เข้าสู่ระบบจิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี
“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด “เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน” จิ่นหรงออกคำสั่งเอง ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า “พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท “หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ” ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง “อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน “ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดู จิ่นหรงจึงช้อนอุ้มเอานางขึ้นมา ก่อนจะเดินตามกันไปที่ประตู ซึ่งไฟรอบด้านยังคงลุกไหม้ราวกับมีคนเติมเชื้อเพลิงเข้าใส่ นี่ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกช่วยออกมาทันเวลา ยามนี้คงตายอยู่ใต้ซากปะหลักหักพังที่กองสุมอยู่ตรงนั้นแล้ว “ขอบคุณเจ้าที่ช่วยพวกเราไว้” เขาเอ่ยแผ่วเบา ถึงกระนั้นคนในอ้อมกอดก็ยังได้ยิน และพึมพำตอบกลับมาว่า “หากพระสวามีสำนึกก็พลีกายตอบแทนนะเพคะ” นางมิได้เอ่ยเปล่า ทว่าใบหน้างามยังฝังลงที่ซอกคอเขาด้วย ร่างสูงจึงชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินทันที “มีอันใดหรือจิ่นเอ๋อร์” “ปะ…เปล่าพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยตอบบิดาแล้วเขาก็เดินต่อ ส่วนคนในอ้อมแขนยามนี้นิ่งไปแล้ว ไม่รู้หลับจริงหรือแกล้งกันแน่ ทว่าหลังจากวันนั้น ตันหยางก็หมดสติไปถึงสองวันเต็ม พอฟื้นมาก็ร้องหาแต่ของกินอย่างกับคนหิวโหย มีพี่สาวอย่างมู่ตันหยงมาคอยดูแลและทำอาหารให้ “ช้าหน่อย ประเดี๋ยวก็ติดคอตาย” ตันหยงเอ่ยเตือนเสียงอ่อน พร้อมกับรินชาส่งให้เหมือนอย่างเคย “ก็มันหิวนี่…อาหารในวังก็มีแต่รสชาติจืด ๆ สู้อาหารที่พี่หญิงกับพี่จินมู่ทำให้กินไม่ได้สักนิด” เอ่ยบอกไปตามจริง ผู้พี่จึงได้แต่ยิ้มเอ็นดู “เห็นแก่กินไม่เปลี่ยน” ตันหยางยิ้มรับก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินจนอาหารตรงหน้าหมด จากนั้นสองพี่น้องก็นั่งพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ กระทั่งค่ำตันหยงก็ขอตัวกลับ มิเช่นนั้นจะไม่ทันเวลาปิดประตูวัง “กลับดีดีนะเจ้าคะ แล้ววันพรุ่งไม่ต้องมาแล้วนะ พี่กำลังตั้งครรภ์อยู่ เดินทางไปมาบ่อย ๆ มันไม่ดีต่อหลานข้า” ตันหยางกำชับ พร้อมกับยื่นมือออกมาลูบท้องพี่สาวอย่างเบามือ “เลยสามเดือนแล้ว ไปมาได้เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ทว่าช่วงนี้พี่ก็คงจะมาเยี่ยมเจ้าไม่ได้จริง ๆ การตรวจเข้มของวังหลวงแน่นหนาจนน่ารำคาญ ตั้งแต่เกิดเรื่องคนของเราแทบจะต้องถอดอาภรณ์ออกทั้งตัวจึงจะเข้ามาได้” “ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ” ตันหยางตาโต ผู้พี่ก็พยักหน้าให้ “เจ้าต้องดูแลตัวเองนะ พี่เกรงว่าคนชั่วที่หมายจะฆ่าล้างราชวงศ์อาจจะลงมืออีก” “ให้มันมาเถิด น้องจะกวาดให้เรียบเอง” ตันหยงหัวเราะอย่างขำขันก่อนจะเอ่ยว่า “แค่ถูกควันไฟยังหลับไปตั้งสองวัน ยังจะอวดเก่งคิดกำจัดศัตรูอีกหรือ” “พี่หญิง! น้องไม่ได้หมดสติเพราะควันไฟเสียหน่อย รู้หรือไม่ที่ทุกคนรอดมาได้ล้วนแต่เป็นน้องพาออกมานะ อุตส่าห์ทำความดีกลับไม่มีใครเห็นเสียนี่” ใบหน้างามค้อนขวับเข้าให้ “จริงหรือ? ก็พี่ไม่รู้นี่ ไม่เห็นมีใครบอกเลย” ตันหยงหันกลับมาหาคนสนิทน้องสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล “บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ตอนเกิดเรื่องพวกเราอยู่ด้านนอก หลังจากดับไฟที่หน้าประตูได้ก็เห็นทุกคนนอนกองอยู่ในสวน รวมถึงพระชายาด้วยเจ้าค่ะ” มู่หลิงบอกไปตามที่เห็น ตันหยงจึงหันกลับมาหาน้องสาว “แล้วเรื่องมันเป็นเช่นไร” ตันหยางจึงบอกเล่าให้ทุกคนฟัง และหนึ่งในนั้นก็มีอี้ฟานรวมอยู่ด้วย หลังจากเกิดเรื่องเขาก็ได้รับคำสั่งให้อยู่อารักขาพระชายาที่นี่ แม้หานฟู่และมู่เฟิงจะบอกว่าไม่ต้องก็ตาม “เจ้านี่นะ ดีที่ร่างกายไม่มีบาดแผลอันใด” “น้องระวังตัวเก่งจะตาย พี่หญิงอย่ากังวลเลย” “ถึงอย่างนั้นเจ้าก็อย่าได้ประมาทเชียว ภายหน้าไม่รู้คนชั่วเหล่านั้นจะลงมือเช่นใดอีก ได้ยินท่านโหวกล่าวว่ามันอาจจะเป็นฝีมือคนจากราชวงศ์ก่อน พวกมันคงไม่รามือง่ายๆ” “ราชวงศ์ก่อนหรือ” “อืม… ได้ยินว่ายังเหลืออ๋องต่างแซ่ที่เป็นบุตรนอกสมรสของพระอนุชาของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ ยามนี้มีชันษาสามสิบแปดปีแล้ว เทียบเท่ากับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของเรา ไม่แน่ยามนี้เขาอาจคิดที่จะชิงบัลลังก์คืนก็เป็นได้” “ชิงบัลลังก์คืน!” คนในห้องส่งเสียงประสานกัน “ใช่…ท่านโหวกล่าวว่าน่าจะยังมีขุนนางที่จงรักภักดีกับฝ่ายนั้นอยู่ ทว่ายังไม่อาจสืบรู้ได้ว่ามีใครบ้าง และเพลิงไหม้ครานี้ คาดว่าคนในน่าจะมีส่วนรู้เห็น มิเช่นนั้นคงไม่เจาะจงเผาแค่ตำหนักไทเฮาที่เดียวเป็นแน่” ตันหยงเอ่ยตามที่ตนรู้มา “ถึงว่าตอนที่หนีออกมาคนข้างนอกล้วนแต่หมดสติ ดูท่าพวกเขาไม่ถูกวางยาก็คงดมควันไฟมากไปกระมัง ตอนที่ข้าได้กลิ่นคราแรกก็รู้ได้ทันทีว่ามันมีพิษทำให้อ่อนแรง จึงรีบสะกัดลมหายใจแล้วก็กินยา มิเช่นนั้นคงหาวิธีพาคนอื่นออกมาไม่ได้แน่ ดีนะที่ข้าไหวตัวทัน อ๊ะ!... พี่หญิงตีข้าทำไม” “เจ้านี่ะ ยังจะมาชื่นชมตนเองอีก เกือบจะตายแล้วแท้ ๆ” “โอ๋ ๆ น้องสาวพี่ไม่ตายง่าย ๆ หรอกเจ้าค่ะ ท่านยมบาลเกรงว่าข้าจะไปป่วนยมโลก เขาไม่กล้ามารับตัวข้าหรอกเจ้าค่ะ” คนน้องยังคงเอ่ยติดตลก สร้างเสียงหัวเราะเอ็นดูตามมา รวมถึงคนที่ยืนอยู่มุมประตูในยามนี้ด้วย “จะไม่เข้าไปหรือพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ล่ะ นางสบายดีแล้วไม่มีอันใดให้ต้องกังวล ข้าจะไปหารือกับองครักษ์เกราะดำ” สิ้นคำร่างสูงก็เดินจากไป ส่วนด้านในก็ยังคงพูดคุยกันต่อจนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องกลับแล้วจริง ๆ สองพี่น้องจึงบอกลากันอีกหน “เจ้าต้องระวังตัวให้มากนะ” ตันหยงกำชับ “ข้ารู้น่า พี่ห่วงคนที่คิดมาทำร้ายข้าดีกว่านะ” “ชิ” ผู้พี่ค้อนขวับเข้าให้ “พี่ไปนะ ยังต้องส่งคนออกตามหาไป่ฮวาอีก ท่านย่ากับลุงไป่ห่วงนางจะแย่” “ยังหาตัวไม่พบอีกหรือ” “ยัง…ไม่รู้หายไปได้อย่างไร นางก็ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน ทว่ากลับถูกพาตัวออกไปจากร้านทั้งที่เวรยามก็มีเฝ้าอยู่แท้ ๆ” “พี่ไป่ฮวาเป็นคนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครองนาง พี่ก็อย่าเป็นกังวลให้มาก อย่าลืมว่ายามนี้กำลังตั้งครรภ์อยู่นะเจ้าคะ เรื่องไหนที่วางลงได้ก็วางลงเสีย ปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตากรรมของแต่ละคนไปเถิด ยามนี้เราต้องดำเนินชีวิตด้วยตนเอง มิใช่ตัวละครที่ถูกกำหนดให้เล่นตามบทบาท พี่ไป่ฮวานางเป็นคนฉลาด ย่อมไม่มีวันแพ้พ่ายให้ภัยอันตรายแน่นอน” ตันหยงพยักหน้ารับ “พี่ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” สองพี่น้องยิ้มให้กันก่อนจะแยกจากจริง ๆ เพราะยามนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เมื่อพี่สาวออกไป ตันหยางก็กลับมานั่งเล่นบนเก้าอี้ตัวยาวที่นางสั่งทำขึ้นและใช้งานมานานแล้ว ช่วงที่ต้องเข้ามาเรียนรู้ขนบธรรมเนียม นางก็สั่งให้คนเอามันเข้ามาด้วย พอย้ายมาอยู่ที่นี่คนสนิทก็ไปยกมาไว้ที่ระเบียงหน้าตำหนัก “ใต้เท้า ท่านมีนามว่ากระไรหรือ” ตันหยางคิดว่ามันได้เวลาที่นางจะต้องรู้จักกับคนในจวนนี้แล้ว “กระหม่อมอี้ฟานพ่ะย่ะค่ะ” “เช่นนั้นใต้เท้าอี้ฟาน ท่านกลับไปอารักขารัชทายาทเถิด ข้ามีองครักษ์ดูแลอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม เพราะยามนี้คนที่ควรอารักขาคือพระสวามีข้ามากกว่า” “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ รัชทายาททรงเป็นห่วงพระชายา ไม่มีทางให้พระองค์อยู่กับองครักษ์ไม่กี่คนแน่” อี้ฟานรีบบอกเหตุผล “นายของเจ้ารู้จักห่วงข้าด้วยหรือ” ริมฝีปากอิ่มยกมุมขึ้น เพราะไม่ค่อยเชื่อคำของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่สองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







