แสงแดดยามเช้าที่สาดทอลงมาในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นวันนี้ ดูแทบไม่ต่างจากทุกวัน แต่สำหรับเสี่ยวซุ่ยแล้ว เช้านี้มีบางอย่างผิดปกติ เพราะทันทีที่นางเดินมาถึงลานซักผ้าใต้ร่มไม้หลังโรงเตี๊ยม ก็พบกับซูหรง ในชุดเสื้อผ้าสีแดงสด กำลังยืนกอดอก รออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนจะสงบนิ่ง แต่สายตานั้นแฝงความน่าหวาดหวั่นใจบางอย่าง ทำเอาร่างกายที่ถูกทำให้มีอาการอย่างเด็กสาวทั่วไปต้องอดสั่นน้อย ๆ ไม่ได้
“เสี่ยวซุ่ย วันนี้เจ้าจะต้องทำงานเพิ่ม” ซูหรงเอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีทรงอำนาจ “เริ่มจากไปซักผ้าปูโต๊ะทั้งหมดในร้าน ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอนด้วย ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว เจ้าต้องทำคนเดียวนะ วันนี้คนอื่นน่าจะยุ่ง ๆ กับการเตรียมตัวต้อนรับแขกพิเศษ เห็นว่าสหายเก่าของท่านอวี้ไป๋เฉินจะมาเยี่ยมเยือน”
เสี่ยวซุ่ยชะงักเล็กน้อย นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ปกติของสาวใช้ฝึกหัดทั่วไป งานเหล่านี้รวมทุกอย่างแล้ว ต้องใช้แรงกายมาก และใช้เวลาทั้งวัน หากไม่ใช่เพราะซูหรงตั้งใจสั่งเอง สาวใช้ฝึกหัดไม่น่าจะได้ทำด้วยซ้ำ
“เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้เสร็จ…” เด็กสาวพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าเจือความลังเล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้แต่เพียงรับคำสั่งเท่านั้น
“เช่นนั้นก็รีบทำได้ ของทั้งหมดอยู่ลานกว้างที่ลำธารตรงโน้น ข้าให้คนขนไปรอเจ้าแล้ว” ซูหรงพูดพลางชี้ไปยังกองผ้าสารพัด กับถังซักผ้า และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ลานซักผ้าริมลำธาร ห่างจากหลังโรงเตี๊ยมไปไม่ถึงร้อยก้าว
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยค้อมศีรษะให้ ก่อนจะเดินไปจัดการกับกองผ้า กับถังไม้ พยายามยกมันไปที่ลำธารที่อยู่ห่างจากหลังโรงเตี๊ยมไปไม่ไกล
บริเวณลานกว้างมีราวไม้ไผ่พาดยาวระหว่างเสาไม้สองต้น ใช้สำหรับตากผ้า ข้าง ๆ มี ถังไม้ทรงกลมใหญ่ตั้งเรียงไว้สามใบ เต็มไปด้วยน้ำที่เพิ่งตักขึ้นใหม่ ๆ มาเตรียมไว้เผื่อนาง น้ำยังเย็นฉ่ำและใสแจ๋วจนเห็นเงาสะท้อนหน้าของผู้ก้มมอง
ยังดีที่วันก่อนพี่หลินอธิบายเรื่องการซักผ้ามาอยู่บ้าง และความรู้ของนางตอนนี้ไม่ได้ถูกผนึกเรื่องการซักผ้า ดังนั้นนางคิดว่าตัวเองน่าจะทำไหวอยู่
