หน้าหลัก / รักโบราณ / นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี! / ตอนที่๒||เมื่อสวรรค์ทอดทิ้งข้าแต่พญายมกลับเห็นใจ

แชร์

ตอนที่๒||เมื่อสวรรค์ทอดทิ้งข้าแต่พญายมกลับเห็นใจ

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-03 07:16:31

ตอนที่๒||เมื่อสวรรค์ทอดทิ้งข้าแต่พญายมกลับเห็นใจ

ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของ นางสาวอรรัมภา จิตพิสุทธิ์ สิ้นสุดลงพร้อมกับจิตสุดท้ายที่น้อยอกน้อยใจสวรรค์ความมืดกลืนกินทุกสรรพสิ่ง โลกของนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ปีที่2 เงียบงันจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด

คล้ายกับหญิงสาวตกลงไปอยู่ในห้วงอวกาศ กว้างใหญ่แต่ว่างเปล่า ทว่าไม่หนาวเหน็บกัดลึกเข้ากระดูกดังที่เคยได้ยินได้ฟังมา กลับอบอุ่นกำลังสบาย แต่รอบข้างมีแค่ความเงียบงันไม่มีแม้แต่เสียงของลมพัดหวีดหวิว

และในห้วงว่างนั้นเองกลับมีเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในห้วงคำนึงของวิญญาณสาว

“เจ้า…ช่างเป็นคนประหลาดนัก…มีแต่ผู้คนขอพรจากสวรรค์ แต่เจ้ากลับใฝ่หานรก…ครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่ข้าก็ชอบนะ…เพราะคนเช่นเจ้ายากนักจะหาเจอในหนึ่งหมื่นปี”

เสียงนั้นหนักแน่น เหมือนสะท้อนออกมาจากใต้ดินหมื่นฟุต อรรัมภาลืมตาขึ้นช้า ๆ พบว่าตัวเองยืนอยู่กลางลานกว้างมิได้มืดมิดทว่าก็มิได้สว่างไสว คงเพราะรอบกายมีหมอกสีเทาลอยอ้อยอิ่งอยู่เต็มไปหมดก็เป็นได้

ตรงหน้าคือร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสากลดำยี่ห้อดัง ใบหน้าขาวราวกับหยก แต่เครื่องหน้าของเขากลับคมเข้มโดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นทั้งว่างเปล่าและมืดสนิทจนดูน่ากลัวและหนาวเหน็บไปพร้อมกัน

เขาคือท่านพญายม...

เสียงในหัวดังบอกกับอรรัมภาเช่นนั้นแต่แทนที่อรรัมภาจะทันได้คิดหวาดกลัวเพราะได้พบกับจ้าวแห่งขุมนรก ทว่าหญิงสาวกลับมัวแต่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าตนเองเคยพบกับเขามาก่อนจนลืมความกลัวที่สมควรจะมีไปชั่วขณะเพราะมัวนึกว่าตนเองไปเคยพบเคยเจอพญายมได้อย่างไร และที่ไหน

ท่านพญามัจจุราชเชียวนะไม่ใช่คนปกติทั่วไปที่จะบังเอิญไปเดินชนอีกฝ่ายได้!

“ไม่ต้องสงสัย” เสียงเขาดังขึ้น ราบเรียบจนชวนขนลุกยังดีวิญญาณไม่มีอะไรแบบนั้น

“นับจากครั้งแรกที่เจ้าขอพรจากนรก เราก็พบกันแล้ว…สองพันเอ็ดครั้ง”

“…ฉันน่ะนะ เจอท่านมาแล้วตั้งสองพัน…เอ็ดครั้ง?”

