ในหอพักนักศึกษาหญิงของมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านรังสิต เธอกำลังกวาดสายตาอ่านบรรทัดสุดท้ายของ นวนิยายจีนโบราณออนไลน์เรื่อง ‘บ่วงนางหงส์’ ในไอแพดด้วยกิริยาหน้านิ่วคิ้วขมวด
“สวีเจียงหลัวถูกฝังทั้งเป็น...ไป๋อี้เฉินครองบัลลังก์ปกครองต้าหรงกับยัยนางเอกเจ้ามารยาแบบเจียงหลีอย่างราบรื่นทั้งที่เด็กในท้องคือลูกของพระร้าย...จบ”
เรียวปากเล็กพึมพำฉากจบอีกครั้ง ก่อนใบหน้างามจะบิดเบี้ยวไม่ชวนมองสักนิด
“จบ...จบเชี่ยอะไรกัน! พระเอกฆ่าเมียพร้อมลูกตัวเองแท้ๆ แล้วเลี้ยงลูกชู้ตัวจริงเนี่ยนะ ไม่สมเหตุสมผลที่สุด!!!”
อรรัมภาหรือที่เพื่อน ๆ เรียกว่า ไอ้รัม ทิ้งไอแพดลงที่นอนด้วยท่าทางราวจะบ้าคลั่ง สองมือยกขึ้นขยี้ผมตัวเองในขณะที่ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาแทบไหลซึม ไม่ใช่เพราะซาบซึ้ง แต่เพราะอารมณ์โกรธแค้นในความชั่วร้ายที่พระเอกนางเอกของเรื่องได้ลงเอยอย่างแฮปปี้ ทั้งที่นางร้ายกับครอบครัวพร้อมลูกในท้องโดนฝังทั้งเป็นแบบโคตรจะอนาถ!
“หึ! ยัยคนแต่ง! นี่แกเป็นนักเขียนโรคจิตใช่ไหม!!”
เสียงด่าทอดังก้องไปทั่วห้องพัก ยังดีว่ารูมเมทของเธอยังคงไม่กลับมาไม่อย่างนั้นเธอคงโดนมันด่าอีกแน่ที่เอาแต่หมกมุ่นกับสามีทิพย์ในนิยายเกินไปอีกแน่นอน
“ฉันหรืออุตส่าห์รีบอ่าน ขนาดมีรายงานต้องส่งอาจารย์ในอีก3 วันแท้ๆ ฉันยังวางเอาไว้ก่อน วันนี้มีรับน้องฉันก็แอบโดดแล้วดูสิ ยัยนักเขียนโรคจิตนั่นกับเขียนตอนจบมาแบบนี้ ฉันจะเครซี่!”
เพราะพอเมื่อคืนพอแจ้งเตือนว่า e-book ออกใหม่เป็นนิยายของนักเขียนที่ตนเองติดตามและเป็นนิยายเรื่องเพรียวนางหงส์หญิงสาวก็ไม่รอช้ารีบจ่ายเงินซื้อทันที เพราะลุ้นมาตลอดว่าสุดท้ายตอนจบ สวีเจียงหลัวจะตาสว่างแล้ว ฆ่าทั้งไอ้พระเอกเฮงซวย กับยัยน้องสาวเจ้ามารยาจากนั้นตัวเองก็กลายเป็นไทเฮา เลี้ยงลูกสวยๆ ใครจะคิดจุดจบจะหักมุมได้ขนาดนี้ ไหนละบ่วงนางหงส์ที่ว่า บ่วงนางหงส์ที่เธอคิดกับที่นักเขียนวางพล็อตเอาไว้ดูทรงจะเป็นละความหมาย ยิ่งคิด อรรัมภาก็ยิ่งด่าทอผู้เขียนต่อไปด้วยความโกรธแค้น
“ยัยนักเขียนโรคจิต เขียนพระเอกได้สารเลว! ชั่วช้า! สันดานอัปรีย์! ไหนคำโปรยเอ่ยถึงสวีเจียงเพรียวแล้วยังเคยบอกว่าสวีเจียงหลัวเป็นลูกรักของนักเขียนที่สุดไง ที่ไหนได้ยัยนักเขียนตัวแสบเธอดันมาฆ่าลูกรักตัวเองตอนจบได้!”
