“อาหนิง!”
หลี่จื่อหนิงพลันหันขวับไปมองทางต้นเสียงทันที สายตามองเห็นบุรุษผู้หนึ่งก่อนจะตะโกนน้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนรน “เร็วเข้า! บุรุษผู้นี้จะตายอยู่แล้ว” ตอนนี้นางไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด ขอเพียงแค่สามารถช่วยชีวิตเฝิงอวี่เซี่ยนเอาไว้ได้ก็ก็พอแล้ว สีหน้าของหลี่จางเหว่ยขมวดคิ้วมุ่นงุนงงไม่น้อย “เจ้ากำลังทำอันใดอยู่หลี่จื่อหนิง” เดิมทีนั้นพอได้ข่าวว่าเฉิงอี้หยางจะร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกับเจียงชุนหลินและรับสตรีผู้นี้เป็นภรรยา หลี่จื่อหนิงย่อมรู้ใจไม่พอใจที่บุรุษที่นางหมายปองนั้นไปแต่งงานกับสตรีทั้งที่นางชมชอบและรักใคร่อีกฝ่ายมาเนิ่นนานหลายปีทั้งเอาแต่ร้องโวยวายว่าจะพังงานมงคลในวันนี้ให้ได้ แน่นอนว่าหลี่จางเหว่ยรู้สึกแปลกใจและคิดเอาไว้อยู่แล้วว่างานแต่งในวันนี้ต้องเกิดเรื่องแน่! แต่สิ่งที่ทำให้หลี่จางเหว่ยตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ... เหตุใดเฉิงอี้หยางถึงยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ในขณะที่หลี่จื่อหนิงกลับกำลังโอบอุ้มร่างของบุรุษอีกคนที่อาบไปด้วยเลือด…!? “ช่วยข้าด้วย!” หลี่จื่อหนิงยังตะโกนร้องสุดเสียง หัวใจของนางกระตุกวูบ ร่างของเฝิงอวี่เซี่ยนในอ้อมแขนเย็นเฉียบขึ้นทุกขณะ หลี่จางเหว่ยได้ยินเสียงร้องจึงรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมมองไปยังร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นน้องสาวซ้ำอาภรณ์ยังเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงไหลนองเต็มพื้นไปหมด เหตุใดถึงดูคุ้นหน้านัก…เฝิงอวี่เซี่ยน!? “เหตุใดถึงไปยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นี้!” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามออกด้วยความตกใจ สายตาคมกริบสบเข้ากับดวงตาของหลี่จื่อหนิง “ได้โปรดช่วยเขาด้วย…” นางเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือพยายามตั้ง ยามนี้บุรุษผู้นี้ไม่มีเวลามากนักและไม่แน่ว่าปานนี้นั้นเฝิงอวี่เซี่ยนคงเดินถึงดินแดนปรโลกแล้วกระมัง เรื่องอื่นแม้ว่าจะงุนงงสงสัยมากเพียงใดก็เอาไว้ก่อนเถิด “วางมันลงซะอาหนิง!” หลี่จางเหว่ยปฏิเสธ แม้ว่าจะเป็นหรือตายอย่างไรคนผู้นี้ก็ไม่สมควรเอาตัวไปข้องเกี่ยวให้เกิดความวุ่นวายยุ่งยากตามมาทีหลัง หมายความว่าอย่างไรกัน!? หัวคิ้วของนางขมวดมุ่นไม่เข้าใจ “ไม่!” “ข้า…ข้าจะช่วยเขาเอง” เจียงชุนหลินเอ่ยขึ้นอีกครั้งภายหลังจากยืนมองอยู่นานไม่พูดจา พอเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ภายในใจของนางย่อมเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดนึกโทษตัวเองไม่น้อย หลี่จื่อหนิงถ้อยหายใจด้วยความหงุดหงิดใจ “อย่าได้ริอาจแตะต้องเขาอีกเป็นอันขาด!” ที่เฝิงอวี่เซี่ยนต้องมีสภาพเช่นนี้ก็เพราะสตรีผู้นี้! หลี่จางเหว่ยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สายตาของเขาฉายแววไม่เห็นด้วย “เจ้าไม่รู้หรือไรจื่อหนิงว่าบุรุษที่เจ้ากำลังคิดจะช่วยคือผู้ใดกันแน่” เหตุใดถึงเอาแต่ถามไม่หยุดจนน่ารำคาญเช่นนี้! หลี่จื่อหนิงขมวดคิ้วแน่น