พอจบคำถามดังกล่าวเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกหลุดจากริมฝีปากสีซีดของท่านพญายม ราวกระดิ่งลมในคืนหิมะ

“เจ้าลืมแล้วหรือ สวีเจียงหลัว…ลืมความเจ็บปวดที่ถูกฝังทั้งเป็นในโลงไม้พร้อมกับลูกในครรภ์ เจ้าลืมเสียงกรีดร้องของตนเองที่ไม่มีใครได้ยิน ลืมดวงตาของสวามีที่มองเจ้าด้วยความเมินเฉย…ลืมแล้วหรือกับสายตาเย้ยหยันของน้องสาวตัวดีผู้นั้น”

“!!?”

อรรัมภาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และยิ่งเสียขวัญหนักขึ้นหลังท่านพญายมโบกมือหนึ่งภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้าถาโถม

จนดวงจิตของอรรัมภาสั่นสะท้านไหวเอนไปมาราวกับผืนผ้าถูกลมพายุพัดพาจนปลิวไสว หลังภาพบางอย่างแทรกเข้ามาในหัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับน้ำหลาก

เสียงลมโหยหวนในสุสานรกร้าง แรงตะกุยเล็บใส่ฝากระดานจนเล็บหลุดหายเหลือเพียงเนื้อแท้แต่ฝาโลงก็ยังไม่ขยับแม้แต่น้อย

อาการปวดท้องอย่างรุนแรงตามมาด้วยความรู้สึกได้ถึงอาการตกเลือดที่บอกแก่สวีเจียงหลัวว่าบัดนี้ลูกน้อยในครรภ์จากนางไปแล้ว ความรู้สึกแตกสลายอยู่มิสู้ตาย

“นี่มัน…”

เสียงเธอสั่นเคือง คล้ายน้ำตาคลอขึ้นมาเต็มสองตาทั้งที่ขณะนี้เธอคือดวงจิตเท่านั้นไม่มีน้ำตาอยู่จริง เพราะความเจ็บแค้นมันอัดแน่นเกินไปเลยมีความรู้สึกดังกล่าวเด่นชัดนัก

“...ฉันคือสวีเจียงหลัว…จริงหรือ?”

ความสิ้นหวัง ความคับแค้นใจนับพันปี ตีตื้นขึ้นมาจนเจ็บร้าวคล้ายดวงจิตจะแตกสลาย

“ใช่” ท่านพญายมตอบรับคำหนักแน่น

“และทุกชาติที่ผ่านมา เจ้าล้มเหลว…เพราะความใจอ่อนมีเมตตา เป็นคนดีเกินไป อาจเป็นที่เจ้าคงมีความเชื่อว่าสวรรค์จะเห็นความดีกระมัง จึงมิอาจปล่อยวางความดีเดินเข้าสู่หนทางชั่วร้าย ได้สักครา”

ริมฝีปากอรรัมภาหรือในอดีตคือสวีเจียงหลัวกระตุกยิ้มทั้งที่ภายในใจเต็มไปด้วยเพลิงแค้นสุมทรวง!

“สวรรค์? สวรรค์ที่มองดูข้าถูกฝังทั้งเป็น…สวรรค์ที่ปล่อยให้ข้าต้องตายเพราะช่วยคนซ้ำแล้วซ้ำเล่า…?”

เสียงของเธอขาดห้วง สั่นเครือ

“ตลอดสองพันเอ็ดชาติ…ข้าทำได้แค่…ตายอย่างอนาถราวกับหมาข้างถนนตัวหนึ่ง เพื่อความดีไร้ค่าของตัวเอง…เพราะตัดอาลัยจากสวรรค์มิได้ น่าขันนัก!”

จากหมอกสีเทาอ่อนคล้ายควันบุหรี่ลอยวนรอบดวงจิตของอรรัมภาเช่นท่านพญายมค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีเทาอมม่วงและกลายเป็นแดงเข้มเกือบดำสนิทในท้ายที่สุดซึ่งเกิดจากแรงอาฆาตแค้นรุนแรงของดวงจิต มุมปากสีเข้มของท่านพญายมยกยิ้มพึงใจ ก่อนเสียงเขาจะดังขึ้น

“เจ้ารู้ดีว่าทุกชาติ ข้าเสนอทางเลือกเดียว โอกาสให้เจ้าได้แก้แค้นสักครั้ง แลกกับสิ่งเดียว…ห้ามเจ้าทำความดี ห้ามช่วยผู้คน ต่อให้คนผู้นั้นจะน่าสงสารเพียงใดก็ห้ามใจอ่อนมีเมตตา!”

คราวนี้อรรัมภาหัวเราะเสียงขมขื่นออกมาแล้วจริงๆ เพราะตามข้อตกลงตลอดสองพันเอ็ดครั้งทุกชาติหญิงสาวไม่เคยทำได้ตามข้อแลกเปลี่ยนเดียวที่ท่านพญายมเสนอให้คือห้ามทำความดี ต่อให้เห็นจะตายต่อหน้าก็ห้ามเข้าไปช่วย ดังนั้นทุกครั้งที่เกิดใหม่มาสองพันเอ็ดชาติ พออายุครบ ยี่สิบปีบริบูรณ์ หรือเท่ากับตอนที่สวีเจียงหลัวถูกฝังทั้งเป็นคราวนั้น หญิงสาวจึงจบชีวิตแล้วกลับมาพบกับท่านพญายมที่ตรงนี้เสมอ

“แล้วข้าก็ยังคงทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนต้องตายซ้ำตายซากถึงสองพันเอ็ดครั้ง เพราะดันคิดจะเป็นคนดีให้สวรรค์เห็นใจ หึ ดียิ่งนัก!”

“คราวนี้…เจ้าจะเลือกอย่างไร?” เสียงของท่านพญายมที่ดูหนุ่มแน่นไม่เหมือนดังเรื่องเล่ามากมายกดต่ำ เย็นชาราวจะแช่แข็งทุกสรรพชีวิตในใต้หล้า

“แต่คราวนี้มีข้อแม้มากกว่าทุกครั้งที่เจ้าได้โอกาสนะ”

“ข้อแม้อันใดเจ้าค่ะ”

ข้อแม้ว่าชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้าย โอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว หากเจ้ายังใจอ่อน เป็นคนดี เข้าช่วยคนเฉียดตายอีก เจ้าจะตายแทนคนผู้นั้น แล้วจะตกนรก ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไปชั่วกัปชั่วกัลป์เจ้ายินดีจะยอมแลกหรือไม่”

“……”

เป็นข้อแม้ที่เลือกได้ยากเสียจริง อรรัมภา หรืออดีตก็คือสวีเจียงหลัวนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง

“มีทางเลือกเดียวหรือคะ?”

“แน่นอนว่าข้ามีเมตตา เหลือทางเลือกให้เจ้าอีกข้อ หากเข้าไม่เลือกข้อแรก ข้อสองเจ้าสามารถไปเกิดใหม่ได้ แต่เป็นการเวียนว่ายตายเกิดตามวัฏสงสารมิอาจหานกลับไปแก้แค้นได้อีก”

ดวงจิตอาฆาตพลันสั่นสะท้านกับข้อเสนอดังกล่าว คล้ายมีหมอกเย็นเกาะหนาทั่วแผ่นหลัง หากเลือกทางสอง ไปเกิดใหม่ ไม่จองเวร ไม่แก้แค้นย่อมไม่ใช่นางแล้ว จะต้องยอมลืมทุกอย่าง ยอมให้อีกสองคนอยู่สุขสบายในชะตาเดิม ความคิดนั้นเหมือนไฟเผาไหม้อยู่ภายในอกยากจะทนไหว

วิญญาณสาวคิดอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจได้ แค้นในใจอัดแน่น คนอื่นไม่รู้ หรือหากยังเป็นเพียงอรรัมภาอยู่ไม่ได้รับรู้ว่าอดีตตนเองคือสวีเจียงหลัวอาจปล่อยวางแล้วไปเกิดใหม่ได้