เธอพ่นลมหายใจฟึดฟัด โมโหยัยนักเขียนโรคจิตจนด่าทอบรรพบุรุษอีกฝ่ายไปสิบแปดรุ่นได้ ด่าไปด่ามาเลยคอแห้งต้องหยิบขวดน้ำขึ้นกระดกทีเดียวครึ่งขวด ก่อนขยำผ้าขนหนูบนหัวลงมาเช็ดหน้าปาดเหงื่อแล้วถอดแว่นกลมที่เลื่อนหล่นมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
“แล้วอะไร...นางเอกใสซื่อ น่าสงสาร โอ๊ย! น่าสงสารพ่อง!”
อรรัมภายื่นมือไปหยิบมือถือ เปิดเรตติ้งในเว็บรีวิวทันที กวาดตาดูคะแนนหัวใจสีแดงห้าดวงเรียงพรืดพร้อมคอมเมนต์อวย
‘น้ำตาไหล พระเอกนางเอกสมกันที่สุด! และสะใจมาก นางร้ายได้ชดใช้กรรมที่เคยหลอกพระร้ายแบบไป๋อี้หาน!’ คอมเมนต์บนสุดว่าอย่านั้น
“สมกัน ใช่พระเอกนางเอกคือสมกันมาก สมกันอย่างกับผีเน่าโลงผุ! แล้วมาสะใจอะไรก่อน สะใจที่นางร้ายต้องตาย พวกเธอลืมอะไรไปไหม เจียงหลัวท้องอยู่นะ ไร้ศีลธรรมที่สุด!”
อรรัมภาถึงจะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่การนอกใจ และฆ่าลูกในไส้แบบนี้เธอค่อนข้างรับไม่ได้อย่างแรง แค่แต่งทั้งพี่และน้องตอนที่เธออ่านมาได้ครึ่งเรื่องก็เหลือรับแล้วนะ แต่ตอนจบแบบนี้นักอ่านพันธุ์แท้แบบเธอรับไม่ได้!
‘พระเอกคนดี รักมั่นที่สุด!’
“เวรเถอะ! รักมั่นกับผีนะสิ! เลือกเมียน้อยที่มาทีหลังไม่พอยัง ฆ่าเมียตัวเองพร้อมกับลูกด้วยวิธีฝังทั้งเป็นเนี่ยน่ะนะ! แล้วอะไรคือรักมั่นคง ถ้ามั่นคงจริง ต้องเลือกเจียงหลัวสิ ไม่ใช่เลือกแม่ดอกบัวขาวเจียงหลี!”
และยังอีกมากมายที่อวยทั้งนักเขียนและพระเอกนางเอก แต่กลับสาปแช่งนางร้ายเช่นสวีเจียงหลัว อรรัมภา โกรธนักเขียนนะ อยากไปเมนต์ด่าระบายอารมณ์ แต่คิดไม่คิดมา เธอมันพวกมีอารยธรรม ตนเองไม่ถูกใจก็ไม่ใช่ความผิดของนักเขียน นักศึกษาสาวจึงแค่กดให้หัวใจห้าดวงแต่ไม่รีวิวอะไรทั้งนั้น
เธอเคืองอยู่!
แต่เคืองก็ส่วนหนึ่งเธอไม่ถูกใจตอนจบ ก็อีกเรื่องการไปคอมเมนต์ด่าทอหรือหักคะแนนหัวใจนักเขียนเธอไม่ทำเด็ดขาด เพราะคนเราความคิดเห็นต่างกันได้ไม่มีใครผิดใครถูก แต่เธอขัดใจไง!
“จบอะไรแบบนี้กันนะคุณนักเขียน! พระเอกฆ่าเมียกับลูกแท้ๆ เพราะระแวงกลัวเมียจะทรยศ คนแบบเจียงหลัวเนี่ยนะ จะทรยศรักอีพระเอกจนยอมทุกอย่างขนาดนั้น ส่วนเจียงหลีนอกจากเสียสละตัวเองยอมไปนอนกับตัวร้ายจนตั้งท้องก็ไม่เคยช่วยเหลืออะไรกลับยอมรับได้เฉย แต่ไม่ยอมรับลูกแท้ๆ โคตรไม่สมเหตุสมผล!”