นางไม่เข้าใจว่าบุรุษผู้นี้เป็นอะไรไปเห็นคนเจ็บเจียนตายแล้วยังไม่คิดจะช่วยอีกรึ “เห็นคนใกล้ตายเช่นนี้ไฉนท่านถึงนิ่งดูดาย!” นางตวาดเสียงแหลมด้วยความโมโหร้อนรนจนแทบจะทนไม่ไหว “เขากำลังจะตายอยู่แล้ว!” เกรงว่าน้องสาวผู้นี้ของเขาคงโง่งมเกิดกว่าจะเข้าใจได้กระมัง จื่อหยางจ้องสบตากับหลี่จื่อหนิงที่เต็มไปด้วยความดื้อดึง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะบุรุษผู้นี้คือเฝิงอวี่เซี่ยนมิต่างจาก ตัวร้ายของแผ่นดินที่ทุกผู้คนอยากให้ตาย” “แต่ข้าไม่อยากให้เขาตาย!” นางตวาดลั่นด้วยความโกรธ “แม้แต่ปรโลกก็ไม่มีสิทธิ์พรากเขาไปหากข้าไม่อนุญาต!” กว่านางจะวิงวอนขอความช่วยเหลือจากบุรุษผู้นั้นได้ก็ทำให้นางเกือบหมดความอดทน ยามนี้ใบหน้าคนงามขมวดคิ้วอารมณ์ย่ำแย่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัดเจน หลี่จื่อหนิงเดินไปเดินมาหน้าประตูไม่หยุดพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า เข้าไปนานปานนี้แล้วไม่รู้ว่าแม้แต่หมอเทวดาจะสามารถยื้อชีวิตเฝิงอวี่เซี่ยนให้รอดพ้นจากปรโลกเอาได้หรือไม่ “เจ้ามาเดินวนไปวนมาทำไมกัน…ข้าปวดหัวจะตายแล้ว” “…” หลี่จื่อหนิงชะงักฝีเท้าก่อนจะค่อยๆ ปรายสายตาหันไปมองทางต้นเสียง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งฉายแววครุ่นคิดออก หากการที่นางทะลุมิติเข้ามาเพื่อช่วยเหลือตัวร้าย…เช่นนั้นได้โปรดสวรรค์เห็นใจอย่างได้หมายจะเอาชีวิตเขาไปเถิด น้ำเสียงของหลี่จางเหว่ยเต็มไปด้วยความรำคาญ เขามอง เห็นสตรีตรงหน้าเดินวนไปวนมาก็พลันเกิดความรู้สึกหงุดหงิด “เหตุใดถึงกังวลเป็นห่วงบุรุษผู้นั้นมากถึงขนาดนี้” เขาสงสัยไม่น้อย… เพราะเหตุใดกัน!? “หลี่จื่อหนิง! เจ้าเป็นทำอะไรไปแล้ว” หลี่จางเหว่ยย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าสตรีผู้นี้มีนิสัยดื้อรั้นทำตามใจตัวเองและไม่สนใจสิ่งใดทว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ไฉนจำต้องช่วยเหลือเฝิงอวี่เซี่ยนเอาตัวไปเกี่ยวข้อง นางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เห็นคนถูกแทงจนเกือบตายแล้วข้าจะทนมองดูจิตใจแข็งกระด้างได้อย่างไรกัน” “คนผู้นั้นคือเฝิงอวี่เซี่ยนเผื่อเจ้าลืมไปแล้ว!” “แล้วอย่างไร?” หลี่จื่อหนิงถามกลับอย่างไร้ความเกรงกลัว สำหรับนางแล้ว…เฝิงอวี่เซี่ยนคือตัวร้ายผู้น่าสงสาร! หลี่จื่อหนิงรู้สึกว่าเฝิงอวี่เซี่ยนที่ได้รับบทตัวร้ายในนิยายนั้นถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เขาถูกใส่ความกล่าวหาว่าวางแผนฆ่าล้างสกุลเฝิงจนเหลือเพียงแผ่นป้ายวิญญาณ แล้วเหตุเฝิงอวี่เซี่ยนต้องทำเช่นนั้นเล่า…!? เหตุใดเขาถึงเดิมพันชีวิตยอมแลกกับทุกอย่างแล้วต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่เหลือผู้ใดข้างกายเช่นนี้และหากจำไม่ผิดตอนที่เฝิงอวี่เซี่ยนเพียงอายุแค่สิบห้าปีเท่านั้น นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ เพราะเฝิงอวี่เซี่ยนไม่ใช่ลูกรักของนักเขียนอย่างงั้นรึ หลี่จางเหว่ยพลางถอนหายใจหนักอึ้งออกมา เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรให้น้องสาวผู้โง่งมเข้าใจ “ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวคนเฉกเช่นนั้นแน่…หากรักษาจนหายดีแล้วก็เอาไปทิ้งไว้ข้างทางซะ” !!! พอได้ยินประโยคนี้แล้ว ใบหน้าคนงามขมวดคิ้วมุ่นทันที “ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่!” “ที่ผ่านมาเจ้าดื้อรั้นไม่สนใจถูกผิด…เรื่องนั้นข้าย่อมไม่เก็บมาใส่ใจให้มากความ” หลี่จางเหว่ยกล่าวออกมาเสียงเรียบ ดวงตาคมกริบสบเข้ากับนัยน์ตาคู่งามของนางด้วยความจริงจัง “ทว่าครั้งนี้ข้าจำเป็นต้องขัดใจไม่เห็นด้วยกับเจ้าจริงๆ อาหนิง” เฝิงอวี่เซี่ยน…ไม่น่าคบหาถึงเพียงนั้นเลยหรือไร “ทว่าเฝิงอวี่เซี่ยนไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายแล้ว…หากข้าหันหลังให้เขาอีกคนเช่นนั้นก็คงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิตอีกครั้ง” “แล้วข้าเล่า…ข้ามีน้องสาวเพียงผู้เดียวเท่านั้นหลี่จื่อหนิง” หลี่จางเหว่ยรับราชการเป็นขุนนางในราชสำนักย่อมได้ยินข่าวลือต่างๆ ของเฝิงอวี่เซี่ยนและบรรพบุรุษสกุลเฝิงมาบ้าง แม้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะสร้างความตกใจให้แก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่เว้นแม้กระทั่งฮ่องเต้กับความโหดเหี้ยมไร้หัวใจของบุรุษผู้นั้นถึงขั้นเอ่ยปากให้สังหารไม่ยกเว้น แต่คล้ายสวรรค์ยังเห็นใจไม่รับคนเลวเช่นนี้ ผู้คนที่เคยเกี่ยวข้องสนิทสนมกับบรรพบุรุษสกุลเจียงเห็นว่าเหตุการณ์ในครานี้เฝิงอวี่เซี่ยนถูกใส่ร้ายจึงร้องขอให้มีการสอบสวนอีกครั้ง ทว่าจู่ๆ ในยามนั้นภายในวังหลวงพลันมีคลื่นลูกใหญ่เกิดการแย่งชิงอำนาจในราชสำนักจึงทำให้บัลลังก์มังกรสั่นคลอนไปด้วย คดีของเฝิงอวี่เซี่ยนยังคงค้างคาต้องรีบจัดการให้เสร็จสิ้นจึงเปลี่ยนจากประหารให้มีการไตร่สวนใหม่อีกครั้ง เฝิงอวี่เซี่ยนจึงลดโทษเพียงแค่ถูกจำคุกไม่กี่ปีเท่านั้น เรื่องนี้ย่อมเกิดความคลุมเครือไม่กระจ่างในสายตาของเหล่าขุนนางหลายคน…ราวกับต้องการให้บุรุษผู้นี้รอดชีวิตไม่ยินยอมให้ตายไปง่ายๆ ในขณะเดียวกันนั้นเสียงประตูพลันถูกผลักออกมาก่อนที่ท่านหมอชราจะเดินออกมาในสภาพที่ไม่ค่อยดูดีนัก อาภรณ์สีขาวนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเลือด หลี่จื่อหนิงละความสนใจจากบุรุษผู้นี้ ปรายสายตารีบเร่งฝีเท้าเดินไปทันที “เขาเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงหวานเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวาย สายตาของนางพลันสอดส่องเข้าไปในเรือน “มีผู้ใดตายในจวนข้าหรือไม่” หมอชราปรายมองสตรีและบุรุษเบื้องหน้าสลับกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจนัก ทว่าหาใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาใส่ใจ เขาถอนหายใจออกมาหนักอึก่อนจะเหลียวกลับไปมองในห้องอีกครั้ง “คุณชายผู้นั้นเสียเลือดไปมากนัก…หากผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปได้ก็นับว่าสวรรค์เมตตาและปรโลกไม่กล้าเอาชีวิต” “หมายความว่าอย่างไร…เขาจะตายงั้นหรือ” นางเอ่ยถาม “สภาพเช่นนี้...