พิริยายืนตะลึงมองตรงไปที่หน้าร้านอย่างทำตัวไม่ถูก “ขอโทษนะคะพี่ พอดีหนูถามพี่ร้านข้าง ๆ เขาบอกว่าขายได้ หนูเลยมาตั้งขายค่ะ” แล้วก็เอ่ยปากขอโทษอย่างจริงใจ
“ใครบอกกัน ฉันแค่บอกว่ายังไม่เห็นเจ้าของที่เท่านั้น” เจ้าของร้านขายขนมปฏิเสธออกมาเสียงแข็ง “เธอเป็นใคร ถึงมาหาเรื่องให้ฉันทะเลาะกับนังแววแบบนี้”
“อ้อ สรุปว่ามาแย่งที่ขายของฉันแบบหน้าด้าน ๆ เรอะ” แวว แม่ค้าเจ้าของที่ชี้หน้าตำหนิปิ่นแก้วเสียงดัง
“หนูขอโทษจริง ๆ พี่ หนูเข้าใจผิดไปเองตั้งแต่แรกว่าที่ตรงนี้ว่างวันนี้ เดี๋ยวหนูจะรีบเก็บของให้นะคะ” พิริยาพูดเสียงสั่น นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เจอตั้งแต่เกิดมาได้สองชาติ
“อ้อ..เอาเงินที่หล่อนขายได้ทั้งหมดมาให้ฉันด้วย เป็นค่าเช่าที่ทำให้ฉันเสียเวลายืนรอหล่อนเป็นหลายนาที”
“มันเกินไปรึเปล่าพี่ หนูผิด หนูยอมรับ หนูก็ขอโทษไปแล้วตั้งหลายรอบ ถ้าจะให้จ่ายค่าเช่า ก็ได้ หนูยอมจ่ายค่าเสียเวลาให้พี่แค่ 50 บาท แต่ถ้าจะต้องให้เงินทั้งหมดที่ขายได้นั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน”
“งั้นเตรียมเจอกับตำรวจได้เลย ฉันจะไปแจ้งความว่าหล่อนแย่งขายที่ประจำของฉัน แล้วยังคิดจะเบี้ยวค่าเช่าอีก”
“เอาเลยสิ ไปฟ้องเลย มาดูกันว่าตำรวจจะว่ายังไง ฉันจะรอแจ้งความกลับด้วยฐานขู่กรรโชก....” พิริยาเริ่มหงุดหงิด
ซ่า....
ไม่ทันพูดจบประโยค หญิงสาวกลับโดนน้ำถังใหญ่สาดเข้ามาจนเปียกปอนไปทั้งร่าง รวมถึงเสื้อผ้าที่ยังไม่ทันเก็บลงกล่องด้วย
“นี่แน่ะ! ไม่ยอมให้เงินเมียฉันใช่ไหม” ผู้ชายร่างท้วมที่ตอนนี้ในมือยังคงถือถังน้ำเปล่าอยู่ เอ่ยปากมองด้วยความสะใจ
“พี่แหวง ดีมาก สุดที่รักของแวว”
พิริยาตอนนี้อารมณ์ผสมปนเปกันไปหมด ทั้งโกรธ ทั้งตกใจ หวาดกลัวผสมกับความอับอาย เธอได้แต่ยืนนิ่งทำตาแดงมองเสื้อผ้าที่หล่นกระจัดกระจายบนพื้น และไม่รู้จะปลีกตัวออกจากสถานการณ์นี้อย่างไรดี
บางทีเธอก็แค่อยากมีชีวิตแบบชินจังก็เท่านั้น พิริยาน้ำตาคลอเบ้า
“พี่สุข เรียกตำรวจ” เสียงหญิงสูงอายุวัยประมาณหกสิบปีเอ่ยทำลายความเงียบ พร้อมกับเดินตรงไปที่พิริยายืนอยู่และก้มตัวลงช่วยเก็บเสื้อผ้าที่ตกพื้นให้
“คนเขาขอโทษแล้ว ยอมจ่ายค่าเช่าส่วนหนึ่งก็แล้ว ยังไม่ยอมความอีก ให้ตำรวจมาดูก็แล้วกัน วันนี้นอกจากไม่ได้ขายแล้ว น่าจะโดนข้อหาทำร้ายร่างกายกับขู่กรรโชกไปอีกหลายกระทง”
“ป้าลี อย่ายุ่งเรื่องนี้ ฉันไม่อยากทำร้ายคนแก่” ฝ่ายสามีที่ชื่อแหวงเอ่ยปากขู่เสียงดัง
“ก็ลองมาทำร้ายดูสิ” ป้า ‘ลี’ เอ่ยท้าอย่างไม่กลัวเกรง
แหวงและแววมีหรือจะกล้า พวกเขารู้จักป้ามาลีและลุงสุขเจ้าของร้านขายน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋หน้าโรงภาพยนตร์เป็นอย่างดีว่าเป็นขาใหญ่แค่ไหน เพราะเปิดร้านขายที่หน้าโรงภาพยนตร์มาหลายสิบปี จึงเป็นที่รู้จักและเคารพนับถือของผู้มีอิทธิพลแถบนี้เป็นอันมาก อีกทั้งลูกชายของป้ามาลีและลุงสุขยังเป็นสารวัตรใหญ่ประจำสถานีตำรวจที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ด้วย