ขณะนั้นเองเสียงไขและเปิดประตูห้องก็ดังแกรกขึ้น “อ้าว ไอ้รัมแกเป็นอะไร หน้าตาเหมือนคนโดนผัวนอกใจ”
เพียงจันทร์ เพื่อนร่วมห้องและร่วมคณะ กลับมาจากข้างนอกเห็นอรรัมภานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดจึงอดใส่ใจไม่ได้
“ฉันไม่เคยมีแฟน จะเอาผัวที่ไหนมานอกใจ” ตอบแล้วอรรัมภาก็เบะปากมองบน
“ฉันไม่ได้หมายถึงผัวในชีวิตจริง คนแบบแกก็ต้องผัวทิพย์ ผัวในซีรีส์ ผัวในโลกนิยายอยู่แล้วสิ ว่าไง ผัวคนล่าสุดนอกใจเหรอ” เพียงจันทร์ถามอย่างรู้จักอรรัมภาดี
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่เรื่องนี้แต่แรกฉันก็ไม่ได้เชียร์ไอ้พระเอกธงแดงอยู่แล้วที่รู้สึกเหมือนถูกหักหลังคงเป็นนักเขียนมากว่าน่ะแก่”
“ทำไมเหรอรัม?”
“ก็นิยายมันชื่อเรื่อง ‘บ่วงนางหงส์’ใช่ไหม และตลอดเรื่องสวีเจียงหลัวก็เป็นตัวเอกชูโรงมาตลอด นางเก่ง เฉลียวฉลาดมาก แล้วบทพระเอกก็มักพึ่งพาเจียงหลัวทุกสถานการณ์ แถมช่วงกลางเรื่อง อีพระเอกมันยังรับน้องสาวของเจียงหลัวเป็นพระชายารองอีกฉันเลยไม่ชอบมัน”
“เออ สมควรหมั่นไส้จริง เอาน้องเมียมาทำเมียอีกคนถ้าเป็นสมัย70ปีก่อนคงไม่แปลกแต่นี่มันปี2025แล้วไหม ทำไมถึงนักเขียนถึงให้บทนี้กับพระเอกวะ”
“ใช่ไหมล่ะ! แต่เห็นว่าแนวผัวชั่วมันขายดี คนเขียนเลยเขียนให้มันชั่วสุดทาง แต่ฉันก็ดันคาดหวัง ว่าตอนจบเจียงหลัวจะตาสว่าง จัดการพวกมัน แล้วอยู่สวยๆ กับลูกหรือหาสามีใหม่อะไรแบบนี้เพราะนางเก่งและฉลาดจะเป็นฮ่องเต้หญิงยังได้ แต่สุดท้ายดันตายอนาถ...โคตรจะนอยด์!”
เพียงจันทร์หัวเราะเบาๆ
“เออๆ เลิกนอยด์ก่อน วันนี้ฉันร่วมกิจกรรมรับน้องแทนแกไปแล้ว แต่คืนนี้แกหนีงานเลี้ยงไม่ได้นะ ไอ้รัม!”
อรรัมภาแค่นเสียงในลำคอ ดวงตาแดงก่ำเพราะทั้งโกรธทั้งเคือง แต่วันนี้เธอก็แอบกินแรงเพื่อนสาวคนสนิทจริง อาศัยที่เพียงจันทร์กำลังคุยๆ กับรุ่นพี่วันนี้เพราะไม่มีเรียน เธอจึงโดดกิจกรรมรับน้องแล้วให้เพื่อนลากับรุ่นพี่บอกว่าเธอป่วยแต่ความจริงเธอแค่อยากหยุดอยู่หอพักอ่านนิยายเท่านั้นเอง
“เฮ้อ! ขอฉันด่านักเขียนกับไอ้พระเอกเฮงซวยนี่อีกสิบประโยคได้ไหมแก”
“ไม่ต้องแล้ว แกคงนั่งด่ามาทั้งชั่วโมงแล้ว” เพียงจันทร์ถอนหายใจระอาคนยังไม่ยอมมูฟออนออกจากนิยายที่อ่านจบไปแล้ว
“คืนนี้แกต้องไปนะ ฉันขี้เกียจเป็นคนโกหกกับรุ่นพี่แล้ว”
“รู้แล้วน่า โอ๊ย! แต่ฉันยังโมโหอยู่เลยว่ะ”
“โมโหอะไรก็เก็บไว้ในใจ รีบไปอาบน้ำเลยไปอาบน้ำให้ใจเย็นไง หรือหากยังไม่เย็นแกก็กินเบียร์ล้างแค้นเอาดีไหม”
“เออ! อย่างนั้นคืนนี้ฉันต้องดื่มให้สาแก่ใจ จะได้เมาจนลืมตอนจบของยัยนักเขียนโรคจิตนั่นไปเสียที”
เสียงเพียงจันทร์หัวเราะออกมาเสียงพลิ้ว ก่อนจะเอ่ยเหน็บแนมแม่เพื่อนตัวดีของตนเองไปเล็กน้อย
