เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่ผิงถิงลืมตาตื่นพร้อมกับความหนักอึ้งของศีรษะ ร่างทั้งร่างเจ็บระบมราวกับถูกเหล็กร้อนทุบกระดูกนับพันครั้ง บริเวณหว่างขาปวดหนุบหนับ เพียงขยับขาก็เจ็บจี๊ดที่จุดอ่อนไหว
นี่นางเป็นอะไรไป ร่างอรชรพลิกตะแคงมาอีกฝั่ง ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าด้านข้างมีคนตัวโตนอนอยู่ แผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน
ลู่ผิงถิงอ้าปากหวอ พร้อมกับนำมือเรียวยาวมาปิดปากไว้
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนแล่นเข้าสมองเป็นฉาก ๆ ไม่น่าเชื่อว่าตนเองจะมีพฤติกรรมน่าหวาดกลัวแบบนี้
ไม่จริงหรอกมั้ง? ลู่ผิงถิงยังไม่เชื่อและคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคือความฝัน
หลังจากที่บุรุษคนนั้นจู่โจมจุมพิตมาแบบที่นางไม่ทันตั้งตัว ซึ่งทำให้นางรู้สึกดีราวฝันหวาน นางจึงส่งคืนเขาด้วยจูบที่ร้อนแรงยิ่งกว่า
นางทั้งกัดไหล่ทั้งข่วนหลังเขา แล้วยังเรียกร้องให้เขาใช้แรงให้มากกว่านี้ เมื่อเขาไม่ได้ดังใจนางก็เป็นฝ่ายกระทำซะเอง
ไม่เพียงเท่านั้นนางยังบอกว่าเขาอ่อนหัด และเรียกร้องให้เขากระทำกับนางอีกครั้งและอีกครั้ง ทำให้เมื่อคืนนางจำไม่ได้เลยว่า นางและเขาผลัดกันรุกผลัดกันรับไปกี่ครั้ง
ลู่ผิงถิงอับอายอย่างมาก อยากมุดแผ่นดินหนีไปจากตรงนี้
ต่อไปนางจะไม่ดื่มของมึนเมาอีก สุรานี้ร้ายกาจนักทำให้นางกลายเป็นจิ้งจอกราคะไปได้
คนข้างกายพลิกตัวตะแคงหันมา เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากของเขามีรอยแผล คงไม่ใช่นางกัดเขาอีกหรอกนะ แล้วร่องรอยม่วงจ้ำพวกนั้นบนกายเขา เป็นนางทำอีกแล้วหรือ
ลู่ผิงถิงใช้ผ้าห่มคลุมศีรษะตัวเองไว้ นางไม่อยากเห็นรอยยิ้มแบบนั้น
ยังดีที่คนผู้นี้เป็นสามีของนาง ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่มีหน้าอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
“เหตุใดมาอยู่ที่ห้องของอู่เหยียน” มู่เซียวเซ่อเอ่ยปากถาม
ย้อนไปตอนอยู่ในวังหลวง ในตอนที่ได้ยินเสียงกงกง มู่เซียวเซ่อก็นึกขึ้นได้ ว่าตำหนักเติ้งอันมีทางลับ
ช่วงอายุแปดขวบเสด็จแม่ชอบพาเขาแอบออกจากวัง มาเที่ยวเล่นที่ตลาดด้วยเส้นทางลับนี้ พระนางสั่งคนให้ขุดอุโมงค์ใต้ดิน จากตำหนักเติ้งอันไปถึงเขตนอกพระราชวัง ซึ่งมีเพียงเขาและเสด็จแม่ที่รู้เส้นทางลับนี้ แม้แต่เสด็จพ่อก็ยังไม่รู้
เขาจึงหนีออกมาก่อนที่เสด็จพี่ของเขาจะเข้ามาพบ และได้วกกลับไปด้วยวิชาตัวเบา หลบหลีกองครักษ์ไปยังสถานที่จัดเลี้ยง แล้วเดินออกจากที่นั่นอย่างผ่าเผย เพื่อให้คนในพระราชวังเห็นเวลาเขาออกจากวังหลวง
พอออกจากพระราชวังได้เขาก็กระอักเลือดออกมา เขาอดกลั้นจนเลือดลมตีกลับ แกนกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายทรมานด้วยความร้อนของไฟปรารถนา เขาต้องการปลดปล่อยออก
กัดฟันทนเพื่อมาหาสหายที่เป็นหมอ รู้ว่าสหายต้องรักษาพิษกำหนัดนี้ได้ แต่พอเข้ามาในห้อง ที่อู่เหยียนพักประจำยามมาเมืองหลวง กลับพบเจอกับลู่ผิงถิงชายาตนเอง และในตอนนั้นเขาอดกลั้นไม่ไหวแล้ว เพียงต้องการให้นางช่วยเขาแบ่งเบาไฟร้อนในกายออกไปบ้าง
นึกไม่ถึงว่านางจะเร่าร้อนยิ่งกว่าไฟในอกเขาเสียอีก
คิดมาถึงตรงนี้มู่เซียวเซ่อก็ยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“หม่อมฉันมาหาหมอเทวดาเหยียน”
รอยยิ้มของอ๋องหนุ่มหุบลงทันใด “พวกเจ้ารู้จักกัน?”
ลู่ผิงถิงไม่ชอบที่โดนสอบสวนเหมือนนักโทษ นางยังไม่ถามเรื่องส่วนตัวเขาเลย แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาถามเรื่องส่วนตัวของนาง “แล้วท่านอ๋องเล่าเพคะ เหตุใดมาที่หอเฟิ่งหวง หรือมาหาสตรีอุ่นเตียงของท่านคนนั้น ขออภัยด้วยที่หม่อมฉันไม่ใช่นาง”
“.....” นี่เขาถามนางอยู่นะ เหตุใดนางถามกลับมาโดยไม่ตอบคำถามเขาเล่า หรือว่านาง...อ๋องหนุ่มยิ้มกว้าง “เจ้าหึงข้ารึ”
“เปล่าเพคะ” ลู่ผิงถิงลดผ้าห่มเหนือศีรษะมาไว้ตรงใต้ตา แล้วเหลือบมองสามี
เขานอนตะแคงมือเท้าศีรษะมองนางอยู่ ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาคลุมศีรษะอีกครั้ง “ท่านอ๋องลุกขึ้นไปยืนให้ไกลจากหม่อมฉันหน่อย”
อ๋องหนุ่มเลิกคิ้ว “ร่างกายข้ายังปวดระบมลุกไม่ไหว” ยิ้มมุมปาก ไม่คาดคิดว่านางจะน่ารักแบบนี้
“เช่นนั้น เช่นนั้น ท่านก็หันไปอีกฝั่งหม่อมฉันจะใส่เสื้อผ้า”
“ได้” อ๋องหนุ่มตะแคงไปอีกฝั่งตามคำขอของนางด้วยรอยยิ้มมีความสุข
ลู่ผิงถิงลุกขึ้นนั่งใช้ผ้าห่มพันลำตัวแล้วก้าวขาลงจากเตียง แม้จะรู้สึกเจ็บระบมไปทั้งตัว แต่นางอยากออกไปจากตรงนี้ เดี๋ยวนี้
เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเต็มพื้น ภาพที่นางถอดอาภรณ์เขาเหวี่ยงทิ้งทีละชิ้นก็ลอยเข้ามาในหัว
......................