เสี่ยวซุ่ยนั่งคุกเข่าอยู่ข้างถังไม้ มือเล็ก ๆ ของนางจับผ้าปูโต๊ะอย่างระมัดระวัง ก่อนจะจุ่มลงในถังน้ำใบที่ผสมเถ้าถ่านไม้เบญจพรรณ และ เปลือกผลไม้แห้งบด ซึ่งเป็นส่วนผสมของน้ำซักผ้าในยุคนี้ ฟองที่เกิดจากการขยี้นั้นไม่มากนัก แต่ช่วยล้างกลิ่นและคราบได้อย่างดี
เด็กสาวยกผ้าขึ้นวางพาด กระดานซักผ้า ที่ทำจากไม้แข็งเนื้อหยาบ ขนาดกว้างพอฝ่ามือ ยาวครึ่งศอก ปลายแผ่นทำเป็นร่องตื้น ๆ สำหรับขัดเส้นด้ายโดยไม่ทำลายเนื้อผ้า เสี่ยวซุ่ยพยายามจับผ้าแล้วถูลงกับแผ่นไม้สลับกับการขยี้ด้วยสองมือ ก้มหน้าตั้งใจจนเส้นผมเปียกน้ำเปียกแนบแก้ม ฟองน้ำสีขาวหม่นค่อย ๆ ไหลลงตามร่องไม้ สะท้อนแดดระยิบ
ทุกคราวที่ขยี้ นางต้องเปลี่ยนแรงกดให้เหมาะกับชนิดของผ้า ผ้าปูโต๊ะเนื้อหยาบ ต้องขยี้แรงกว่า ผ้าบางของม่านประตู ซึ่งอาจเปื่อยได้หากถูแรงเกินควร
เมื่อซักผ้าปูโต๊ะจนหมดชุดแรก นางยกผ้าออกไปล้างในถังน้ำสะอาดอีกใบ ล้างออกจนแน่ใจว่าไม่มีฟองหรือกลิ่นตกค้าง แล้วบิดผ้า หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง หยิบ คานไม้ไผ่ยาว ยกขึ้นพาดบ่าแล้วนำผ้าไปแขวนเรียงกันทีละผืนตามแนวแสงแดด นางใช้ ก้านไม้เรียวขัดปลาย ผ้าให้ตึงเพื่อไม่ให้ปลิว และคอยปรับระยะห่างให้ลมพัดผ่านได้ทั่วถึง
ครึ่งวันแรกผ่านไปด้วยความเหนื่อยล้า ผ้าจำนวนมาก บวกกับนี่เป็นการซักผ้าเองครั้งแรกในรอบนับพันปี ทำให้การซักกินเวลานาน น้ำในถังซักผ้าทำให้มือเล็ก ๆ แดงช้ำจนเริ่มแตกเปื่อย นางพยายามไม่บ่น ไม่ปริปากสักคำ จนกระทั่งซักเสร้จ นางจึงลุกขึ้นเตรียมกลับโรงเตี๊ยม
ทว่ายังไม่ทันที่จะกลับไป นางกลับพบว่าซูหรงยืนรออยู่ นายหญิงแห่งโรงเตี๊ยมเดินเข้ามาพร้อมเดินดูผ้าปูโต๊ะ และผ้าม่านที่นางเพิ่งซักไปใหม่ ๆ พร้อมทำหน้าเหมือนสมเพชเต็มประดา
“นี่พวกที่เจ้าเพิ่งซักมาใช่ไหม? เห็นแล้วแทบไม่อยากวางบนโต๊ะรับแขก เจ้ารีบ ๆ ซักให้เสร็จงั้นหรือ หรือว่าไม่ตั้งใจจะซัก?”
“ข้า... ข้าขออภัยเจ้าค่ะ ข้าอาจจะ...”
“ข้ออ้างอีกแล้วหรือเสี่ยวซุ่ย?” ซูหรงขัดขึ้นทันที ก่อนจะมองนางด้วยดวงตาคมบนสีหน้าเยือกเย็น “หากเจ้าคิดทำตัวไม่ตั้งใจทำงานเช่นนี้ ข้าก็ไม่อยากได้เจ้ามาอาศัยร่วมชายคานักหรอก”
คำพูดนั้นเหมือนมีดกรีดลงกลางใจ น้ำตาเริ่มคลอขึ้นมาในตาของเด็กสาว โดยที่นางควบคุมมันไม่ได้
