา…”เสียงสวีฉีฟ่านสั่นพร่า มือใหญ่ที่คุกเข่ากำจนสั่น“ต้าหลัว…นางบาดเจ็บหนัก…กระหม่อมกับฮูหยินมิอาจตามไปตำหนักชินอ๋องได้…จนปัญญาจริงๆ พ่ะย่
“…”“…”สองสามีภรรยาสวีมิกล้าตอบคำถามนั้นของจ้านไทเฮาในทันใด แม้พระนางจะวางพระองค์เป็นกันเองเพียงใด แต่จะอย่างไร…ราชวงศ์ก็คือราชวงศ์ มิอาจวางใจได้ทั้งหมดจ้านไทเฮาประทับนิ่ง ดวงเนตรทอดมองร่างทั้งสองที่หมอบอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับทั้งกังขาทั้งไม่อยากเชื่อว่าที่ตนเองได้ยินนั้นเป็นความจริงสีพระพักตร์ของพระนางเผยอารมณ์ตื่นตระหนกชัดเจนมิอาจเก็บซ่อนอารมณ์ อาการดังกล่าวนี้แทบไม่เคยปรากฏให้ผู้ใกล้ชิดได้เห็นบ่อยนักทว่าวันนี้ ทุกคนล้วนได้เห็นเต็มสองตา และนั่นย่อมแสดงว่า คุณหนูใหญ่สวีผู้นี้ย่อมมีน้ำหนักในพระทัยจ้านไทเฮามากกว่าที่ใครเข้าใจอึดใจหนึ่ง พระวรกายที่เคยนั่งอิงหมอนค่อยๆ ขยับเหยียดตัวตรง เรียวพระหัตถ์วางบนตั่งหยก แล้วเผลอกำแน่น ดวงเนตรคู่งามเบิกขึ้นเล็กน้อย ริมพระโอษฐ์ขยับเปล่งวาจาถามย้ำ“พวกเจ้าสองผัวเมีย…” สุ้มเสียงนั้นจริงจังไม่หยอกล้ออีกแล้ว จนทุกคนที่ได้ฟังล้วนขนลุก“ใครก็ได้…พูดกับไอเจี่ยอีกครั้งเถอะ…ว่าที่ไอเจี่ยได้ยินเมื่อครู่…มิใช่เรื่องเพ้อฝัน…มิใช่เพราะไอเจี่ยหูฝาดไปเอง…”สองสามีภรรยาเหลือบตามองกันไปมา แล้วสวีฮูหยินก็พยักหน้าให้สามี…เป็นเชิงบอกให้ตอบแทนตน“ไทเฮามิได้ฟังผิดไปพ่
เวลาบ่ายคล้อย แสงแดดสีทองทอดเงายาวเหนือลานหินกว้างจนสุดสายตาสองสามีภรรยาสกุลสวีเดินตามขันทีเข้าสู่เขตพระราชฐานด้านในสองข้างทางเรียงรายด้วยต้นบ๊วยที่กำลังชูช่อดอกขาวสะพรั่งเต็มกิ่งหากในยามนี้กลับไม่มีผู้ใดคิดใส่ใจความงามนั้นแม้เพียงคนเดียวสวีฮูหยินยังคงก้าวเดินช้ารักษามารยาทสตรีชั้นสูงไว้อย่างดี แต่ลมหายใจของนางใน บ้างจังหวะก็มีสะดุดขาดเป็นห้วง ฝ่ามือเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความกังวลที่กัดกินทุกครั้งยามก้าวเดินไปข้างหน้า นางเคยชื่นชมความสงบของตำหนักหนิงเฟิ่งเสมอกว่าจะมาถึง พวกเขาใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามในที่สุด ประตูสูงประดับลายหงส์สยายปีก ปากคาบรวงข้าวสาลี จึงปรากฏในครรลองสายตาที่แห่งนี้คือเขตตำหนัก ‘หนิงเฟิ่ง’ ของจ้านไทเฮาสตรีผู้ทรงอำนาจสูงสุดแห่งวังหลังแม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องยำเกรงพระนางแสงแดดต้นยามเว่ยแผดจ้าเงาสะท้อนระยิบอยู่บนตัวอักษรสองคำ หนิงเฟิ่ง ที่หมายถึงหงส์ผู้สงบ...ชื่อที่ประกาศถึงพระปณิธานรักความสงบของเจ้าของตำหนักว่ามีมากเพียงใดทว่าในยามนี้ ความสงบนั้นกลับกดทับจิตใจของทั้งสองสามีภรรยาจนแทบสิ้นเรี่ยวแรงหลังสวีฉีฟ่านแจ้งกับขันทีเฝ้าตำหนักไม่นานนัก เสียงฝี
ลานหินอ่อนหน้าประตูวังหลวงของต้าหรงด้านใต้ในวันนี้ สะท้อนแสงอาทิตย์ต้นยามอู่จนเกิดไอร้อนลอยระยับในอากาศ มองไปราวกับเปลวเพลิงกำลังเริงระบำเสียงลมพัดเสียดสีกับธงสีดำที่ปักมังกรทองเหยียบเมฆา อยู่บนแผ่นผ้าที่ยอดเสาสูงโบกสะบัดจนเกิดเสียงหวีดหวิวน่าหวาดหวั่น คล้ายมังกรตัวนั้นกำลังคำรามข่มขู่ผู้คนทหารรักษาพระองค์เดินลาดตระเวนเข้มงวด นางกำนัลกับขันทีเดินเข้าออกประปรายใต้ร่มผ้าแพรสีอ่อน มีสตรีผู้หนึ่งยืนเงยหน้าจ้องประตูวัง ไม่ละสายตาด้วยกิริยาร้อนใจยิ่งนางคือสวีฮูหยิน ในอาภรณ์สีฟ้าครามแกมม่วง