“แกนี่มันจริงๆ เลยไอ้รัม จะโกรธอะไรขนาดนั้น”
“แกไม่ใช่สายนิยายจะไปเข้าใจอะไร!” อรรัมภาพูดแค่นั้นก็หายเข้าไปอาบน้ำ ก่อนจะกลับออกมาแล้วเพียงจันทร์ก็เข้าไปใช้ต่อ
บทส่งท้ายส่วนเจียงหลัวและไป๋อี้หาน…ชีวิตคู่ของทั้งสองหาใช่ว่ามีเพียงความสุขราบเรียบ หากกลับเต็มไปด้วยทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปตามสัจธรรมของโลกมนุษย์ บางคราย่อมมีเสียงหัวเราะกังวานสะท้อนทั้งตำหนัก แต่ก็ใช่ว่าจะปราศจากเสียงทะเลาะถกเถียงตามประสาสามีภรรยาที่ครองคู่ร่วมชีวิตกันยาวนานทว่า กาลเวลาอันยืนยาวนับสิบ ๆ ปี พิสูจน์ชัดว่า ไม่มีพายุใดใหญ่หลวงพอจะพรากทั้งสองจากกันได้ ไม่ว่าลมฝนจะถาโถมแรงเพียงใด ไม่ว่าภัยร้ายจากภายนอกหรือความขัดแย้งเล็กน้อยจากภายใน ต่างก็ไม่อาจทำให้มือที่จับกันมั่นคงต้องปล่อยแยกยามราตรีสงัด แสงจันทร์ขาวนวลสาดต้องเรือนผมหงอกขาวโพลนของทั้งคู่ ร่างกายแม้ชรา แต่เมื่อดวงตาของทั้งสองสบประสาน แววประกายอ่อนโยนก็ยังส่องสว่าง ราวกับวันแรกที่ได้ร่วมชีวิต ไม่พร่อง ไม่เสื่อมคลายไปตามกาลเวลาเรื่องราวแห่งรักและแค้นบนแผ่นดินต้าหรง จึงปิดฉากลงด้วยความสงบสุขที่แท้จริง สวีเจียงหลัวหลุดพ้นจากวิบากกรรมที่ติดพันมาหลายภพหลายชาติ คำสาบานต่อท่านพญายมก็ได้ถูกปลดเปลื้องแม้เขานางจะเสียดายอยู่บ้างต่อความทรงจำที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่คำไหนก็คือคำไหน ชะตาต้องหมุนเวียนต่อไปนางได้รับโอกาสเวียนว่า
ในขณะที่ด้านนอกนครเสวียนหยางเต็มไปด้วยเสียงระฆังมงคลและรอยยิ้มยินดีภายในตำหนักเหมันต์กลับต่างออกไปประหนึ่งอยู่กันคนละโลกอากาศในเรือนหม่นหมอง อึมครึมราวกับมีเมฆดำบดบังตะวัน ทั้งที่แสงภายนอกสาดส่องเจิดจ้า ทว่าด้านในกลับเหมือนสวรรค์เองก็ไม่ปรารถนาจะทอดมองชะตาของผู้คนที่นี่ ความเงียบขรึมครอบคลุมไปทั่วทุกซอกมุม รั้วสูงและประตูหนาหนักปิดตายไม่ให้ผู้ใดเข้าออก กุญแจเหล็กดอกใหญ่แขวนอยู่ข้างประตูราวสัญลักษณ์ของการถูกกักขัง เสียงโซ่ตรวนเสียดสีกันในยามลมพัดพลันดังก้องสะท้อน ทำให้ทุกค่ำคืนคล้ายเสียงวิญญาณร่ำไห้สวีเจียงหลีถูกจองจำอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้มานานหลายเดือน นางนั่งก้มหน้ากุมหน้าท้องที่เริ่มปรากฏความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ควรจะเปี่ยมสุขของสตรีตั้งครรภ์กลับไม่ปรากฏ มีเพียงแววตาหวาดหวั่นและความกังวลใจแผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า ยิ่งนับวันครรภ์นางยิ่งโตขึ้น นางก็ยิ่งแน่ใจว่าตนกำลังตั้งครรภ์จริง ๆหากเป็นสตรีอื่น คงเต็มไปด้วยความยินดี แต่สำหรับเจียงหลี มันคือฝันร้าย เพราะนางรู้อย่างแจ่มชัดว่าหากอี้เฉินรู้ นางจะไม่มีวันรอดพ้นแรกเริ่ม อี้เฉินมิได้เข้มงวดเรื่องยาห้ามครรภ์นัก แต่หลังเขากลั
