หน้าหลัก / รักโบราณ / บุปผาสีชาด / ตอนที่50ลงดาบเซิ่งซื่อ

แชร์

ตอนที่50ลงดาบเซิ่งซื่อ

ผู้เขียน: ฉู่เฉียว
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-09-27 19:25:02

"ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"

เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น

"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"

สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิด

ดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก

"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"

อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดัน

คำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อ

ดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยามนี้กลับปรากฏเพียงหญิงผู้โฉดชั่วที่คิดทำลายบุตรของเขา

"เซิ่งซื่อ! นี่เจ้า... ชั่วช้านัก"

เสียงของอวี้จิ้งดังก้องกังวาน เขาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยโทสะ ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งกลับดำคล้ำไปด้วยความโกรธ ดวงตาคมกริบตวัดมองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่อด้วยสายตาดุดัน แววตานั้นทั้งผิดหวัง ทั้งเกรี้ยวกราด 

ในชั่วขณะนั้น ไม่มีใครในห้องกล้าแม้แต่จะกะพริบตา ความจริงที่ถูกตีแผ่ทำให้บรรยากาศอึมครึมจนแทบหายใจไม่ออก

"ไม่ใช่… ไม่ใช่นะเจ้าคะ!"

เสียงของเซิ่งซื่อสั่นเครือ นางรีบปฏิเสธใบหน้าซีดเผือดราวกับถูกดึงเลือดออกไปจนสิ้น ทุกคำของสามีเหมือนค้อนหนักทุบลงกลางอกของนาง ดวงตากลอกไปมาหาทางรอด แต่แววหวาดหวั่นกลับฉายชัด

"พวกเขา เป็นอวี้หลันกับองค์ชายใหญ่ที่ใส่ร้ายข้า อวี้หลัน นาง นางคิดจะยึดอำนาจในจวนไว้เพียงผู้เดียว"

"เจ้ากำลังกล่าวอันใด!" 

อวี้จิ้งตวาดเสียงต่ำแฝงโทสะ ดวงตาคมดั่งคมมีดจ้องนางไม่กะพริบ 

"เจ้าคิดว่าข้าโง่งมจนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว เจ้าทำทั้งหมดเพราะความทะเยอทะยานของตนเองกระนั้นหรือ"

อวี้หลันก้าวออกมาอีกก้าว ดวงตาของนางสงบเย็นทว่าเด็ดขาด 

"ท่านพ่อ หากไม่ใช่เพราะองค์ชายใหญ่ช่วยข้าไว้ ข้าเกรงว่ายามนี้ชื่อเสียงของข้าคงถูกเหยียบย่ำไปแล้ว"

นางปรายตามองร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ราวกับตอกย้ำทุกคำกล่าวหา

เสียงหอบหายใจหนักๆ ของอวี้จิ้งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ใบหน้าของเขาบึ้งตึง ดวงตาทอประกายกร้าวดั่งเพลิงโทสะที่ลุกโชน

"เซิ่งซื่อ"

เขาเอ่ยช้าๆ ทุกคำกดลึกลงไปถึงกระดูก 

"เจ้ายังมีสิ่งใดจะกล่าวแก้ตัวอีกหรือไม่"

เสียงหายใจหนักหน่วงของอวี้จิ้งขาดห้วงไปครู่หนึ่งยามมองหน้าภรรยา ก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะตวัดลงบนใบหน้านางอย่างแรงจนนางหน้าหันเลือดกบปากฟุบลงกับพื้น

ทุกคนในห้องสะดุ้งเฮือก บ่าวไพร่บางคนที่ติดตามเซิ่งซื่อมาตัวสั่นเทิ้ม

"จวนอวี้นี้มิใช่ที่ให้เจ้าแสดงอำนาจบาตรใหญ่จนเหยียบย่ำชีวิตเลือดเนื้อของข้าได้"

เสียงของอวี้จิ้งดังสะท้อนก้อง ทั้งกร้าวหนักและเด็ดขาด 

"เซิ่งซื่อ! เจ้ากล้าลอบสังหารบุตรของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วยังคิดยกบุตรสาวข้าให้หลานชายของเจ้าเหยียบย่ำเกียรติ ความผิดเช่นนี้ไม่อาจละเว้น"