“มันจะมากไปแล้วนะซูหรง” เสี่ยวซุ่ยพยายามจะพูด ทว่ากลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาจนพูดไม่ออก ขาสองข้างอ่อนแรงจนยืนไม่ได้ กลายเป็นทรุดกายลงคุกเข่าขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจ
“นายหญิง...” เด็กสาวคุกเข่าลงตรงหน้าซูหรง เสียงสะอื้นเริ่มแทรกในลำคอ นางอยากจะพูดอย่างอื่น แต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้ คำพูดที่นางพูดออกมาจึงต้องเป็นสิ่งที่นางรู้ว่าผนึกอนุญาตให้พูดเท่านั้น คำพูดของบ่าวหญิงที่อ้อนวอนเจ้านาย ที่ศิษย์ของนางอยากจะฟัง
“ข้ายังอยากทำงานอยู่ที่นี่ อย่าไล่ข้าไปเลยเจ้าค่ะ... ข้ายังไม่รู้จะไปที่ไหน... ข้ายังเรียนรู้ไม่พอ แต่ข้าจะพยายามให้มากขึ้น... ขอเพียงท่านเมตตาเถิด”
ซูหรงเห็นเสี่ยวซุ่ยเอ่ยขึ้นก็นิ่งไปชั่วขณะ มองใบหน้าที่เปียกน้ำตาของบ่าวหญิงตรงหน้า แววตาเสี่ยวซุ่ยไม่ได้มีเพียงความอ่อนแรง แต่แฝงด้วยความสับสน ว้าวุ่น และความกลัวอย่างแท้จริง ช่างน่าสมเพชจนยากจะบอกว่านั่นคืออดีตอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยเป็นเสมือนมารดาของตน... นั่นแหละที่นางปรารถนา การทำให้เซียนหญิงที่มีอำนาจเหนือนางต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้
“ลุกขึ้น เจ้าไปพักก่อน ผ้าพวกนี้มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกนะ แต่คราวหน้าตั้งใจให้มากกว่านี้แล้วกัน” ซูหรงตอบเสียงเรียบ เหมือนไม่ไยดี แต่ในแววตากลับมีประกายแปลกประหลาดบางอย่าง ความรู้สึกคล้ายชัยชนะ หรืออาจจะเป็นเพียงความโล่งใจ ที่ยันต์ยังทำงานได้จริง
เสี่ยวซุ่ยเดินกลับไปที่โรงเตี๊ยม ทอดกายลงนั่งพักผ่อน กอดเข่าอยู่ใต้ต้นพลับหลังโรงครัว ใบหน้าซบกับท่อนแขน น้ำตาที่เหือดแห้งแล้วทิ้งคราบบนพวงแก้มเล็ก ๆ นางไม่ได้ตั้งใจร้องไห้หรือสะอื้น ทว่าสัญชาตญาณของร่างนี้ทำให้นางสั่นกลัวหรือร้องไห้ได้เมื่อถูกซูหรงดุด่า มันอ่อนแอเกินกว่าที่นางคิดไว้พอสมควร
แต่แล้วเสี่ยวซุ่ยก็ต้องหยุดชะงักแล้วแหงนหน้าขึ้น เมื่อเสียงฝีเท้าดังขึ้นเงียบ ๆ ก่อนจะมีถ้วยน้ำชาอุ่น ๆ วางลงตรงหน้านาง เขาคือเฉินอี้ บ่าวหนุ่มที่เมื่อวานเอาเกี๊ยวมาให้นางนั่นเอง!
“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากเลยสิ...” เสียงของเฉินอี้ เอ่ยอย่างอ่อนโยน ก่อนจะย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ
“ข้าเห็นเจ้าซักผ้ามากมายตั้งแต่เช้า แถมเมื่อครู่ยังเห็นเจ้าโดนนายหญิงตำหนิจนร้องไห้อีก...”