แต่เพราะครู่ก่อนหญิงสาวได้ซาบซึ้งถึงวาระสุดท้ายของสวีเจียงหลัวแล้ว ในนิยายที่อ่านไม่อาจกล่าวถึงได้ว่ามันคือทุกข์แสนสาหัส ดังนั้นต่อให้คราวนี้คือโอกาสสุดท้าย หญิงสาวก็ยอม

“ข้าเลือกข้อแรกเจ้าค่ะ”

“ดี! ต้องเช่นนี้สิ จึงสมกับที่ข้าให้โอกาสเจ้ามาถึงสองพันเอ็ดครั้ง!”

เขากล่าวจบหมอกสีเทาเข้มจนเกือบเป็นสีดำสนิทขุมใหญ่ก็พุ่งเข้าหาดวงจิตของอรรัมภารวดเร็วเพียงแค่พริบตา อรรัมภารู้สึกคล้ายตนเองจะหายใจไม่ออกทั้งที่คนตายแล้วไม่มีลมหายใจ ก่อนจะรู้สึกหนาวยะเยือกจนถึงกระดูก!

ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ อรรัมภายังพึมพำเสียงแผ่วว่า...

“สวรรค์ทอดทิ้งข้า…อย่าโทษว่าข้าจะละทิ้งสวรรค์ก็แล้วกันคราวนี้…”

เสียงทุ้มของพญายมลอยมาเป็นครั้งสุดท้าย “ตัดอาลัยจากสวรรค์เสียที…เจียงหลัว หากเจ้าจะเกิดใหม่”

“สามพันปีแล้วหากคราวนี้เจ้ายังอาวรณ์สวรรค์อยู่อีกแค้นของเจ้าคงหมดโอกาสแล้ว แต่หากเจ้าเลือกจะเป็นลูกรักของข้า จ้าวแห่งขุมนรก…แค้นใดที่เจ้าคาดหวังจะสำเร็จแน่!”

จบเสียงตวาดกึกก้องพลันนั้นความหนาวเหน็บก็ยิ่งกัดลึกจนถึงแก่นวิญญาณ ความมืดมิดก็เริ่มกลืนทุกสรรพสิ่ง เหลือเพียงเปลวเพลิงอาฆาตในหัวใจที่ไม่อาจมอดดับของนาง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   บทส่งท้าย

    บทส่งท้ายส่วนเจียงหลัวและไป๋อี้หาน…ชีวิตคู่ของทั้งสองหาใช่ว่ามีเพียงความสุขราบเรียบ หากกลับเต็มไปด้วยทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปตามสัจธรรมของโลกมนุษย์ บางคราย่อมมีเสียงหัวเราะกังวานสะท้อนทั้งตำหนัก แต่ก็ใช่ว่าจะปราศจากเสียงทะเลาะถกเถียงตามประสาสามีภรรยาที่ครองคู่ร่วมชีวิตกันยาวนานทว่า กาลเวลาอันยืนยาวนับสิบ ๆ ปี พิสูจน์ชัดว่า ไม่มีพายุใดใหญ่หลวงพอจะพรากทั้งสองจากกันได้ ไม่ว่าลมฝนจะถาโถมแรงเพียงใด ไม่ว่าภัยร้ายจากภายนอกหรือความขัดแย้งเล็กน้อยจากภายใน ต่างก็ไม่อาจทำให้มือที่จับกันมั่นคงต้องปล่อยแยกยามราตรีสงัด แสงจันทร์ขาวนวลสาดต้องเรือนผมหงอกขาวโพลนของทั้งคู่ ร่างกายแม้ชรา แต่เมื่อดวงตาของทั้งสองสบประสาน แววประกายอ่อนโยนก็ยังส่องสว่าง ราวกับวันแรกที่ได้ร่วมชีวิต ไม่พร่อง ไม่เสื่อมคลายไปตามกาลเวลาเรื่องราวแห่งรักและแค้นบนแผ่นดินต้าหรง จึงปิดฉากลงด้วยความสงบสุขที่แท้จริง สวีเจียงหลัวหลุดพ้นจากวิบากกรรมที่ติดพันมาหลายภพหลายชาติ คำสาบานต่อท่านพญายมก็ได้ถูกปลดเปลื้องแม้เขานางจะเสียดายอยู่บ้างต่อความทรงจำที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่คำไหนก็คือคำไหน ชะตาต้องหมุนเวียนต่อไปนางได้รับโอกาสเวียนว่า