น้องลู่ลูก แม่เสือสาว
คุณนักอ่านขา ฝากติดตามด้วยนะงับ
“หม่อมฉันติดหนี้น้ำใจท่านอ๋องแล้วหนึ่งครั้ง ขอบพระทัยมากนะเพคะ” ลู่ผิงถิงยิ้มกว้างรอยยิ้มนี้ออกมาจากใจไม่ได้เสแสร้ง“ไม่มีหนี้น้ำใจสำหรับสามีภรรยา” อ๋องหนุ่มใช้นิ้ว เขี่ยจมูกได้รูป เขายิ้มกว้างให้พระชายาตัวน้อยของเขาเช่นกัน“เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปหาหมอเทวดาเหยียน”อ๋องหนุ่มหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องไปหาเขา รออยู่กับข้าที่นี่ ตอนรักษาข้าจะไปด้วย” เขาไม่ปล่อยให้สองคนนี้อยู่ด้วยกันอีกเป็นอันขาด จากนี้ไปจะปล่อยนางให้คาดสายตาไม่ได้แล้ว เกิดเมาสุราขึ้นมานางอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้“แต่หม่อมฉันต้องกลับไปดูแลท่านแม่ที่จวนลู่”“ข้าจะไปกับเจ้า”“....”อ๋องหนุ่มเตรียมบัวหิมะเหมันต์ แล้วพาพระชายาออกจากจวนอ๋องไปจวนลู่ สั่งให้พ่อบ้านจางไปแจ้งข่าวอู่เหยียนที่หอเฟิ่งหวง ว่าพรุ่งนี้ให้ไปรักษาท่านแม่ยายที่จวนตระกูลลู่ณ จวนตระกูลลู่ลู่ผิงถิงสังเกตุคิ้วที่ขมวดแน่นของสามีก็รู้ว่าเขาไม่คุ้นชินกับสถานที่คับแคบแห่งนี้ “ท่านอ๋อง ที่นี่คับแคบมาก ถ้าท่านรู้สึกไม่สะดวกกลับไปพักที่จวนอ๋องก็ได้นะเพคะ”“ข้าอยู่ได้”“...” อยู่ได้เหตุใดต้
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเสวยได้ทุกอย่าง” พ่อบ้านจางตอบทันครวญอย่างไม่คิด เขาเห็นท่านอ๋องเสวยสิ่งใดก็ดูเอร็ดอร่อยไปหมด“แล้วเมนูที่ท่านอ๋องชอบกินที่สุดเป็นเมนูใด”“ไม่...พระชายาจะลงครัวทำอาหารให้ท่านอ๋องหรือพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านจางเอียงคอถามยิ้ม ๆ เขาเกือบตอบไปแล้วว่าไม่มีเห็นใบหน้างดงามของพระชายาแดงระเรื่ออย่างเขินอาย พ่อบ้านจางยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่“ทำไม หรือข้าไม่ควรปรนนิบัติสามีของข้า” ลู่ผิงถิงปั้นหน้าบึ้งตึงถามออกไป“กระหม่อมผิดไปแล้ว พระชายาโปรดอภัยให้ด้วย กระหม่อมคิดว่า ท่านอ๋องชอบทานทุกอย่างที่พระชายาลงมือทำให้พ่ะย่ะค่ะ”“ดี ถ้าเขาไม่ชอบข้าจะลงโทษเจ้า” ลู่ผิงถิงกล่าวจบก็เดินไปที่ห้องครัวนางเห็นวัตถุดิบแล้วจึงเลือกทำ อาหารมาสองสามอย่างนางต้มซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ซึ่งเป็นเมนูที่นางชอบกิน และฝึกทำกับมารดาอยู่นานกว่าจะปรุงรสชาติให้อร่อยเหมือนมารดาทำได้จากนั้นก็ต้มน้ำแกงรากบัวอีกหนึ่งอย่าง และอาหารจานสุดท้ายคือพัดผัก เมนูพวกนี้เป็นอาหารที่นางชอบ เมื่อนางไม่รู้ว่า ชินอ๋องชอบทานสิ่งใดบ้าง จึงตัดสินใจทำสิ่งที่ตัวเองชอบไปเสียเ