“ข้าไม่อยากโดนไล่ออก... ข้าไม่มีที่ไป” เสี่ยวซุ่ยพูดเสียงแผ่วเบา ซึ่งมันก็เป็นความจริง สภาพนี้นางไม่สามารถขึ้นเขากลับวิหารเซียนได้แน่นอน จะใช้พลังเวทสื่อจิตเรียกศิษย์มารับก็ไม่ไหว
“ไม่มีใครในโรงเตี๊ยมนี้ที่เก่งแต่เกิดหรอกนะ เจ้าอาจจะพลาดไปบ้าง... แต่นั่นไม่ใช่ว่าเจ้าแย่อะไร” เขาบอก พลางส่งยิ้มจาง ๆ “ข้าเองก็เคยโดนว่าแบบนี้ ไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง แต่พี่หลินก็บอกว่าคนที่ไม่ท้อ... ยังไงก็จะก้าวหน้า”
เสี่ยวซุ่ยพยักหน้าเบา ๆ สายตานิ่งขึ้นเล็กน้อย นางมองใบหน้าของเฉินอี้ แล้วรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่นางไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความอบอุ่นที่ไม่เกี่ยวกับพลัง ไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญ ไม่เกี่ยวกับตำหนักบนเขา มันคือความรู้สึกของ “มนุษย์” ที่อยู่เคียงข้างมนุษย์ด้วยกัน
“ข้าต้องอดทน... จะเรียนรู้ให้มากขึ้น” นางตอบเขากลับไป สายลมเย็นยามเย็นพัดผ่าน เด็กสาวมองมือของตนเองอีกครั้ง มือที่เมื่อครู่ยักสั่นระริก บัดนี้สงบนิ่งอยู่บนตักของตนเอง
นางไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่รู้ก็คือตอนนี้นางไม่ได้อยู่ลำพัง ยังมีคนที่คอยให้กำลังใจนางอยู่
ค่ำคืนในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเงียบสงบอีกครั้ง หลังเหตุการณ์ความวุ่นวายผ่านไป ลูกค้าหลายคนพากันไปนอนพักตามแต่ละห้อง สายลมยามค่ำพัดเบา ๆ ผ่านม่านผ้าไหมสีฟ้าอ่อนของหน้าต่างห้องพักส่วนตัวเจ้าของโรงเตี๊ยมที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคาร กลิ่นหอมของดอกไม้และเครื่องหอมราคาแพง ยังลอยอบอวลอยู่ในอากาศซูหรงยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องน้ำชา เส้นผมยาวถูกรวบเป็นมวยด้วยปิ่นหยก ร่างบางห่มคลุมด้วยเสื้อคลุมบางสีแดงตัวโปรด นางยังดูสง่างามเหมือนกับทุกครั้ง ทว่าในยามนี้ ขณะใช้ตะเกียบคีบใบชาหอมใส่ลงในปั้นชา มือเรียวกลับสั่นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวนางรู้ดี ว่าร่างนางกำลังสั่นด้วยความกังวลจากภายในใจ ไม่ใช่เพียงเรื่องของอาจารย์ลั่วชิงที่นางผนึกเอาไว้ในร่างเด็กสาวไร้พิษภัยที่ไม่รู้ว่าผนึกจะเสื่อมลงเมื่อใดเท่านั้น แต่ยังมีอีกเรื่องที่ทำเอานางกังวลไม่แพ้กัน นั่นคือเรื่องของชายผู้ร่วมเตียงกับนางอยู่ทุกคืนนั่นอวี้ไป๋เฉิน สามีที่ทำเอานางเป็นกังวลอยู่ตอนนี้ กำลังนั่งอ่านบทกวีอยู่ลำพังบนเก้าอี้ของโต๊ะอ่านหนังสือ ราวกับไม่ทุกข์ร้อนกับอะไรทั้งสิ้น ทั้งที่เพิ่งถูกคุกคามไปเมื่อวานแท้ ๆ“เจ้าดูสงบจังนะ” ซูหรงเอ่ยกับคู่สนทนา โดยไม่หันกลับไปมอ
ค่ำคืนนั้น โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นไม่ได้เงียบสงบดังเคย แม้ดวงโคมจะถูกจุดสว่างไสว และเสียงหัวเราะในห้องโถงจะยังแว่วดังอย่างเป็นมิตร แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ห้าคนที่นั่งอยู่โต๊ะมุมตะวันตก กลับเริ่มส่งเสียงดังเกินความเหมาะสมชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่ม สวมเสื้อคลุมเปิดอก เผยรอยสักพยัคฆ์คำรามที่ไหล่ข้างหนึ่ง เขาโบกจอกสุราเสียงดัง แล้วตะโกนลั่น“ของข้ามาแล้ว ใครจะกล้าแย่งไปบ้าง ไม่มีล่ะสิ ข้านี่แหละหนึ่งในใต้หล้า!” เขาตบโต๊ะดังปังด้วยฝ่ามือหนักแน่น