รุ่งอรุณวันใหม่ เสียงกลองยามเช้าและระฆังวังหลวงดังขึ้นพร้อมกัน เจิดจ้าไปด้วยแสงตะวันอุ่นที่สาดส่องเหนือกำแพงวัง ประตูท้องพระโรงเปิดออกทีละชั้น เหล่าขุนนางก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ด้วยท่วงท่าสงบเคร่งขรึมเบื้องสูง บัลลังก์มังกรประดับมุขทองตั้งตระหง่าน หย่งหมิงฮ่องเต้ประทับเหนืออาสน์มังกรในอาภรณ์สีทอง พระพักตร์สงบเยือกเย็น หากในพระเนตรลึกเร้นยังมีเงาความเหน็ดเหนื่อยจากหลายปีแห่งการครองราชย์ ทว่าครานี้กลับฉายความปลื้มปีติแผ่วบางอยู่บนพระพักตร์เสียงขันทีขานพระนามก้อง “ชินอ๋องไป๋อี้หาน น้อมถวายรายงานใต้เบื้องพระยุคลบาท!”ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เต็มยศสีดำปักดิ้นทองก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ทุกย่างเท้าหนักแน่นก้องสะท้อนทั่วพื้นหินหยก ไป๋อี้หานก้าวมาหยุด ณ เบื้องหน้าโถงมังกร คุกเข่าลงโขกศีรษะถวายบังคม“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี พ่ะย่ะค่ะ”หย่งหมิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงมา พระสุรเสียงเข้มทุ้มต่ำดังไปทั่วโถง “ลุกขึ้นเถอะ อี้หาน”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”“เป็นเช่นไรบ้าง สถานการณ์ที่หุบเขาอวิ๋นเซิง กบฏเหล่านั้นบัดนี้สิ้นซากแล้วหรือไม่?”ไป๋อี้หานประสานมือขึ้น น้อมกายรายงานเสียงชัดเจน “กราบท
ไออุ่นของน้ำสมุนไพรลอยคลุ้งปกคลุมไปทั่วห้องหิน เสียงหยดน้ำกระทบพื้นดังแผ่ว ๆ ร่างสูงใหญ่ของไป๋อี้หานเอนกายนั่งอยู่ในอ่างหิน ดวงตาคมเข้มทอดมองสตรีตรงหน้าที่กำลังถลกแขนเสื้อเช็ดแผ่นหลังให้เขาอย่างเบามือเจียงหลัวก้มหน้ามิกล้าเอ่ยวาจา ความคิดถึงที่เก็บกดมานานกว่าครึ่งเดือนตั้งแต่เขาจากไปเหมือนจะพรั่งพรูออกมากับทุกสัมผัสที่นางถนอมมอบให้ ยามผ้าเนื้อนุ่มลูบไล้ผ่านรอยแผลเก่า หัวใจนางก็หวิวไหว ทั้งยินดีที่ครานี้เขากลับมาโดยปลอดภัยไป๋อี้หานมองเสี้ยวหน้าขาวผ่องที่เงยขึ้นเพียงเล็กน้อย ดวงเนตรมืดลึกพลันแฝงรอยยิ้มบาง เสียงทุ้มแหบพร่าดังขึ้น“ต้าหลัว…พวกเราร่วมหอกันมาครึ่งปีแล้ว เหตุใด…”เจียงหลัวชะงักปลายนิ้ว เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาสงสัยปนขวยเขิน “อันใดหรือเพคะ?”บุรุษรูปงามยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เอ่ยคำเรียบง่ายทว่าหนักแน่น“เหตุใด…เจ้าจึงยังไม่มีเจ้าก้อนแป้งน้อยให้ข้าสักคราเล่า?”เจียงหลัวเบิกตาโตทันทีเมื่อฟังคำถาม อี้หานจึงกล่าวต่อ“นับจากวันแต่งงาน ข้าก็ขยันขันแข็งชวนเจ้าปั้นแป้งทุกค่ำคืน อาจเว้นบ้างยามบาดเจ็บจากศึกเจียงเหอ แต่ก่อนจะไปอวิ๋นเซิง ข้าก็…เต็มที่จนเกือบถึงรุ่งสางนะ”คำพูดตรงไปตรงมาทำใ