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   ตอนที่ 82 (ตอนจบ)

    ในขณะที่ด้านนอกนครเสวียนหยางเต็มไปด้วยเสียงระฆังมงคลและรอยยิ้มยินดีภายในตำหนักเหมันต์กลับต่างออกไปประหนึ่งอยู่กันคนละโลกอากาศในเรือนหม่นหมอง อึมครึมราวกับมีเมฆดำบดบังตะวัน ทั้งที่แสงภายนอกสาดส่องเจิดจ้า ทว่าด้านในกลับเหมือนสวรรค์เองก็ไม่ปรารถนาจะทอดมองชะตาของผู้คนที่นี่ ความเงียบขรึมครอบคลุมไปทั่วทุกซอกมุม รั้วสูงและประตูหนาหนักปิดตายไม่ให้ผู้ใดเข้าออก กุญแจเหล็กดอกใหญ่แขวนอยู่ข้างประตูราวสัญลักษณ์ของการถูกกักขัง เสียงโซ่ตรวนเสียดสีกันในยามลมพัดพลันดังก้องสะท้อน ทำให้ทุกค่ำคืนคล้ายเสียงวิญญาณร่ำไห้สวีเจียงหลีถูกจองจำอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้มานานหลายเดือน นางนั่งก้มหน้ากุมหน้าท้องที่เริ่มปรากฏความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ควรจะเปี่ยมสุขของสตรีตั้งครรภ์กลับไม่ปรากฏ มีเพียงแววตาหวาดหวั่นและความกังวลใจแผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า ยิ่งนับวันครรภ์นางยิ่งโตขึ้น นางก็ยิ่งแน่ใจว่าตนกำลังตั้งครรภ์จริง ๆหากเป็นสตรีอื่น คงเต็มไปด้วยความยินดี แต่สำหรับเจียงหลี มันคือฝันร้าย เพราะนางรู้อย่างแจ่มชัดว่าหากอี้เฉินรู้ นางจะไม่มีวันรอดพ้นแรกเริ่ม อี้เฉินมิได้เข้มงวดเรื่องยาห้ามครรภ์นัก แต่หลังเขากลั

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   ตอนที่ 81

    รุ่งอรุณวันใหม่ เสียงกลองยามเช้าและระฆังวังหลวงดังขึ้นพร้อมกัน เจิดจ้าไปด้วยแสงตะวันอุ่นที่สาดส่องเหนือกำแพงวัง ประตูท้องพระโรงเปิดออกทีละชั้น เหล่าขุนนางก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ด้วยท่วงท่าสงบเคร่งขรึมเบื้องสูง บัลลังก์มังกรประดับมุขทองตั้งตระหง่าน หย่งหมิงฮ่องเต้ประทับเหนืออาสน์มังกรในอาภรณ์สีทอง พระพักตร์สงบเยือกเย็น หากในพระเนตรลึกเร้นยังมีเงาความเหน็ดเหนื่อยจากหลายปีแห่งการครองราชย์ ทว่าครานี้กลับฉายความปลื้มปีติแผ่วบางอยู่บนพระพักตร์เสียงขันทีขานพระนามก้อง “ชินอ๋องไป๋อี้หาน น้อมถวายรายงานใต้เบื้องพระยุคลบาท!”ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เต็มยศสีดำปักดิ้นทองก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ทุกย่างเท้าหนักแน่นก้องสะท้อนทั่วพื้นหินหยก ไป๋อี้หานก้าวมาหยุด ณ เบื้องหน้าโถงมังกร คุกเข่าลงโขกศีรษะถวายบังคม“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี พ่ะย่ะค่ะ”หย่งหมิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงมา พระสุรเสียงเข้มทุ้มต่ำดังไปทั่วโถง “ลุกขึ้นเถอะ อี้หาน”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”“เป็นเช่นไรบ้าง สถานการณ์ที่หุบเขาอวิ๋นเซิง กบฏเหล่านั้นบัดนี้สิ้นซากแล้วหรือไม่?”ไป๋อี้หานประสานมือขึ้น น้อมกายรายงานเสียงชัดเจน “กราบท