ขาข้างหนึ่งคงกำลังก้าวไปปรโลกแล้ว” ตอนที่เขาเห็นสภาพของคุณชายผู้นี้นั้น แม้ว่าบาดแผลจะไม่ได้ลึกถึงขั้นหมายจะเอาชีวิตแต่ทว่าเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดนั้น ห้ามอยู่นานกว่าจะหยุดลงได้ หลี่จางเหว่ยได้ยินแล้ว หลี่จางเหว่ยเหลือบสายตามองไปยังหลี่จื่อหนิง เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ได้ยินแล้วหรือไม่…เอาเถอะ! หากเป็นเช่นนั้นข้าจะขุดหลุมบนภูเขาสักลูกและสลักป้ายวิญญาณให้ดีสักอัน” “เหอะ! อย่างไรเขาก็ไม่ทางตายแน่” หลี่จื่อหนิงตอบออกมาอย่างแน่วแน่ ต่อให้ต้องไปดึงเขากลับมาจากปรโลก…นางก็จะทำ!หลายวันผ่านไป…“เฝิงอวี่เซี่ยน…ข้าเหนื่อยจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว”“…”“อวี่เซี่ยน...! มารดาหิวนัก”“…”“ข้าง่วงนอนแล้ว!”เสียงร้องของหลี่จื่อหนิงดังก้องไปทั่วทั้งจวน เหล่าสาวใช้ที่ได้ยินแล้วต่างพากันหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู บางคนถึงกับกระซิบกระซาบว่า…คุณหนูผู้นี้ช่างเอ็นดูยิ่งนัก! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายท่านเฝิงถึงยินยอมให้นางเข้าออกจวนได้ตามใจเช่นนี้ แม้แต่คุณหนูสกุลเจียงผู้นั้นที่ดูสนิทสนมกับนายท่านอยู่มากก็ไม่อาจทำตามใจรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวได้เช่นนี้บรรยากาศในจวนเฝิงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เหล่าบ่าวไพร่ล้วนมองหลี่จื่อหนิงที่เดินตามเฝิงอวี่เซี่ยนทุกฝีก้าวราวกับเงาติดตามบุรุษหนุ่มไปทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะอยู่ภายในห้องหนังสือ เดินเล่นที่สวนหรือแม้กระทั่งแต่หอฉีเยียนทว่าใบหน้าของเฝิงอวี่เซี่ยนกลับเรียบเฉย ไม่ปรากฏรอยยิ้มออกมา ในสายตาของเขานั้นสตรีผู้นี้หาได้น่าเอ็นดูแต่กลับเป็นตัววุ่นวายที่ตามติดเขาตลอดหลายวันมิใช่ว่าบุรุษผู้นั้นเอ่ยปากเอาไว้แล้วหรอกหรือว่าจะห้ามนางไม่ให้มาเจอเขาอีก! แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ภายในใจของเขาย่อมเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและรำคาญใจไม่น้อยเฝิงอวี่เซี่ยนเ
แสงจันทราสาดส่องเล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้องจึงมืดสลัวมองไม่ค่อยเห็นสิ่งใดนัก ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงบมีเพียงเสียงหายใจของทั้งสองคนที่ประสานกันในความมืดเท่านั้นเฉิงอี้หยางพยายามข่มตาลงอย่างทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจนอนหลับสนิทได้เสียที ความคิดต่างๆ ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวจนทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจเขาถอนหายใจออกมาเงียบๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าเสียงหายใจหนักๆ ของบุรุษข้างกายดูเหมือนจะเบียดบังความเงียบสงบในห้องไปจนทำให้เจียงชุนหลินที่นอนข้างๆ รู้สึกถึงมันได้ นางพลันลืมตาขึ้นก่อนจะพลิกตัวไปทางเขาพลันรู้สึกได้ถึงความกังวลที่แผ่ซ่านออกมาน้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง “ยามนี้ในวังหลวงมีเรื่องอะไรงั้นหรือ” นางถามออกมาด้วยความเป็นห่วงเจียงชุนหลินขยับตัวเข้าใกล้เขาอีกนิดก่อนจะซบลงบนอกแกร่งของเขา มือของนางพลันยื่นออกไปกอบกุมฝ่ามือเอาไว้หลวมๆ “รู้ใช่หรือไม่ว่ายามนี้ท่านไม่ต้องแบกความรู้สึกหนักอึ้งเหล่านั้นเอาไว้ผู้เดียวอีกแล้ว”ภายใต้ความมืดเช่นนี้ นางไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้เลยว่าเป็นอย่างไร แต่เจียงชุนหลินกลับสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจในตัวเขาเฉิงอี้หยางไม่ได้ตอบกลับในทันทีเพียงแค่เงีย
น้ำเสียงทุ้มต่ำของบุรุษผู้หนึ่งดังก้องขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย เหล่าชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มซุบซิบกันต่างพากันหันขวับไปมองเจ้าของเสียงทันทีหลี่จื่อหนิงเองก็เช่นกันนางปรายตามองบุรุษรูปร่างสูงสง่าก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่ง ผิวพรรณขาวสะอาด อาภรณ์สีเข้มเรียบหรูดูสูงศักดิ์ยิ่งนัก ทุกย่างก้าวเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมีท่าทางเช่นนี้ไม่ต่างจากเทพเซียนผู้หนึ่งแต่ทว่า…เหตุใดนางถึงได้รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน!?เฉิงอี้หยาง…!ดวงตาเมล็ดซิ่งเบิกโพลงกว้างความตกใจเพียงเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย นางพลันก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุทันทีหลี่จื่อหนิงไม่ชอบบุรุษผู้นี้เอาเสียเลย!“ไม่ต้อง!” น้ำเสียงหวานตะโกนดังลั่นก่อนจะรีบควักถุงเงินออกมาจากสาบเสื้อแล้ววางลงตรงหน้าชายชราอย่างแรง นางเงยหน้าสบตามองด้วยความแข็งกร้าว“ขอแค่ไม่กี่ตำลึงนี้…มารดามีปัญหาจ่ายได้ไม่ต้องรบกวนให้ผู้ใดช่วยเหลือ”หลงจู๊เห็นดังนั้นก็ตาลุกวาวทันที เงินที่สตรีตรงหน้าจ่ายนั้นมากเกินไปเลยด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับของแค่ไม่กี่อย่างก่อนจะรีบคว้าเงินเก็บอย่างไว้ “เอาของไปแล้วข้าไม่รับคืน!”เกรงว่าวันนี้เขาคงโชคดีนัก ตั้งแผงขายยังไม่
ที่ผ่านเขารู้มาตลอด…คำพูดของหานมู่เฉินทำให้เฝิงอวี่เซี่ยนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่าใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์ไม่แสดงอาการตกใจออกมาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคมกริบดูลึกล้ำอยากเกินจะคาดเดาได้“…”หานมู่เฉินพลางเหลือบสายตาสังเกตมองบุรุษตรงหน้านิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ “ไม่แปลกใจหน่อยหรือไร”ไฉนถึงยังสงบได้ถึงเพียงนี้…เขาอุตส่าห์รับติดสินบนขุนนางมามากมายเพื่อล้วงความลับมาให้โดยเฉพาะ แต่เหตุใดเจ้าคนผู้นี้กลับไม่มีแม้แต่ท่าทีตื่นตระหนกสักนิด!ไม่นานหลังจากนั้น เฝิงอวี่เซี่ยนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ากลับเย็นยะเยือกคล้ายสายลมเหมันต์“ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”พอได้ยินประโยคนี้แล้ว หานมู่เฉินแค่นหัวเราะในลำคอก่อนถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด“เหอะ! เจ้าจะจัดการอย่างไร” เขาเองก็อย่างจะรู้เช่นกันว่าแท้จริงแล้วบุรุษผู้นี้ทำอันใดได้บ้างเพราะยามนี้อีกฝ่ายมีฐานะเป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนักทั้งยังมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายทหารที่กุมอำนาจมายาวนานและที่สำคัญนั้น…คนผู้นั้นคือบิดาของเจียงชุนหลิน!?เฝิงอวี่เซี่ยนไม่ปริปากพูดอันใดออกมา เขาเพียงแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ ด้วยความเย้ยหยันก่อนที่มุมปากหนาจะโค