สายลมวสันต์ยามสายพัดผ่านม่านลูกไม้สีขาวบางของตำหนักกวางผิง แสงตะวันอ่อนลอดผ่านช่องว่างโปร่งบางเป็นริ้วระยับต้องพื้นระเบียง เงาไม้โยกไหวดังคลื่นเล็กในสระน้ำ บรรยากาศเงียบสงบประหนึ่งแผ่นดินที่เพิ่งผ่านพายุใหญ่สวีเจียงหลัวเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้สลักลวดลายวิจิตร ดวงตาคู่งามทอดมองไปไกล มือเรียวยกถ้วยชาที่อบอวลด้วยกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ขึ้นจรดริมฝีปาก ไออุ่นของน้ำชาคลอเคลียปลายจมูก แต่ความอบอุ่นนั้นหาได้ชะล้างความเย็นเยียบในดวงตานางไม่แม้หลายวันมานี้นางมิได้ก้าวออกจากตำหนักกวางผิงสักก้าว แต่ทุกความเคลื่อนไหวในนครเสวียนหยางกลับไม่เคยหลุดพ้นหูตาของนางเลยแม้แต่น้อยหลันถิง นางกำนัลคนสนิท ก้าวเข้ามาคุกเข่ารายงานด้วยเสียงหนักแน่น“ชินหวางเฟย เพียงไม่กี่วัน ตระกูลใหญ่สิบกว่าสกุล ที่คอยเป็นมือเป็นเท้าให้กับองค์ชายสาม ถูกจวิ้นอันโหวกักขังไว้ในจวน รอชินอ๋องเสด็จกลับมาเพื่อประหารให้สิ้นแล้วเพคะ”สายตาของเจียงหลัววูบไหวเล็กน้อย ก่อนกลับมาเย็นชาเช่นเดิม หลันถิงยังมิหยุดรายงาน“พอองค์ชายสามทราบความ เขาเดือดดาลยิ่งนัก พอดีกับพระชายาสามเจียวและคนสนิทคิดหลบหนี ถูกเขาสังหารด้วยมือตนเองจนสิ้นแล้วเพคะ”เงียบไปค
กองทัพอวี้หลินซึ่งชินอ๋องทรงนำด้วยพระองค์เอง เคลื่อนพลออกจากประตูเมืองเสวียนหยางในต้นยามเหม่า เสียงฝีเท้าม้าศึกนับหมื่นดังสนั่นราวกลองศึกสะท้อนก้องไปทั่วสะท้านฟ้าสะเทือนปฐพีสายลมต้นฤดูวสันต์พัดเอาฝุ่นผงคละคลุ้งฟุ้งกระจาย ถนนดินแข็งเป็นร่องลึกจากกีบม้าและล้อเกวียน พื้นหญ้าเหี่ยวแห้งยังเกาะหยาดน้ำค้างระยิบระยับต้องแดดยามเช้า ธงศึกสีดำขลิบทองปักตัวกิเลนเพลิงเหยียบเมฆาโบกสะบัดกลางอากาศ ดุจเงาพญามัจจุราชนำทัพออกล่าเหยื่อสองฟากฝั่งถนน ชาวบ้านก้มศีรษะส่งเสียงอวยพร แม้มิรู้แน่ชัดว่าทัพใหญ่มุ่งไปที่ใด แต่ทุกครั้งที่อวี้หลินเคลื่อนพล ภายใต้การนำของชินอ๋องเทพสังหารผู้เกรียงไกรแห่งต้าหรง ล้วนเพื่อปกป้องแผ่นดินและประชาราษฎร์ทั้งสิ้นทว่าเพียงหนึ่งชั่วยามหลังทัพใหญ่ลับสายตา เสียงขันทีหลวงอ่านพระราชโองการก็ดังก้องไปทั่วลานหน้าตำหนักเหมันต์“องค์ชายสามไป๋อี้เฉิน คิดการใหญ่ ซ่องสุมกองกำลังลับ หวังก่อกบฏล้มราชบัลลังก์ อีกทั้งยังยักยอกเงินหลวงสะสมเสบียง โทษถึงตาย! แต่ด้วยพระเมตตาที่บิดามีต่อบุตร เจิ้นจึงลงทัณฑ์เพียงสั่งปิดตำหนักเหมันต์ กักขังตลอดชีวิต หากละเมิดก้าวออกแม้เพียงครึ่งก้าว ให้ตัดศีรษะได้ใน