ใบหน้าของเซิ่งซื่อซีดเผือดจนไร้สีเลือด นางตัวสั่นระริก สายตาตื่นตระหนกเมื่อสบเข้ากับดวงตาเปี่ยมเพลิงโทสะของสามี

"ลากนางกับหลานชายส่งให้กรมอาญา" 

อวี้จิ้งออกคำสั่งเสียงกร้าว 

"ให้กรมอาญาสืบสวนและตัดสินโทษ"

"ขอรับ"

ซูถัวก้าวออกมารับคำสั่งทันที ก้มศีรษะต่ำแล้วพยักหน้าให้บ่าวผู้ชายสองคนเข้ามาจับตัวเซิ่งซื่อ

"ไม่! ไม่เจ้าค่ะ ท่านพี่! ข้าถูกใส่ร้าย" 

เสียงกรีดร้องของนางสั่นเครือ แต่ไร้ใครใส่ใจ

บ่าวทั้งสองกึ่งลากกึ่งฉุดลากนางออกจากห้องไป เสียงร้องไห้โหยหวนค่อยๆ แผ่วหายไปตามระยะทาง ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันที่กดดันยิ่งกว่าเดิม

ส่วนเซิ่งกงซุนที่ถูกควบคุมตัวไว้แน่นหนา แม้ร่างกายอ่อนแรงไร้กำลังจะต่อต้าน แต่สติของเขากลับรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน แววตาที่เขาใช้มองอวี้หลันยามถูกลากผ่านหน้านางเต็มไปด้วยความเคียดแค้นปนหลงใหล ราวกับจะจารจำสตรีผู้นี้ไว้จนถึงวันตาย

ทว่าอวี้หลันกลับไม่เหลียวแลแม้เพียงเสี้ยวสายตา นางยืนนิ่งสงบ ราวกับสายตาและความรู้สึกของเขาไร้ค่าเกินกว่าจะรับรู้

ในยามรุ่งสางของวันถัดมา ข่าวคราวในจวนอัครเสนาบดีคนใหม่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ราวกับไฟลามทุ่ง ทั้งขุนนางและราษฎรต่างซุบซิบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนกลายเป็นหัวข้อใหญ่ในทุกตรอกซอกซอย

หนึ่งวันหลังจากนั้นหลังจากการสืบสวนเสร็จสิ้น บรรยากาศภายในกรมอาญาแน่นขนัด ผู้คนหลั่งไหลมาร่วมเป็นสักขีพยาน เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ยืนเรียงรายด้วยสีหน้าขรึมเคร่ง ขณะที่ชาวเมืองจำนวนมากเบียดเสียดกันอยู่ด้านนอก คอยเฝ้ามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เสียงกระซิบกระซาบดังระงมเมื่อทหารลากร่างสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามา สภาพของนางดูน่าเวทนา เส้นผมรุงรังกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ใบหน้าซีดเซียวปราศจากสีเลือด แต่ดวงตากลับเบิกกว้างราวกับยังไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความจริง

นางคือ เซิ่งซื่อ ผู้ที่เคยเชิดหน้าสง่าภายในจวนอัครเสนาบดี ทว่าบัดนี้กลับถูกลากมาในฐานะนักโทษ

เซิ่งซื่อถูกกดให้นั่งคุกเข่าลงกับลานหินเย็นเฉียบ ข้อมือทั้งสองข้างถูกพันธนาการด้วยโซ่เหล็กหนัก กลิ่นสนิมคละคลุ้งผสมกับไอเย็นของน้ำค้างยามเช้าแผ่วแตะปลายจมูก นางหอบหายใจแรงด้วยความอับอายและตื่นตระหนก

ทันใดนั้น ขุนนางผู้หนึ่งก็ก้าวออกมากลางลาน คลี่ผืนแพรสีเหลืองขึ้นเบื้องหน้า เสียงทุ้มหนักแน่นดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ

"เซิ่งซื่อ ฮูหยินจวนอัครเสนาบดีฝ่ายพิธีการ มีความผิดฐานวางยาพิษหมายเอาชีวิตบุตรเลี้ยง ความผิดปรากฏชัด พยานหลักฐานครบถ้วน โทษตามกฎหมายคือโบยสามสิบไม้แล้วจำคุกตลอดชีวิต และถูกปลดจากตำแหน่งทั้งหมด"

