แชร์

5.ห่วงหรือ

ผู้เขียน: ซูมู่หราน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-10-06 23:37:51

จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม  แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด  ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา  และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี

“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ”  หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด

“เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน”  จิ่นหรงออกคำสั่งเอง  ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว  เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก  จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า

“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”  มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง  เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ  

ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา  จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท  

“หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ”  ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล  เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ  จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง  

“อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน”  เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ  ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน

“ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก  หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด”  ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดู

จิ่นหรงจึงช้อนอุ้มเอานางขึ้นมา  ก่อนจะเดินตามกันไปที่ประตู  ซึ่งไฟรอบด้านยังคงลุกไหม้ราวกับมีคนเติมเชื้อเพลิงเข้าใส่  นี่ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกช่วยออกมาทันเวลา  ยามนี้คงตายอยู่ใต้ซากปะหลักหักพังที่กองสุมอยู่ตรงนั้นแล้ว

“ขอบคุณเจ้าที่ช่วยพวกเราไว้”  เขาเอ่ยแผ่วเบา  ถึงกระนั้นคนในอ้อมกอดก็ยังได้ยิน  และพึมพำตอบกลับมาว่า

“หากพระสวามีสำนึกก็พลีกายตอบแทนนะเพคะ” นางมิได้เอ่ยเปล่า  ทว่าใบหน้างามยังฝังลงที่ซอกคอเขาด้วย  

ร่างสูงจึงชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินทันที

“มีอันใดหรือจิ่นเอ๋อร์”

“ปะ…เปล่าพ่ะย่ะค่ะ”  เอ่ยตอบบิดาแล้วเขาก็เดินต่อ  ส่วนคนในอ้อมแขนยามนี้นิ่งไปแล้ว  ไม่รู้หลับจริงหรือแกล้งกันแน่

ทว่าหลังจากวันนั้น  ตันหยางก็หมดสติไปถึงสองวันเต็ม

พอฟื้นมาก็ร้องหาแต่ของกินอย่างกับคนหิวโหย  มีพี่สาวอย่างมู่ตันหยงมาคอยดูแลและทำอาหารให้  

“ช้าหน่อย  ประเดี๋ยวก็ติดคอตาย”  ตันหยงเอ่ยเตือนเสียงอ่อน  พร้อมกับรินชาส่งให้เหมือนอย่างเคย

“ก็มันหิวนี่…อาหารในวังก็มีแต่รสชาติจืด ๆ สู้อาหารที่พี่หญิงกับพี่จินมู่ทำให้กินไม่ได้สักนิด”  เอ่ยบอกไปตามจริง

ผู้พี่จึงได้แต่ยิ้มเอ็นดู “เห็นแก่กินไม่เปลี่ยน”

ตันหยางยิ้มรับก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินจนอาหารตรงหน้าหมด  จากนั้นสองพี่น้องก็นั่งพูดคุยกันอยู่พักใหญ่  กระทั่งค่ำตันหยงก็ขอตัวกลับ  มิเช่นนั้นจะไม่ทันเวลาปิดประตูวัง

“กลับดีดีนะเจ้าคะ  แล้ววันพรุ่งไม่ต้องมาแล้วนะ  พี่กำลังตั้งครรภ์อยู่  เดินทางไปมาบ่อย ๆ มันไม่ดีต่อหลานข้า”  ตันหยางกำชับ  พร้อมกับยื่นมือออกมาลูบท้องพี่สาวอย่างเบามือ

“เลยสามเดือนแล้ว  ไปมาได้เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก  ทว่าช่วงนี้พี่ก็คงจะมาเยี่ยมเจ้าไม่ได้จริง ๆ การตรวจเข้มของวังหลวงแน่นหนาจนน่ารำคาญ  ตั้งแต่เกิดเรื่องคนของเราแทบจะต้องถอดอาภรณ์ออกทั้งตัวจึงจะเข้ามาได้”

“ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ”  ตันหยางตาโต

ผู้พี่ก็พยักหน้าให้ “เจ้าต้องดูแลตัวเองนะ  พี่เกรงว่าคนชั่วที่หมายจะฆ่าล้างราชวงศ์อาจจะลงมืออีก”  