“ตำรวจกำลังมาแล้ว” ลุงสุขเดินเข้ามาพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย ในขณะที่แหวงและแววเริ่มอยู่ไม่สุข เพราะรู้ตัวว่าทำเกินกว่าเหตุไปมาก
“ล..หล่อนรีบเก็บของแล้วกัน ที่เหลือถือว่าแล้วกันไป คราวหน้าอย่าทำอีก ค่าเช่าวันนี้ฉันไม่คิดจากหล่อนแล้ว” แววพูดอย่างปากกล้าขาสั่น “ไป พี่แหวง ไปขนของเข้ามาเตรียมเปิดร้าน”
“เดี๋ยว!” พิริยารีบเรียกคู่กรณีให้หยุดและเดินไปหาทั้งที่ดวงตายังคงแดงก่ำ เธอควักเงินจำนวนห้าสิบบาทยื่นให้ “ฉันสัญญาไว้แล้วจะจ่ายค่าเสียเวลาให้ 50 บาท ฉันไม่ใช่คนผิดคำพูด” หญิงสาวยัดเงินห้าสิบบาทใส่กระเป๋าเสื้อของแววแล้วหันไปเก็บเสื้อผ้าของตัวเองต่อ ขณะที่มาลีลอบมองมาอย่างชื่นชม
“ไปนั่งที่ร้านของป้ากัน ตาสุข มาช่วยเด็กเข็นรถหน่อย”
-----
“กลัวมากไหมลูก” มาลีเอ่ยปากถามด้วยความเอ็นดูพร้อมกับส่งน้ำเต้าหู้ให้
พิริยาพยักหน้าน้อย ๆ น้ำตาพานจะหยดออกมาเสียเดี๋ยวนั้น “แก้วขอบคุณลุงกับป้ามากนะคะที่ช่วย ไม่อย่างนั้นตอนนี้ก็คงยังไม่หมดเรื่อง”
“แล้วเราเป็นใครมาจากไหน แล้วจู่ ๆ คิดยังไงถึงมานั่งขายของแบบนั้น”
พิริยาได้เล่าเรื่องของตัวเองให้คู่สามีภรรยาฟังอย่างไม่ปิดบัง “...แก้วกำลังคิดจะหางานทำค่ะ ว่าจะลองทำไปเรื่อย ๆ ก่อน ดูว่าอาชีพไหนเหมาะกับเรา เผอิญมีพี่ที่รู้จักนำเสื้อผ้าจากโรงงานมาให้ขาย เลยคิดจะลองขายดู แต่ไม่นึกเลย ขายวันแรกก็เป็นเรื่องเสียแล้ว”
“ป้าคะ ลุง อยู่บ้านกันหรือเปล่า”วงเดือนโผล่หน้าออกมาจากชานเรือน เมื่อเห็นว่าใครกำลังยืนเรียกอยู่ที่หน้าบ้าน เธอก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างดีใจ “แก้ว กลับมาแล้วเหรอ ขึ้นมาบ้านก่อนเร็วแดดกำลังร้อน”หลังจากตื่นนอนวันนี้ พิริยาได้ตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน อย่างน้อย บ้านน้อยหลังนี้ก็เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของเธอ ถึงแม้จะยังไม่รู้สึกคุ้นชินนักแต่เธอก็อยากจะลองปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตตอนนี้ให้ได้ เผื่อจะมีลู่ทางที่ดีเพิ่มขึ้นในอนาคตเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและจริงใจของวงเดือน เธอรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาที่อก บางทีชีวิตที่กำลังดำเนินต่อไปของเธออาจไม่ได้แย่เกินไปนักก็ได้ พิริยาส่งยิ้มพร้อมกับหิ้วของพะรุงพะรังเดินขึ้นบ้านไป“หิ้วอะไรมาเยอะแยะ”“ของฝากค่ะป้า ลุงกับไทยไม่อยู่บ้านเหรอคะ”“ลุงเขาไปทำงานในไร่ ส่วนเจ้าไทยไม่รู้ไปซนที่ไหน หายหัวไปตั้งแต่กินมื้อเช้าเสร็จ ดีว่าอาทิตย์หน้าเปิดเทอมแล้ว”“นี่ค่ะของฝาก ถุงเล็กนี่เป็นขนมของไทย ส่วนที่เหลือของลุงกับป้านะคะ&