สิ้นคำประกาศ เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นรอบลานราวกับคลื่นซัด บางคนส่ายหน้าอย่างสมเพช บางคนถึงกับหัวเราะเย้ยหยันอย่างเปิดเผย ราวกับนางกลายเป็นเพียงตัวตลกในสายตาผู้คน

ดวงตาเซิ่งซื่อแดงก่ำด้วยทั้งหวาดกลัวและอับอาย นางกัดฟันแน่นจนกรามสั่นสะท้าน สายตาที่เคยเชิดหยิ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง นางกวาดมองไปรอบทิศ คล้ายจะมองหาใครสักผู้หนึ่งที่จะยื่นมือช่วยเหลือ แต่สิ่งที่พบกลับมีเพียงสายตาเย็นชาของเหล่าขุนนาง และแววรังเกียจจากผู้คนที่เคยยำเกรง

ยามนั้นหัวใจของนางราวถูกตอกตรึงด้วยความจริงอันโหดร้าย นางไม่เหลือใครอีกแล้ว

กลองไม้สำหรับลงทัณฑ์ดังขึ้นสามครั้ง 

ตึง ตึง ตึง

ความเงียบในลานกรมอาญาถูกแทนที่ด้วยแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา

เซิ่งซื่อถูกกดให้นอนคว่ำลงบนม้านั่งไม้หนา ปากถูกอุดด้วยผ้ากลิ่นเหม็นสาป ข้อมือและข้อเท้าถูกตรึงแน่นด้วยเหล็กแข็ง 

"ลงโทษโบยสามสิบไม้" 

เสียงประกาศดังก้อง

ไม้โบยหนาหนักฟาดลงมาไม่ออมแรง  เสียงไม้กระทบเนื้อดังสะท้อนไปทั่วลาน ตามด้วยเสียงครางต่ำที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอเซิ่งซื่อ

ครั้งที่สอง…ครั้งที่สาม… เสียงหวดและเสียงร้องสลับกันจนผู้คนรอบด้านสะท้านใจ

เสื้อผ้าด้านหลังฉีกขาด เลือดแดงไหลซึมผ่านรอยแผลสดใหม่ทีละเส้น ใบหน้าของนางที่เคยเชิดหยิ่งกลับบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ดวงตาแดงก่ำมองไปข้างหน้าด้วยความคับแค้นและไม่ยอมรับชะตา

บนระเบียงด้านข้าง อวี้หลันยืนมองภาพนั้นด้วยแววตานิ่งสงบ ไม่แม้แต่จะสะทกสะท้าน ริมฝีปากโค้งเพียงเล็กน้อย คล้ายกำลังดูละครฉากหนึ่งที่ดำเนินไปตามครรลองของมัน

เสียงหวดไม้ยังคงดังต่อเนื่อง จนกระทั่งครบสามสิบครั้ง ร่างของเซิ่งซื่อแน่นิ่งไปกับม้านั่ง เสื้อผ้าชุ่มโชกเลือด

อวี้หลันยังคงยืนมองนิ่งอยู่เช่นนั้น อาภรณ์สีอ่อนเรียบหรูพลิ้วไหวตามแรงลม ใบหน้างามเย็นชาดุจน้ำแข็ง ไม่มีแม้ร่องรอยเวทนาปรากฏในแววตา 

เสียงโซ่เหล็กกระทบพื้นหินดังสะท้อนทุกครั้งที่ทหารลากร่างไร้สติของเซิ่งซื่อออกไปจากลาน ภาพนั้นประหนึ่งตรึงตราไว้เป็นฉากแห่งความพ่ายแพ้ของเซิ่งซื่อที่ไม่อาจลืม

บรรยากาศรอบกายอบอวลด้วยกลิ่นแห่งชัยชนะ ทว่าดวงตาของอวี้หลันยังคงสงบนิ่งไร้ความลำพอง เพราะนางรู้ดีว่าเมื่อคนหนึ่งล้มลง อีกคนก็ย่อมเริ่มขยับ

และไม่นานหลังจากที่เสียงโซ่เหล็กและฝีเท้าทหารค่อยๆ เลือนหายไป ความสงบในลานก็กลับคืนมา ทว่าความเงียบสงบนี้กลับไม่ใช่ความราบเรียบ หากแต่คล้ายพายุที่กำลังก่อตัวรอเวลาโหมกระหน่ำ