“ข้าลืมไปหมดแล้ว”อู่เหยียนไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีกับลู่ผิงถิง ยังดีที่รู้ชัดแจ้งก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้ “นางมาขอให้ข้าไปรักษามารดาของนาง ข้ากับนางเพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน พอใจยัง”“เช่นนั้นก็ไปรักษา”“รู้แล้ว รอนางหาบัวหิมะเหมันต์มา”มู่เซียวเซ่อหยิบหลักฐานขึ้นมาดูทีละอย่าง “แล้วเหตุใดนางถึงเมาเพียงนั้น เจ้าคิดไม่ซื่อกับนางใช่รึไม่”ยังไม่จบอีกจะบ้าตาย “โอ๊ยเซียวเซ่อ เจ้าควรถามข้าเรื่องที่ข้าลำบากลำบนสืบมา ไม่ใช่มาถามแต่เรื่องชายาของเจ้า” อู่เหยียนบ่นที่สหายไม่สนใจความลำบากของเขา “เจ้านี่เป็นเอามากแล้วจริง ๆ” คำท้ายนี้เขาพูดในลำคอ ไม่ให้สหายได้ยินแต่เมื่อเห็นสหายมองนิ่ง ๆ อย่างไม่ยอมจบ เขาจึงจำต้องเล่าอย่างละเอียดให้สหายฟัง “ก็ได้...ก็ได้...เริ่มแรกนางปีนเข้ามาในห้องข้า” เล่าต่อไปอย่างออกรส “นางคิดว่าข้าชมชอบบุรุษ” ยิ่งเล่าก็ยิ่งนึกถึงสตรีน่ารักคนนั้น “จากนั้นข้าก็แกล้งนางให้ดื่มสุราพอนางเมาข้าก็ไสหัวตัวเองไปหาที่นอนห้องอื่น”มู่เซียวเซ่อมองสีหน้าแววตาสนุกสนานปนความสุขของสหายตาขวาง “อู่เหยียน เงินค่าจ้างเจ้าคราวนี้ไม่ต้องรับ” เขาหยิบ
ไม่ ห้ามคิดถึงช่วงเวลานั้นอีก น่าอาย น่าอายชะมัดลู่ผิงถิงส่ายหน้าไปมา หยิบอาภรณ์ตัวเองแล้วรีบวิ่งเข้าไปหลังฉากกั้น นางหลับตาจับตรงบริเวณหัวใจที่เต้นรัวราวกับจะทะลุออกมานี่นางทำบ้าอะไรลงไปก๊อก ก๊อก เสียงประตูถูกเคาะพร้อมเสียงเรียก “ถิงเอ๋อร์ เจ้าตื่นรึยังข้านำน้ำแกงสร่างเมามาให้”ลู่ผิงถิงที่อยู่หลังฉากกั้นตาเบิกโพลง นางยังสวมเสื้อผ้าไม่เสร็จเลย หูได้ยินเสียงฝีเท้าบุรุษบนเตียงเดินไปเปิดประตูแล้ว“เซียวเซ่อเจ้ามาทำอะไรที่นี่ แล้วนี่เจ้า...” คำพูดของ อู่เหยียนหยุดลง อ้าปากค้าง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายใส่เพียงกางเกงซับในสีขาวตัวบาง เผยแผ่นอกกว้างและกล้ามท้องที่เรียงลอนเป็นมัด เท่านั้นยังไม่พอยังมีรอยม่วงช้ำรอยโดนกัดหลายจุด ตามซอกคอ แผ่นอก และหน้าท้องที่ไหล่ขวามีเลือดที่แข็งตัวแล้วเป็นรอยฟัน เมื่ออีกฝ่ายหันหลังเดินเข้าไปในห้อง อู่เหยียนก็เบิกตากว้างขึ้นกว่าเดิม แผ่นหลังของสหายเต็มไปด้วยรอยเล็บ นี่พวกเขา นี่...นี่พวกเขาอู่เหยียนมองไปบนเตียง เมื่อไม่พบสตรีตัวเล็กที่เมามายเมื่อคืน เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” อู่เ
เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่ผิงถิงลืมตาตื่นพร้อมกับความหนักอึ้งของศีรษะ ร่างทั้งร่างเจ็บระบมราวกับถูกเหล็กร้อนทุบกระดูกนับพันครั้ง บริเวณหว่างขาปวดหนุบหนับ เพียงขยับขาก็เจ็บจี๊ดที่จุดอ่อนไหวนี่นางเป็นอะไรไป ร่างอรชรพลิกตะแคงมาอีกฝั่ง ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าด้านข้างมีคนตัวโตนอนอยู่ แผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนลู่ผิงถิงอ้าปากหวอ พร้อมกับนำมือเรียวยาวมาปิดปากไว้ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนแล่นเข้าสมองเป็นฉาก ๆ ไม่น่าเชื่อว่าตนเองจะมีพฤติกรรมน่าหวาดกลัวแบบนี้ไม่จริงหรอกมั้ง? ลู่ผิงถิงยังไม่เชื่อและคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคือความฝันหลังจากที่บุรุษคนนั้นจู่โจมจุมพิตมาแบบที่นางไม่ทันตั้งตัว