“ให้มันมาเถิด  น้องจะกวาดให้เรียบเอง”

ตันหยงหัวเราะอย่างขำขันก่อนจะเอ่ยว่า “แค่ถูกควันไฟยังหลับไปตั้งสองวัน  ยังจะอวดเก่งคิดกำจัดศัตรูอีกหรือ”

“พี่หญิง!  น้องไม่ได้หมดสติเพราะควันไฟเสียหน่อย  รู้หรือไม่ที่ทุกคนรอดมาได้ล้วนแต่เป็นน้องพาออกมานะ  อุตส่าห์ทำความดีกลับไม่มีใครเห็นเสียนี่”  ใบหน้างามค้อนขวับเข้าให้

“จริงหรือ?  ก็พี่ไม่รู้นี่  ไม่เห็นมีใครบอกเลย”  ตันหยงหันกลับมาหาคนสนิทน้องสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ  ตอนเกิดเรื่องพวกเราอยู่ด้านนอก  หลังจากดับไฟที่หน้าประตูได้ก็เห็นทุกคนนอนกองอยู่ในสวน  รวมถึงพระชายาด้วยเจ้าค่ะ”  มู่หลิงบอกไปตามที่เห็น

ตันหยงจึงหันกลับมาหาน้องสาว “แล้วเรื่องมันเป็นเช่นไร”

ตันหยางจึงบอกเล่าให้ทุกคนฟัง  และหนึ่งในนั้นก็มีอี้ฟานรวมอยู่ด้วย  หลังจากเกิดเรื่องเขาก็ได้รับคำสั่งให้อยู่อารักขาพระชายาที่นี่  แม้หานฟู่และมู่เฟิงจะบอกว่าไม่ต้องก็ตาม

“เจ้านี่นะ  ดีที่ร่างกายไม่มีบาดแผลอันใด”  

“น้องระวังตัวเก่งจะตาย  พี่หญิงอย่ากังวลเลย”

“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็อย่าได้ประมาทเชียว  ภายหน้าไม่รู้คนชั่วเหล่านั้นจะลงมือเช่นใดอีก  ได้ยินท่านโหวกล่าวว่ามันอาจจะเป็นฝีมือคนจากราชวงศ์ก่อน  พวกมันคงไม่รามือง่ายๆ”

“ราชวงศ์ก่อนหรือ”

“อืม… ได้ยินว่ายังเหลืออ๋องต่างแซ่ที่เป็นบุตรนอกสมรสของพระอนุชาของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนยังมีชีวิตอยู่  ยามนี้มีชันษาสามสิบแปดปีแล้ว  เทียบเท่ากับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของเรา ไม่แน่ยามนี้เขาอาจคิดที่จะชิงบัลลังก์คืนก็เป็นได้”

“ชิงบัลลังก์คืน!”  คนในห้องส่งเสียงประสานกัน

“ใช่…ท่านโหวกล่าวว่าน่าจะยังมีขุนนางที่จงรักภักดีกับฝ่ายนั้นอยู่ ทว่ายังไม่อาจสืบรู้ได้ว่ามีใครบ้าง และเพลิงไหม้ครานี้  คาดว่าคนในน่าจะมีส่วนรู้เห็น  มิเช่นนั้นคงไม่เจาะจงเผาแค่ตำหนักไทเฮาที่เดียวเป็นแน่”  ตันหยงเอ่ยตามที่ตนรู้มา

“ถึงว่าตอนที่หนีออกมาคนข้างนอกล้วนแต่หมดสติ  ดูท่าพวกเขาไม่ถูกวางยาก็คงดมควันไฟมากไปกระมัง  ตอนที่ข้าได้กลิ่นคราแรกก็รู้ได้ทันทีว่ามันมีพิษทำให้อ่อนแรง  จึงรีบสะกัดลมหายใจแล้วก็กินยา  มิเช่นนั้นคงหาวิธีพาคนอื่นออกมาไม่ได้แน่  ดีนะที่ข้าไหวตัวทัน  อ๊ะ!... พี่หญิงตีข้าทำไม”

“เจ้านี่ะ  ยังจะมาชื่นชมตนเองอีก  เกือบจะตายแล้วแท้ ๆ”