ใบหน้าของนางซีดขาว ดวงตาคลอหยาดน้ำตาจนขอบตาแดงช้ำบุตรสาวคนรองกับบุตรชายคนเล็กนางส่งกลับจวนไปแล้ว เหลือเพียงนางยืนรออยู่กับข่งหมัวมัวและสาวใช้อีกสองคน ด้วยเกรงจะเอิกเกริกจนผู้คนเพ่งมองแดดยิ่งแรง เหงื่อยิ่งซึมตามขมับ แต่หัวใจกลับร้อนราวไฟแผดเผามากกว่าแสงแดดยามอู่ข่งหมัวมัวมองแล้วเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน “ฮูหยิน…ขึ้นรถม้าสักครู่เถิดเจ้าค่ะ…”สวีฮูหยินส่ายหน้า แลเห็นน้ำตาเป็นเงาอยู่ในดวงตาไม่จาง “ไม่…ข้าจะรอท่านพี่ที่ตรงนี้”ไม่นานนัก ฝีเท้าหนักของคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านในอึดใจต่อมาบานประตูวังชั้นนอกถูกผ
ตอนที่ ๗เสียงล้อรถม้าบดผ่านถนนช่วงปลายยามเฉินด้วยความเร่งรีบ เงารถทอดยาวบนพื้น แล้วค่อย ๆ หดสั้นลงตามแสงอาทิตย์ที่เคลื่อนขึ้นสูงในยามอู่ (12 นาฬิกา) องครักษ์ชุดดำร่วมสองร้อยคนขนาบข้างแน่นหนา ชาวบ้านต่างรีบหลีกทางเมื่อเห็นขบวนเกรียงไกร คาดว่าต้องเป็นขุนนางผู้มีอำนาจสูงส่งหรืออาจเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ยิ่งใหญ่ จึงกล้าเฆี่ยนม้าบนถนนหลวงอย่างอุกอาจได้เช่นนี้ผ้าม่านหน้าต่างรถม้าถูกตลบขึ้น เผยสายตาคมเข้มที่จับจ้องทุกความเคลื่อนไหวขององครักษ์และฝีเท้าอาชาแม้ลมหายใจไป๋อี้หานจะราบเรียบ แต่ภายในอกกลับอึดอัดราวมีหินกดทับ อาจเพราะร่างบอบบางที่นอนนิ่งหนุนตักเขานั้นเริ่มเย็นเฉียบราวไร้ร่างวิญญาณขึ้นทุกขณะลมหายใจของนางก็แผ่วเบาแทบไม่เหลือเค้าลางของคนมีชีวิตจนเขาอดจะกดปลายนิ้วแตะลงบนชีพจรข้างลำคอเสียมิได้ หวังตรวจดูว่านางยังหายใจหรือไม่ เมื่อสัมผัสได้ว่ายังคงเต้นอยู่ แม้อ่อนระโหย ใบหน้าคมจึงคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย ก่อนหลุบตาจ้องใบหน้าซีดเผือดนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน“หวางเยี่ย ถึงตำหนักกวางผิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงฉีเหล่ยเอ่ยขึ้นเมื่อขบวนชะลอลงและหยุดสนิทในท้ายที่สุดไป๋อี้หาน จึงได้สติแล้วละสายตาจ
ตอนที่ ๖ เสียงเกือกม้าศึกนับร้อยกระทบพื้นถนนดังก้องสะท้อนทั่วตลาดตะวันตก ทุกสรรพสิ่งพลันเงียบงันราวต้องมนตร์ ผู้คนที่เพิ่งแตกตื่นต่างเบียดตัวถอยจนชิดแนวกั้น ทหารที่จัดเตรียมไว้ยืนเรียงแถวแน่นขนัด สายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความหวาดเกรง จนแม้แต่เสียงหายใจก็อึดอัดหนักอึ้งรถม้าคันใหญ่หรูหราที่มีอักษร หาน สีทองอร่ามประดับเด่น ชัดเจนในสายตาค่อย ๆ ชะลอหยุดลง ทหารองครักษ์ในเกราะดำสองแถวรั้งบังเหียนอาชาเรียงแถวราวกำแพงเหล็ก หน้าขบวนปักธงผ้าสีแดงเข้มลายกิเลนเพลิงเหยียบเมฆซึ่งเป็นธงประจำกองทัพอวี้หลินที่ชินอ๋องควบคุมอยู่ ทหารทุกนายจับด้ามกระบี่ประจำเอวแน่น ไม่มีใครกล้าไหวติงบัดนั้นเอง เสียงตวาดกังวานดุจอสนีพลันปะทุจากองครักษ์ร่างใหญ่บนหลังม้าสีน้ำตาลแดง เจ้าของนาม ฉีเหล่ย ผู้เป็นหัวหน้าขบวนและหัวหน้าองครักษ์เงาคุ้มกันชินอ๋องแห่งต้าหรง“เป็นผู้ใดบังอาจมาขวางรถม้าของชินอ๋องจนเสียขบวน?!”เสียงเย็นจัดเสียจนผู้คนพากันก้มหน้า ใจคิดตรงกันว่านี่แค่เสียงองครักษ์นำขบวนยังน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ หากเป็นชินอ๋องตัวจริง…จะน่ากลัวเพียงใดไม่ทันสิ้นความคิด ม่านแพรสีดำปักลายกิเลนหน้ารถม้าแผ่วไหว มือเรียวยาวเลิกม่า