ซึ่งทำให้นางรู้สึกดีราวฝันหวาน นางจึงส่งคืนเขาด้วยจูบที่ร้อนแรงยิ่งกว่านางทั้งกัดไหล่ทั้งข่วนหลังเขา แล้วยังเรียกร้องให้เขาใช้แรงให้มากกว่านี้ เมื่อเขาไม่ได้ดังใจนางก็เป็นฝ่ายกระทำซะเองไม่เพียงเท่านั้นนางยังบอกว่าเขาอ่อนหัด และเรียกร้องให้เขากระทำกับนางอีกครั้งและอีกครั้ง ทำให้เมื่อคืนนางจำไม่ได้เลยว่า นางและเขาผลัดกันรุกผลัดกันรับไปกี่ครั้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่น่าสนใจจริง ๆ”อู่เหยียนผละออกจากร่างหอมกรุ่น เล่นสนุกก็ควรเล่นให้พอประมาณ “พูดคุยมานานแล้วข้ายังไม่รู้จักชื่อเจ้าเลย”“ข้าชื่อลู่ผิงถิง เป็นบุตรสาวของ...”“ข้าถามเพียงชื่อเจ้าไม่ได้ถามโคตรเหง้าตระกูลเจ้า”“....”อู่เหยียนเอ็นดูคนตัวเล็กที่มีสีหน้าเหลอหลา “ไปนั่ง กินข้าวแล้วค่อยคุย”“ไม่เป็นไร ท่านหมอเทวดาข้าไม่หิวแล้ว” ลู่ผิงถิงเอ่ยอย่างนอบน้อม หมอเทวดาเหยียนพูดมาเช่นนั้นใครจะกล้ากินลงอีก“เพิ่งนึกได้รึ ว่าไม่ควรกินของคนแปลกหน้า เมื่อครู่ไม่เห็นเจ้าจะกลัวเช่นนี้เลย” อู่เหยียนอดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่เขานั่งลงคีบอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ล่อตาล่อใจสตรีตรงหน้า “ไม่กินจริงหรือ อร่อยมากเลยนะ”ลู่ผิงถิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทว่านางไม่อยากผิดคำพูด นางบอกว่าไม่กินก็คือไม่กินแล้ว ถึงแม้ลำไส้ของนางจะเรียกร้องหาอาหารก็เถอะ“หมอเทวดาเหยียน ท่านจะไปรักษาท่านแม่ข้าได้หรือไม่” ลู่ผิงถิงเอ่ยถามเสียงแผ่ว“รักษานะได้อยู่ แต่...วันนี้เจ้ามาร่ำสุราเป็นเพื่อนข้า สักสามไหเป็นไง”“....”ยิ่งเห็นสตรีคนนั้นยืนทื่ออยู่กับที่ไม่ขยับ และไม่ตอบคำถาม ทั้งยังมองมาด้วยความคาดหวัง เขายิ่งนึกส
หอเฟิ่งหวงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ลู่ผิงถิงไปที่ชั้นสองดังเช่นสามวันก่อน นางมองหาผู้ดูแลจากนั้นจึงเข้าไปสอบถาม “ผู้ดูแล วันนี้หมอเทวดาเหยียนจะมายามใด”“แม่นางอยากรู้ข้อมูลก็ต้องจ่ายเงินขอรับ”ลู่ผิงถิงไม่อยากจ่ายเงินซ้ำซ้อนนางจึงเอ่ยหลอกล่อเอาข้อมูลจากผู้ดูแล “ข้าเป็นแขกที่หมอเทวดานัดไว้ เจ้าเสียมารยาทกับข้าเช่นนี้ใช้ได้รึ”ใบหน้างามเชิดขึ้นอย่างถือดี“ข้าน้อยขออภัยขอรับ เช่นนั้นแม่นางไปรอที่ชั้นสามห้องผกามาศ ข้าน้อยจะนำทางท่านไป”“ไม่ต้อง...เจ้าทำงานของเจ้าไปเถิด ข้ามีขาเดินไปเองได้” ลู่ผิงถิงแสร้งเปล่งเสียงไม่พอใจออกมาเมื่อหันหลังให้ผู้ดูแลมุมปากได้รูปก็ยกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ครั้งนี้ข้อมูลแน่นโดยไม่ต้องเปลืองเงินสักแดงเดียวลู่ผิงถิงขึ้นไปชั้นสามนางนั่งรออยู่ตรงระเบียง ฝั่งตรงข้ามกับห้องผกามาศ รอหมอเทวดาเหยียนมาถึงจะแสร้งวิ่งหนีอะไรบางอย่าง แล้วบังเอิญไปชนเขา พอได้รับบาดเจ็บจากนั้นเขาก็จะพานางไปรักษาในห้องเท่านี้ก็สามารถพูดคุยเรื่องการรักษาท่านแม่กับเขาได้แล้วสายลมอ่อน ๆ พัดมาพร้อมกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ ลู่ผิงถิงสูดดมกลิ่นหอมสดชื่นนั้น เนื่องด้วยเมื่อคืนนางอดหลับอดนอนดูแลมารดา เมื่อไ