“โอ๋ ๆ น้องสาวพี่ไม่ตายง่าย ๆ หรอกเจ้าค่ะ  ท่านยมบาลเกรงว่าข้าจะไปป่วนยมโลก  เขาไม่กล้ามารับตัวข้าหรอกเจ้าค่ะ”  คนน้องยังคงเอ่ยติดตลก  สร้างเสียงหัวเราะเอ็นดูตามมา

รวมถึงคนที่ยืนอยู่มุมประตูในยามนี้ด้วย

“จะไม่เข้าไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ล่ะ  นางสบายดีแล้วไม่มีอันใดให้ต้องกังวล  ข้าจะไปหารือกับองครักษ์เกราะดำ”  สิ้นคำร่างสูงก็เดินจากไป  

ส่วนด้านในก็ยังคงพูดคุยกันต่อจนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องกลับแล้วจริง ๆ สองพี่น้องจึงบอกลากันอีกหน

“เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะ”  ตันหยงกำชับ

“ข้ารู้น่า  พี่ห่วงคนที่คิดมาทำร้ายข้าดีกว่านะ”

“ชิ”  ผู้พี่ค้อนขวับเข้าให้  “พี่ไปนะ  ยังต้องส่งคนออกตามหาไป่ฮวาอีก  ท่านย่ากับลุงไป่ห่วงนางจะแย่”  

“ยังหาตัวไม่พบอีกหรือ”

“ยัง…ไม่รู้หายไปได้อย่างไร  นางก็ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน  ทว่ากลับถูกพาตัวออกไปจากร้านทั้งที่เวรยามก็มีเฝ้าอยู่แท้ ๆ”

“พี่ไป่ฮวาเป็นคนดี  สวรรค์ย่อมคุ้มครองนาง  พี่ก็อย่าเป็นกังวลให้มาก  อย่าลืมว่ายามนี้กำลังตั้งครรภ์อยู่นะเจ้าคะ  เรื่องไหนที่วางลงได้ก็วางลงเสีย  ปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตากรรมของแต่ละคนไปเถิด  ยามนี้เราต้องดำเนินชีวิตด้วยตนเอง  มิใช่ตัวละครที่ถูกกำหนดให้เล่นตามบทบาท  พี่ไป่ฮวานางเป็นคนฉลาด  ย่อมไม่มีวันแพ้พ่ายให้ภัยอันตรายแน่นอน”

ตันหยงพยักหน้ารับ “พี่ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”  สองพี่น้องยิ้มให้กันก่อนจะแยกจากจริง ๆ เพราะยามนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

เมื่อพี่สาวออกไป  ตันหยางก็กลับมานั่งเล่นบนเก้าอี้ตัวยาวที่นางสั่งทำขึ้นและใช้งานมานานแล้ว  ช่วงที่ต้องเข้ามาเรียนรู้ขนบธรรมเนียม  นางก็สั่งให้คนเอามันเข้ามาด้วย  พอย้ายมาอยู่ที่นี่คนสนิทก็ไปยกมาไว้ที่ระเบียงหน้าตำหนัก

“ใต้เท้า  ท่านมีนามว่ากระไรหรือ”  ตันหยางคิดว่ามันได้เวลาที่นางจะต้องรู้จักกับคนในจวนนี้แล้ว

“กระหม่อมอี้ฟานพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นใต้เท้าอี้ฟาน  ท่านกลับไปอารักขารัชทายาทเถิด  ข้ามีองครักษ์ดูแลอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม  เพราะยามนี้คนที่ควรอารักขาคือพระสวามีข้ามากกว่า”  

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ  รัชทายาททรงเป็นห่วงพระชายา ไม่มีทางให้พระองค์อยู่กับองครักษ์ไม่กี่คนแน่”  อี้ฟานรีบบอกเหตุผล

“นายของเจ้ารู้จักห่วงข้าด้วยหรือ”  ริมฝีปากอิ่มยกมุมขึ้น เพราะไม่ค่อยเชื่อคำของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่

 

 

 

 

 

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   19. ตามทุกที่

    สองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   18. สืบเองง่ายกว่า

    นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   17. คนขี้งอน

    หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   16.ใครเป็นใหญ่

    หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   15. สะกดจิต

    ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   14. ภรรยาแสนดี

    จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status