มาลีและสุขเมื่อได้ฟังเรื่องราว แววตาทั้งคู่ที่มองมาจึงแฝงไปด้วยความเห็นใจอยู่มาก อายุเพียงเท่านี้ก็ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเองและหมดโอกาสได้เรียนต่ออย่างที่ควรจะเป็น“จำไว้นะลูก บริเวณขายของแถวไหนที่มีคนพลุกพล่านก็มักจะมีเจ้าถิ่นอยู่แล้ว แล้วยิ่งที่ตรงไหนขายดี ที่นั่นเจ้าที่มักจะดุเป็นพิเศษ ยังนับว่าโชคดีที่ไม่โดนทำร้ายหนักกว่านี้”พิริยาพยักหน้าและส่งยิ้มให้อย่างอาย ๆ “แก้วจะจำไว้ค่ะ คราวหน้าไม่กล้าตั้งร้านแถวนี้อีกแล้ว เข็ดจนตายเลย”“แล้วถ้ามีที่ให้ขายจริง ๆล่ะ แก้วจะทำรึเปล่า” เมื่อเห็นหญิงสาวมองมาด้วยความแปลกใจ ลุงสุขก็เอ่ยปากพูดต่อ “แต่ขายได้เฉพาะเสาร์อาทิตย์เท่านั้น สนใจไหม”พิริยามีเหรอจะไม่สนใจ “ไม่มีเจ้าถิ่นแน่นะคะ” ก่อนเอ่ยปากถามเพื่อความมั่นใจ“ฮ่าฮ่า..เจ้าถิ่นก็ลุงกับป้านี่แหละ” ลุงสุขหัวเราะออกมาอย่างชอบใจก่อนขยายความต่อ “ตรงหน้าร้านน้ำเต้าหู้นี้แหละ ตั้งแต่อาทิตย์หน้าไป ลุงกับป้าจะมาขายแค่วันจันทร์ถึงศุกร์
พิริยายืนตะลึงมองตรงไปที่หน้าร้านอย่างทำตัวไม่ถูก “ขอโทษนะคะพี่ พอดีหนูถามพี่ร้านข้าง ๆ เขาบอกว่าขายได้ หนูเลยมาตั้งขายค่ะ” แล้วก็เอ่ยปากขอโทษอย่างจริงใจ“ใครบอกกัน ฉันแค่บอกว่ายังไม่เห็นเจ้าของที่เท่านั้น” เจ้าของร้านขายขนมปฏิเสธออกมาเสียงแข็ง “เธอเป็นใคร ถึงมาหาเรื่องให้ฉันทะเลาะกับนังแววแบบนี้”“อ้อ สรุปว่ามาแย่งที่ขายของฉันแบบหน้าด้าน ๆ เรอะ” แวว แม่ค้าเจ้าของที่ชี้หน้าตำหนิปิ่นแก้วเสียงดัง“หนูขอโทษจริง ๆ พี่ หนูเข้าใจผิดไปเองตั้งแต่แรกว่าที่ตรงนี้ว่างวันนี้ เดี๋ยวหนูจะรีบเก็บของให้นะคะ” พิริยาพูดเสียงสั่น นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เจอตั้งแต่เกิดมาได้สองชาติ“อ้อ..เอาเงินที่หล่อนขายได้ทั้งหมดมาให้ฉันด้วย เป็นค่าเช่าที่ทำให้ฉันเสียเวลายืนรอหล่อนเป็นหลายนาที”“มันเกินไปรึเปล่าพี่ หนูผิด หนูยอมรับ หนูก็ขอโทษไปแล้วตั้งหลายรอบ ถ้าจะให้จ่ายค่าเช่า ก็ได้ หนูยอมจ่ายค่าเสียเวลาให้พี่แค่ 50 บาท แต่ถ้าจะต้องให้เงินทั้งหมดที่ขายได้นั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน&r
พิริยาตื่นมาด้วยความสดชื่น คืนนี้เป็นอีกคืนที่นอนหลับได้สนิท เธอลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวอย่างกระฉับกระเฉง และก่อนจะออกจากพื้นที่ว่าง เธอก็ไม่ลืมแวะมาดูของที่เคาน์เตอร์มหัศจรรย์ด้วย หญิงสาวเริ่มจับสังเกตได้หลังจากผ่านไปสามวันและตัวเลขดิจิทัลบนเคาน์เตอร์ได้นับถอยหลังไปที่ ‘27’ คล้ายกับนับถอยหลังไปหาจุดที่สิ้นสุดและที่สำคัญ ในทุกเที่ยงคืนของวันใหม่จะมีของโผล่มาบนเคาน์เตอร์หนึ่งอย่างเสมอ มีอยู่หนึ่งวันที่เธอไม่ได้หยิบของบนเคาน์เตอร์ออก ของจะยังคงค้างอยู่แบบนั้น แล้วในวันรุ่งขึ้นก็จะไม่มีของใหม่โผล่มาเพิ่ม หลังจากนั้นเธอก็ใส่ใจจำเสมอว่าห้ามลืมหยิบของบนเคาน์เตอร์ออกทุกวัน“วันนี้เป็นเมล็ดพันธุ์ดอกไม้แฮะ” พิริยามองอย่างไม่เข้าใจ หลังจากแท็บเล็ตที่เป็นของชิ้นแรกแล้ว ชิ้นหลัง ๆ กลับเป็นแค่เมล็ดพันธุ์ผลไม้ วันละ 2-3 ชนิด ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจและไม่รู้ด้วยว่าจะสามารถนำไปใช้ทำประโยชน์อะไร แล้ววันนี้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ เธอมีสีหน้างุนงง ก่อนที่จะวางพวกมันไปกองกับบรรดาเพื่อน ๆ ที่โผล่มาก่อนหน้านี้“ถ้าเป็นทองแท่งแทนน่าจะ
“เราขอบใจเธอมากนะที่ช่วยเรา” หญิงสาวคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ“ไม่เป็นไรหรอก ผู้หญิงด้วยกัน แต่ถามจริง ๆ เถอะ ทำไมไม่โวยวายออกมาดัง ๆ ตั้งแต่แรก ยอมให้ตาแก่บ้ากามคนนั้นทำมิดีมิร้ายอยู่ได้”“เราไม่กล้า เราอายด้วย อีกอย่างผู้ชายคนนั้นอ้างว่าเราเป็นภรรยาแล้วทุกคนก็เชื่อเขาหมดเลย” หญิงสาวคนนั้นทำน้ำตาปริ่มอีกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนแบบฉบับผู้หญิงยุคนี้จริง ๆ ไม่กล้าโวยวาย ไม่กล้าแสดงออก พิริยามองอย่างอ่อนใจ“คราวหน้าถ้าเกิดเหตุอย่างวันนี้อีกให้ส่งเสียงดังโวยวายออกไปเลยรู้เปล่า อย่ามามัวนั่งเงียบ ๆ ติ๋ม ๆ แบบนี้ คนเขาก็เข้าใจผิดกันหมดว่าเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ แล้วไม่ต้องไปอายด้วย”“คนที่ควรจะอายคือไอ้ผู้ชายบ้ากามคนนั้น ถ้าเรามัวแต่นั่งเงียบ ๆ แบบนี้ ไอ้บ้านั่นจะยิ่งได้ใจ แล้วถ้าเกิดมันฉวยโอกาสลากเราไปปู้ยี่ปู้ยำได้อีก จะเป็นฝ่ายเราเองที่ต้องเสียใจไปตลอดชีวิตรู้ไหม” แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากตักเตือนออกไปหญิงสาวคนนั้นพยักหน้ารัวเหมือนไก่จิก
เมื่อมีเงินก้อนในมือ ตอนขากลับเธอจึงเลือกจองตั๋วรถไฟแบบนอนที่มีราคาสูงถึงสามร้อยบาท เธอไม่คิดจะนอนบนรถไฟจริง ๆ หรอก เธอจะเข้าไปนอนในพื้นที่ว่างเหมือนเดิม แต่เพื่อพรางสายตาผู้โดยสารคนอื่น เนื่องจากตั๋วนอนจะมีผ้าม่านกั้นเพื่อความเป็นส่วนตัวในแต่ละเตียง แล้วเธอก็เลือกนอนบนเตียงชั้นสองเพื่อป้องกันการสอดรู้สอดเห็นอีกชั้นหนึ่งผู้โดยสารในตอนนี้ยังคงมีอยู่ประปรายเนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเดินทาง เมื่อเธอเดินไปยังเลขที่นั่งที่จับจองไว้ก็พบว่าที่นั่งของตนมีผู้ชายขี้เมาคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วและที่สำคัญ ชายขี้เมาวัยกลางคนคนนี้กำลังพยายามจับแขนและโอบกอดสาวน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่อายสายตาผู้โดยสารคนอื่น ขณะที่สาวน้อยคนนั้นก็ทำท่าคล้ายกำลังจะร้องไห้ พยายามช่วยเหลือตัวเองโดยการดึงและปัดมือชายคนนี้ออกอยู่ตลอดเวลา แต่เธอกลับไม่กล้าเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือใด ๆ ออกมาแล้วก็เป็นพิริยาเองที่อดรนทนไม่ได้ นอกจากจะเป็นผู้หญิงด้วยกันแล้ว วัยของหญิงสาวที่กำลังโดนลวนลามก็ใกล้เคียงกับเธอด้วย“นี่ ตาแก่ ลวนลามผู้หญิงแบบนี้ใช้ได้เหรอ” เธอเ