ครานี้ผู้ที่มารินสุราเป็นนางกำนัลตัวน้อย ไม่รู้ว่านางประหม่าหรืออย่างไร จึงทำสุราหกราดอาภรณ์ของมู่เซียวเซ่อจนเปียกปอน “ขออภัยท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ หม่อมฉันสมควรตายเพคะ ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย”นางคุกเข่าคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซียวเซ่อคร้านจะใส่ใจนางกำนัลตัวเล็กจึงลุกขึ้นยืน “เสด็จพี่ กระหม่อมขอตัวไปเปลี่ยนอาภรณ์”“อืม เราก็จะไปสุขาเช่นกัน” ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยห้องจัดเลี้ยงกว้างขวาง เหลือเพียงจี้ฮองเฮานั่งอยู่ลำพัง จิตใจสั่นไหวเมื่อพบกับมู่เซียวเซ่ออีกครั้ง ความรักที่ถูกกดลึกไว้ในอก และความทรงจำเก่า ๆ ได้เอ่อล้นขึ้นมาวันนั้นนางจำได้ดี เป็นงานเลี้ยงต้อนรับชัยชนะของท่านพ่อ และเป็นวันที่นางพลาดพลั้งอย่างไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็มีฝ่าบาทนอนอยู่ด้านข้าง เราทั้งสองไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ ผู้คนจำนวนมากพบเห็นเรื่องนี้ทำให้จี้ฝู่หลิงไม่มีหน้าไปพบเจออดีตคนรักอีก ยอมอภิเษกกับฝ่าบาททั้งที่ใจไร้รักเริ่มแรกฝ่าบาทเอาอกเอาใจ ทำดีกับจี้ฝู่หลิงทุกอย่าง ทว่า...วันคืนดี ๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อบิดาของนางถูกสังหารในสนามรบ เขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นเหมือนสัตว์ป่าดุร้าย ทรมานนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนาง
สามวันผ่านไป ลู่ผิงถิงยังดูแลมารดาอยู่จวนตระกูลลู่ พวกบิดายังไม่กลับมาได้ยินว่าพากันออกไปท่องเที่ยวทิศประจิม และดูทำเลการค้าเพื่อขยายกิจการร้านเสื้อผ้าลู่ผิงถิงเดินไปที่เรือนใหญ่พบกับบ่าวที่เฆี่ยนพี่เสี่ยวซีเข้าพอดี จึงเรียกให้เข้ามาช่วยทำความสะอาดในห้องโถง พอบ่าวคนนั้นทำเสร็จออกไป คุณหนูใหญ่อย่างนางก็โวยวายว่าปิ่นปักผมหาย บอกให้บ่าวในเรือนช่วยกันตามหา ปรากฏว่าอยู่ที่ห้องของบ่าวที่เฆี่ยนพี่เสี่ยวซีไม่ได้ใส่ร้ายบ่าวคนนั้น เพียงแต่ใช้ปิ่นราคาหนึ่งร้อยตำลึงล่อตาล่อใจ หากนางไม่หยิบไปลู่ผิงถิงก็ไม่อาจลงโทษได้ แต่ครั้งนี้นางหยิบไปจึงหนีไม่พ้น เฆี่ยนพี่เสี่ยวซีไปกี่ครั้งต้องถูกเอาคืนเป็นสองเท่า ไม่ยอมให้พี่เสี่ยวซีเจ็บปวดคนเดียวแน่ ส่วนลู่ไป๋อิง รอก่อนเถอะจะจับตีให้ก้นลายเลยหนึ่งปีมานี้คงเรียนรู้กับฮูหยินรองมาก จึงเปลี่ยนไปเช่นนี้เมื่อก่อนน่ารักเชื่อฟัง หลังจากนางย้ายมาเรือนท้ายจวนน้องสาวก็เปลี่ยนไป ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาน้องสาวเสแสร้ง หรือเป็นแบบนี้มานานแล้วจัดการบ่าวคนนั้นเสร็จก็เข้าไปในห้องบิดา ค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับคดีของพี่ชายใหญ่มีอยู่วันหนึ่ง ลู่ผิงถิงบังเอิญได้ยินบิดาคุยกับพี่ชายคนรอ