จู่ๆ บรรยากาศภายในจวนก็พลันเงียบสงัดลงมีเพียงเสียงใบไม้ต้องลมพลิ้วไหวแผ่วเบาเท่านั้น หลี่จื่อหนิงรู้สึกถึงแรงบีบที่มือแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนนางต้องนิ่วใบหน้าด้วยความเจ็บ“ปล่อยข้าได้แล้ว” เกรงว่ากระดูกของนางคงไม่ถูกเขาบดจนละเอียดหรอกกระมังน้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น ทว่าแรงบีบจากมือหนากลับแน่นิ่งไร้การตอบสนองราวกับเฝิงอวี่เซี่ยนยังคงจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองจิตใจล่องลอยไร้จุดหมาย หลี่จื่อหนิงพยายามดึงมือกลับครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดของนางกลับไร้ประโยชน์ไม่อาจหลุดพ้นได้จนกระทั่ง...เพี๊ยะ!นางพลางตบลงบนอกแกร่งของอีกฝ่ายอย่างแรงทีหนึ่งพร้อมกับยกเท้าเหยียดถีบเต็มแรง จนร่างสูงสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยอมปล่อยพันธนาการออกตุบ!“เพ่ย! ข้าเจ็บนะ!” นางถลึงตามองเขาด้วยความไม่พอใจหากท่านจะเศร้าโศกเสียใจปานนี้ก็ร้องไห้ออกมาเถอะ! ไฉนต้องมาทำให้นางเจ็บตัวด้วยเล่า…!?เฝิงอวี่เซี่ยนได้สติคืนมาแต่แววตายังคงเหม่อลอย สายตาคมปรายมองนางเพียงแวบหนึ่งก่อนจะหมุนกายเดินออกจากห้องโถงไปโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด“…”หลี่จื่อหนิงได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองตามแผ่นหลังที่ห่างออกไปจนลับสายตาพ่อตัวร้ายของนางเป็นอ
เจียงชุนหลินเห็นแล้วแทบไม่เชื่อสายตานางรู้จักกับเฝิงอวี่เซี่ยนมาหลายปี ไฉนจะรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไรหากว่ากันตามตรงแล้ว จวนสกุลเฝิงแทบจะปิดประตูจวนอยู่ตลอดเวลาไม่รับแขกแล้ว เหตุใดไฉนจู่ๆ ถึงมีสตรีผู้หนึ่งรุกล้ำเข้ามาพื้นที่ส่วนตัวของเขาได้อย่างตามใจชอบกันแท้จริงแล้ว ในช่วงเวลาที่เฝิงอวี่เซี่ยนหายตัวไปเกิดอันใดขึ้นกันแน่…?ใบหน้าของนางขมวดคิ้วมุ่นปรายสายตามองสตรีตรงหน้าสลับกับเฝิงอวี่เซี่ยนที่ยังคงเงียบหลี่จื่อหนิงยกชายกระโปรงขึ้นพลางเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน ทว่าใบหน้าของนางกลับเรียบเฉยไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่เห็นเจียงชุนหลินอยู่ที่นี้“เฝิงอวี่เซี่ยน…ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องพูดกับท่าน” น้ำเสียงหวานกล่าวออกมา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสบเข้ากับดวงตาคมกริบวันก่อนสตรีผู้นี้บุกไปหาเข้าถึงหอฉีเยียนและพอมาวันนี้กลับมาหาถึงจวน เฝิงอวี่เซี่ยนแปลกใจไม่น้อย สายตาคมกริบเพ่งมองสตรีตรงหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย“เรื่องสำคัญงั้นหรือ?”เขากับนางไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อใดกัน…!?เขาเลิกคิ้วขึ้นเชิงคำถามก่อนจะกล่าวออกมาเสียงเรียบ “ข้าไม่มี...” เฝิงอวี่เซี่ยนพูดออกไปไม่ถึงครึ่งคำก็ต้องกลืนลงท้องทันที สายตาคมกร