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   ตอนที 80

    ไออุ่นของน้ำสมุนไพรลอยคลุ้งปกคลุมไปทั่วห้องหิน เสียงหยดน้ำกระทบพื้นดังแผ่ว ๆ ร่างสูงใหญ่ของไป๋อี้หานเอนกายนั่งอยู่ในอ่างหิน ดวงตาคมเข้มทอดมองสตรีตรงหน้าที่กำลังถลกแขนเสื้อเช็ดแผ่นหลังให้เขาอย่างเบามือเจียงหลัวก้มหน้ามิกล้าเอ่ยวาจา ความคิดถึงที่เก็บกดมานานกว่าครึ่งเดือนตั้งแต่เขาจากไปเหมือนจะพรั่งพรูออกมากับทุกสัมผัสที่นางถนอมมอบให้ ยามผ้าเนื้อนุ่มลูบไล้ผ่านรอยแผลเก่า หัวใจนางก็หวิวไหว ทั้งยินดีที่ครานี้เขากลับมาโดยปลอดภัยไป๋อี้หานมองเสี้ยวหน้าขาวผ่องที่เงยขึ้นเพียงเล็กน้อย ดวงเนตรมืดลึกพลันแฝงรอยยิ้มบาง เสียงทุ้มแหบพร่าดังขึ้น“ต้าหลัว…พวกเราร่วมหอกันมาครึ่งปีแล้ว เหตุใด…”เจียงหลัวชะงักปลายนิ้ว เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาสงสัยปนขวยเขิน “อันใดหรือเพคะ?”บุรุษรูปงามยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เอ่ยคำเรียบง่ายทว่าหนักแน่น“เหตุใด…เจ้าจึงยังไม่มีเจ้าก้อนแป้งน้อยให้ข้าสักคราเล่า?”เจียงหลัวเบิกตาโตทันทีเมื่อฟังคำถาม อี้หานจึงกล่าวต่อ“นับจากวันแต่งงาน ข้าก็ขยันขันแข็งชวนเจ้าปั้นแป้งทุกค่ำคืน อาจเว้นบ้างยามบาดเจ็บจากศึกเจียงเหอ แต่ก่อนจะไปอวิ๋นเซิง ข้าก็…เต็มที่จนเกือบถึงรุ่งสางนะ”คำพูดตรงไปตรงมาทำใ