อวี้หลันหลุบตาลงเล็กน้อย แววตาเรียบนิ่งไร้ร่องรอยความหวาดหวั่น เตรียมรับมือกับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ภายในวังหลวง ฮองเฮาเองก็ได้รับข่าวความพ่ายแพ้ของเซิ่งซื่อเช่นเดียวกัน สีพระพักตร์พลันหม่นคล้ำ ความโกรธและความกังวลตีรวนในพระทัย การสูญเสียเซิ่งซื่อเท่ากับการสูญเสียหมากสำคัญ ซ้ำเซิ่งกงซุนยังตกอยู่ในกำมือขององค์ชายใหญ่

"เห็นที... คงถึงเวลาแล้ว"

พระสุรเสียงแผ่วต่ำดังขึ้นในห้องอันเงียบสงัด

ขณะที่ภายนอก ลมเย็นของยามสายแผ่วพัด ใบไม้เสียดสีกันคล้ายเสียงกระซิบจากเงามืด ว่าการนองเลือดครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่51คลื่นใต้น้ำ

    ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่50ลงดาบเซิ่งซื่อ

    "ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่49เซิ่งซื่อจนมุม

    เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่48กำจัดเซิ่งซื่อ

    แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่47ตลบหลัง

    หลังจากหลี่เหวินหลงก้าวออกจากงานเลี้ยงได้ไม่นาน อวี้หลันที่เพิ่งจิบชาหมดถ้วยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ความวิงเวียนแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน จนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไฟซ่อนอยู่ใต้ผิว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามฝืนเก็บสีหน้าให้ดูปกติ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉิงหว่านเสียงแผ่ว"หวานหว่าน…พาข้ากลับเรือนที"ฉิงหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย รีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวัง เสียงเครื่องสายและเสียงพูดคุยของผู้คนในห้องโถงจัดเลี้ยงค่อยๆ เลือนหายไปตามทางเดินยาว จนถึงเรือนนอนของคุณหนูรองของจวนทันทีที่ประตูเลื่อนปิดลง อวี้หลันก็พิงกายกับเสาไม้ หอบหายใจแผ่วๆ ความร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางสั่นเล็กน้อยยามออกคำสั่ง "เตรียมน้ำให้ข้าอาบที ข้ารู้สึกร้อนไปหมดแล้ว""เจ้าค่ะคุณหนู"ฉิงหว่านรีบโค้งตัวรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้อวี้หลันทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงไม้แกะสลัก ปลายนิ้วเรียวจิกกับผ้าปูสีอ่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างกายยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีอวี้หลันรอคอยด้วยใจจดจ่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไร้เสียงฝีเท้าของฉิงหว่านกลับมา ความเงีย

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่46อัครเสนาบดีอวี้จิ้ง

    ในที่สุดก็เป็นดังที่หลายคนคาดเดาเอาไว้ อวี้จิ้งได้รับการแต่งตั้งเป็น อัครเสนาบดีกรมพิธีการ อย่างเป็นทางการข่าวประกาศแต่งตั้งแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองหลวงเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า อวี้จิ้งเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่ง ทั้งด้วยคุณงามความดีและสติปัญญาที่แสดงให้เห็นมาตลอดหลายปีวันประกาศราชโองการ ท้องพระโรงคลาคล่ำด้วยขุนนางผู้ใหญ่ ขณะที่อวี้จิ้งสวมอาภรณ์เต็มยศก้าวออกมาคำนับรับพระราชโองการด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความยินดีและความอิจฉาขุนนางในราชสำนักต่างก็เริ่มจับตามองบทบาทใหม่ของอวี้จิ้ง ขณะที่บรรดาขุนนางบางกลุ่มที่เคยคิดว่าตระกูลอวี้จะโรยราไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ กลับต้องเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่จากวันนี้ไป ตระกูลอวี้ย่อมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในราชสำนักอย่างสมบูรณ์แบบ และชื่อของอวี้จิ้งจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอัครเสนาบดีที่เปี่ยมด้วยบารมีที่สุดแห่งยุคราชสำนักที่เคยสงบเงียบพลันเต็มไปด้วยกระแสใต้น้ำที่กำลังปะทุเพราะอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด คือคนผู้นี้เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งใดในศึกแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทหากเป็นก่อนหน้านี้ การที

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status