จนขวดสุราที่เฉินอี้เพิ่งนำมาวางสั่นไหว หกเลอะโต๊ะไปเกือบครึ่ง“คุณชาย โปรดเบาเสียงด้วยขอรับ… ร้านของเรามีกฎไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวนแขกท่านอื่น” เฉินอี้ค้อมศีรษะ กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทว่าหนักแน่นและชัดเจน“ข้าจ่ายเงินแล้ว จะกิน จะตะโกน จะเต้น จะปล้ำคน ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้ารึ?” ชายคนนั้นหรี่ตามองเขา ก่อนจะยิ้มเยาะเขาง้างมือหมายจะตบเฉินอี้เล่น ทว่าเฉินอี้เพียงก้าวเท้า ขยับเพียงนิดเดียวเท่านั้น ร่างของเขาก็กลับเบี่ยงหลบการฟาดมืออย่างนุ่มนวล ไม่ใช่การโยกหลบธรรมดา แต่เป็นการก้าวเฉียงเบา ๆ ไปข้างหน้าแล้วหมุนตัวเพียงครึ่งรอบ ตามที่ได้ลองฝึกซ้อมจากคำแนะนำ
แสงอาทิตย์ยามสายส่องผ่านช่องไม้ระแนงของรั้วหลังโรงเตี๊ยม ตกกระทบลานดินซึ่งแห้งสะอาด เสี่ยวซุ่ยนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ หลังจากทำงานซักผ้าช่วงเช้าเสร็จ ดวงตากลมโตของนางทอดมองเฉินอี้ที่กำลังกวาดใบไม้ด้วยท่าทีจริงจังเขาขยับไม้กวาดอย่างมั่นคง ร่างกายของเขายังคงบาดเจ็บที่ช่วงไหล่ ทำให้ยกของได้ไม่ถนัดนัก แม้ซูหรงจะปฐมพยาบาลด้วยโอสถขนานเอกของตำหนักเซียนให้แล้วก็จริง แต่ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกสักพัก ถึงกระนั้นเขาก็ดึงดันจะทำงานต่อ อวี้ไป๋เฉินจึงได้มอบหมายให้เขาทำงานที่ไม่ต้องยกของ คืองานกวาดลานแทนนางเห็นสภาพบาดเจ็บของเขาก็รู้สึกอนาถใจที่ตัวเองไร้พลัง และสงสารที่คนจิตใจอารีเช่นเขา กลับไม่มีวิชายุทธ์ใดที่พอป้องกันตัวได้เลย ถึงกระนั้นลั่วชิงในร่างเสี่ยวซุ่ยก็รู้ดีว่าตนไม่สามารถเอ่ยอะไรตรง ๆ ออกมาเพื่อเป็นการชี้แนะให้เขาพัฒนาฝีมือได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงวิชายุทธ์หรือแสดงตัวตนที่แท้จริง ล้วนถูกยันต์ผนึกไว้หมดสิ้น คำพูดของนางในตอนนี้ทำได้เพียงเจรจาอย่างเด็กสาวไร้การศึกษาที่พูดคุยตามประสาเท่านั้นแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น… ก็ใช่ว่าจะสอนใครไม่ได้เสียทีเดียว นางใช้เวลาครุ่นคิดทั้งคืนแล้วว่าจะช่วยเหลือเขาอย่าง
ค่ำวันนั้น โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นถูกแต่งแต้มด้วยแสงโคมแดงและกลิ่นอาหารหอมฉุย และบริเวณที่กลิ่นอาหารอบอวลมากที่สุดก็เห็นจะเป็นโต๊ะสำหรับรับรองแขกพิเศษของโรงเตี๊ยมในคืนนี้เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสะอาดเรียบร้อย เดินถือถาดอาหารเดินวนไปมา คอยเติมชาให้ผู้คน แม้จะยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ไม่ทำถ้วยตก นางรู้สึกปลาบปลื้มกับพัฒนาการในการคุมร่างกายของตัวเองที่ทำได้ดีขึ้น แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตามขณะทำงาน นางก็ลอบชำเลืองไปยังห้องรับรองหลัก ก็พบว่าแขกในคืนนั้นคือชายฉกรรจ์สี่คนที่แต่งกายคล้ายจอมยุทธ์ต่างสำนัก เสื้อลมผ้าหนา ปักสัญลักษณ์ประหลาดบนอกเสื้อ และแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมเกินกว่าผู้มาเยี่ยมเยียนโดยไมตรี ในโต๊ะเดียวกันนั้น อวี้ไป๋เฉินนั่งอยู่หัวโต๊ะเพื่อเผชิญหน้ากับแขกทั้งสี่ เสี่ยวซุ่ยเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาทำงานที่นี่ เขามีเส้นผมสีดำสนิทราวขนนกอีกา ปล่อยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเรียวงามได้รูป ผิวราวกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่มมาเนิ่นนาน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน ๆ คิ้วของเขาเรียวยาว ดวงตาสีน้ำตาลก็เรียวเฉียงชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกของเขาโด่ง รับกับใบหน้าทั้งหมดอย่างน่าพึงพอใจ เสื้อผ้าของเขาเป็นช