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   ตอนที่ 79

    สายลมวสันต์ยามสายพัดผ่านม่านลูกไม้สีขาวบางของตำหนักกวางผิง แสงตะวันอ่อนลอดผ่านช่องว่างโปร่งบางเป็นริ้วระยับต้องพื้นระเบียง เงาไม้โยกไหวดังคลื่นเล็กในสระน้ำ บรรยากาศเงียบสงบประหนึ่งแผ่นดินที่เพิ่งผ่านพายุใหญ่สวีเจียงหลัวเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้สลักลวดลายวิจิตร ดวงตาคู่งามทอดมองไปไกล มือเรียวยกถ้วยชาที่อบอวลด้วยกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ขึ้นจรดริมฝีปาก ไออุ่นของน้ำชาคลอเคลียปลายจมูก แต่ความอบอุ่นนั้นหาได้ชะล้างความเย็นเยียบในดวงตานางไม่แม้หลายวันมานี้นางมิได้ก้าวออกจากตำหนักกวางผิงสักก้าว แต่ทุกความเคลื่อนไหวในนครเสวียนหยางกลับไม่เคยหลุดพ้นหูตาของนางเลยแม้แต่น้อยหลันถิง นางกำนัลคนสนิท ก้าวเข้ามาคุกเข่ารายงานด้วยเสียงหนักแน่น“ชินหวางเฟย เพียงไม่กี่วัน ตระกูลใหญ่สิบกว่าสกุล ที่คอยเป็นมือเป็นเท้าให้กับองค์ชายสาม ถูกจวิ้นอันโหวกักขังไว้ในจวน รอชินอ๋องเสด็จกลับมาเพื่อประหารให้สิ้นแล้วเพคะ”สายตาของเจียงหลัววูบไหวเล็กน้อย ก่อนกลับมาเย็นชาเช่นเดิม หลันถิงยังมิหยุดรายงาน“พอองค์ชายสามทราบความ เขาเดือดดาลยิ่งนัก พอดีกับพระชายาสามเจียวและคนสนิทคิดหลบหนี ถูกเขาสังหารด้วยมือตนเองจนสิ้นแล้วเพคะ”เงียบไปค

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   ตอนที่78

    กองทัพอวี้หลินซึ่งชินอ๋องทรงนำด้วยพระองค์เอง เคลื่อนพลออกจากประตูเมืองเสวียนหยางในต้นยามเหม่า เสียงฝีเท้าม้าศึกนับหมื่นดังสนั่นราวกลองศึกสะท้อนก้องไปทั่วสะท้านฟ้าสะเทือนปฐพีสายลมต้นฤดูวสันต์พัดเอาฝุ่นผงคละคลุ้งฟุ้งกระจาย ถนนดินแข็งเป็นร่องลึกจากกีบม้าและล้อเกวียน พื้นหญ้าเหี่ยวแห้งยังเกาะหยาดน้ำค้างระยิบระยับต้องแดดยามเช้า ธงศึกสีดำขลิบทองปักตัวกิเลนเพลิงเหยียบเมฆาโบกสะบัดกลางอากาศ ดุจเงาพญามัจจุราชนำทัพออกล่าเหยื่อสองฟากฝั่งถนน ชาวบ้านก้มศีรษะส่งเสียงอวยพร แม้มิรู้แน่ชัดว่าทัพใหญ่มุ่งไปที่ใด แต่ทุกครั้งที่อวี้หลินเคลื่อนพล ภายใต้การนำของชินอ๋องเทพสังหารผู้เกรียงไกรแห่งต้าหรง ล้วนเพื่อปกป้องแผ่นดินและประชาราษฎร์ทั้งสิ้นทว่าเพียงหนึ่งชั่วยามหลังทัพใหญ่ลับสายตา เสียงขันทีหลวงอ่านพระราชโองการก็ดังก้องไปทั่วลานหน้าตำหนักเหมันต์“องค์ชายสามไป๋อี้เฉิน คิดการใหญ่ ซ่องสุมกองกำลังลับ หวังก่อกบฏล้มราชบัลลังก์ อีกทั้งยังยักยอกเงินหลวงสะสมเสบียง โทษถึงตาย! แต่ด้วยพระเมตตาที่บิดามีต่อบุตร เจิ้นจึงลงทัณฑ์เพียงสั่งปิดตำหนักเหมันต์ กักขังตลอดชีวิต หากละเมิดก้าวออกแม้เพียงครึ่งก้าว ให้ตัดศีรษะได้ใน

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status