แสงแดดยามเช้าที่สาดทอลงมาในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นวันนี้ ดูแทบไม่ต่างจากทุกวัน แต่สำหรับเสี่ยวซุ่ยแล้ว เช้านี้มีบางอย่างผิดปกติ เพราะทันทีที่นางเดินมาถึงลานซักผ้าใต้ร่มไม้หลังโรงเตี๊ยม ก็พบกับซูหรง ในชุดเสื้อผ้าสีแดงสด กำลังยืนกอดอก รออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนจะสงบนิ่ง แต่สายตานั้นแฝงความน่าหวาดหวั่นใจบางอย่าง ทำเอาร่างกายที่ถูกทำให้มีอาการอย่างเด็กสาวทั่วไปต้องอดสั่นน้อย ๆ ไม่ได้“เสี่ยวซุ่ย วันนี้เจ้าจะต้องทำงานเพิ่ม” ซูหรงเอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีทรงอำนาจ “เริ่มจากไปซักผ้าปูโต๊ะทั้งหมดในร้าน ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอนด้วย ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว เจ้าต้องทำคนเดียวนะ วันนี้คนอื่นน่าจะยุ่ง ๆ กับการเตรียมตัวต้อนรับแขกพิเศษ เห็นว่าสหายเก่าของท่านอวี้ไป๋เฉินจะมาเยี่ยมเยือน”เสี่ยวซุ่ยชะงักเล็กน้อย นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ปกติของสาวใช้ฝึกหัดทั่วไป งานเหล่านี้รวมทุกอย่างแล้ว ต้องใช้แรงกายมาก และใช้เวลาทั้งวัน หากไม่ใช่เพราะซูหรงตั้งใจสั่งเอง สาวใช้ฝึกหัดไม่น่าจะได้ทำด้วยซ้ำ“เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้เสร็จ…” เด็กสาวพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าเจือความลังเล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้แต่เพียงรับคำสั่งเท่านั้น“เช่นนั
เช้าวันใหม่ในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเริ่มต้นด้วยเสียงเก็บถาด ล้างหม้อ และกลิ่นหอมของข้าวร้อนผสมกลิ่นซุปสมุนไพรอ่อน ๆ ดังลอยปะปนกับเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เดินขวักไขว่ เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าหม่น เดินอยู่ท่ามกลางนั้นอย่างเงียบ ๆ มือขาวนวลของนางถือตะกร้าผักแนบอก ท่าทางไม่ต่างจากสาวใช้คนอื่น ทว่าในแววตายังเจือร่องรอยของความอึดอัดบางประการเมื่อเดินเข้าไปในห้องครัว นางเห็นพี่หลินกำลังสั่งให้สาวใช้อีกคนปอกขิง เตรียมพริกแห้ง และล้างชามดินเผา“เสี่ยวซุ่ย” พี่หลินเรียกเสียงนิ่งตามเคย “วันนี้เจ้าช่วยต้มถั่วเขียวในหม้อใหญ่นั่น ข้าจะทำข้าวต้มถั่วเป็นมื้อเช้า”“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเรียบ ก่อนจะเดินไปที่หม้อขนาดใหญ่ ตั้งน้ำ ตวงถั่วตามที่คิดว่าเคยเห็นคนทำมาก่อน ทว่าขณะจะจุดไฟ นางกลับจ้องไม้ฟืนอยู่นานอย่างประหลาด“ไม่น่าจะยาก...” เซียนอายุนับพันในร่างเด็กสาวคิดในใจ ก่อนจะพยายามจุดไฟโดยใช้หินเหล็กและฟืนแบบชาวบ้าน แต่หลังพยายามอยู่ครู่ใหญ่ เปลวไฟกลับยังไม่ติดดีนัก ควันกลับฟุ้งขึ้นเต็มหน้า และเมื่อนางพยายามเติมถั่วในน้ำต้ม ก็พลาดทำตกกระเด็นครึ่งถุงจนกลิ้งเต็มพื้นหิน“อ๊ะ…” นางอุทานเบา ๆ พลางก้มลงเก็บ