หนี้หัวใจใต้กลลวง เมื่อเขากลับมา...ไม่ใช่เพื่อรัก แต่เพื่อ "ทำลายเธอ" ให้เจ็บเท่ากับที่เขาเคยเจ็บ ลาริสา…ลูกสาวของคนที่เขาเกลียดที่สุด คือเครื่องมือในเกมล้างแค้นที่เขาออกแบบอย่างเยือกเย็น แต่ยิ่งเขาทรมานเธอ หัวใจของเขากลับยิ่งถูกเธอช่วงชิงโดยไม่รู้ตัว เมื่อความรักไม่ควรเกิด แต่กลับฝังลึกเกินกว่าจะถอนใจ...
view moreกลิ่นน้ำมันเครื่อง และเบาะหนังที่ชื้นด้วยเหงื่อซึมทะลุขึ้นจมูกทันทีที่ลาริสารู้สึกตัว
มือของเธอถูกมัดไว้แน่น ร่างถูกโยนไว้กับพื้นรถตู้ด้านหลังที่ปิดทึบ แสงเพียงเสี้ยวจากไฟท้ายสะท้อนผ่านรอยแตกของฝาปิดเก็บของ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม แต่เสียงที่ทำให้เธอเย็นเยียบยิ่งกว่า คือเสียงบทสนทนาของชายสองคนด้านหน้า “แน่ใจนะว่าเป็นลูกของท่านรัฐมนตรีจริง ๆ?” “เออสิวะ กูเห็นกับตา ไม่ใช่เด็กธรรมดาแน่ๆ คนอย่างเธอ ส่งให้ฝั่งโน้นเขาจะจ่ายหนักกว่าเดิมแน่นอน” “ชายแดนเพื่อนบ้านใช่ไหม…ซ่องนั่นที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจน่ะ?” “ก็ที่นั่นแหละ จะได้จบ ๆ ไป ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวรัฐมนตรีมานั่งรับแขกอยู่ตรงนั้น” เสียงหัวเราะหยันดังตามมา ราวกับคำพูดนั้นเป็นแค่เรื่องตลกไร้ค่าของโลกใต้ดิน เลือดในกายลาริสาเย็นเฉียบ เธอแทบไม่รู้ว่าลมหายใจหลุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คำว่า “ขายตัว” “รับแขก” “ชายแดน” แต่ละคำเหมือนมีดที่สลักลงกลางใจ เธอหวาดกลัว ร่างกายสั่นราวกับไข้ขึ้น น้ำตาที่หลั่งลงมานั้น…ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เป็นความกลัวแบบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน กลัวว่าจะไม่มีใครตามหาเธอเจอ กลัวว่าจะไม่มีวันกลับไปได้อีก ... ภายในห้องแต่งตัว คลับลับแห่งหนึ่ง กระจกบานใหญ่สะท้อนภาพหญิงสาวในชุดกระโปรงเข้ารูปสีดำเข้ม เสื้อกั๊กติดกระดุมแน่นคอ ริมฝีปากถูกแต้มด้วยลิปสติกสีแดงเข้ม ผมถูกรวบเรียบร้อยจนแทบจำไม่ได้ว่าเธอเคยเป็นใครมาก่อน หน้ากากลูกไม้ครึ่งหน้าวางอยู่ตรงหน้าเธอ เหมือนรอให้เธอสวม…แล้วลบชื่อของลาริสาทิ้งไป เปลี่ยนเธอให้กลายเป็น 'ใครก็ไม่รู้' ผู้หญิงที่ไม่มีอดีต ไม่มีตัวตน มีแค่ร่างกายที่พร้อมจะยื่นเหล้าให้แขก…และรอยยิ้มที่สั่งให้ยิ้ม เธอมองเงาตัวเอง เสียงบทสนทนาในรถตู้คืนนั้นยังคงก้องในหัว เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เธอถึงไม่ถูกส่งไปในที่ที่น่ากลัวอย่างที่ได้ยิน แต่ตอนนี้…เธอยังอยู่ที่นี่ ยังหายใจ ยังมีเสื้อผ้า ยังยืนอยู่ แม้จะไม่เข้าใจเหตุผล แต่เธอรู้แค่ว่า…โชคดี หรืออาจจะแค่โชคดีชั่วคราว เธอกลืนลมหายใจเงียบ ๆ ขณะที่สายตายังจับจ้องตัวเองในกระจก ภาพสะท้อนนั้นไม่ใช่ลูกสาวรัฐมนตรี ที่เคยอยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูง ไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยที่ใครต่อใครชื่นชม แต่เป็นผู้หญิงที่ใส่หน้ากาก…ไม่ใช่เพื่อแฟชั่น แต่เพื่อปิดซ่อนตัวตนที่กำลังถูกลบหายไปทุกวินาที ... เสียงเคาะประตูสามครั้งดังขึ้น พร้อมเสียงเรียกจากการ์ดด้านนอก “ถึงเวลาแล้ว ห้อง VIP6 วันนี้มีแขกระดับพิเศษ” เธอไม่ตอบ…แค่สูดลมหายใจลึกอีกครั้ง ดึงหน้ากากขึ้นปิดครึ่งใบหน้า แล้วเดินออกจากห้อง ... คลับชายแดนแห่งนี้เป็นที่ลับแต่หรูหรา เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวระดับเจ้าสัว ทายาทผู้ดี ตระกูลใหญ่ทั้งฝั่งไทยและต่างชาติ มันเป็นโลกที่กฎหมายอ่อนแรง เส้นแบ่งระหว่างถูกกับผิดพร่ามัวเกินใครจะแยกได้ ด้านหน้าเป็นโซนบาร์ปกติ แต่ด้านในสุด…เป็นโซน VIP ที่ไม่มีใครนอกจากคนวงในเข้าได้ และลึกลงไปอีกชั้นใต้ดิน คือ 'บ่อนพนัน' ที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศเพื่อนบ้าน ลาริสาเดินตามการ์ดไปตามโถงทางเดินหินสีเข้ม ไฟสลัวประดับตลอดทาง สวยงามจนน่าขนลุก เธอรู้ดี…เธอไม่ได้มาอยู่ที่นี่ในฐานะ พนักงาน ไม่ได้สมัครใจมา...แต่ถูกจับตัวมาอย่างเลือกไม่ได้ แม้ไม่มีโซ่ตรวนล่ามไว้ แต่สายตาหนักอึ้งของเหล่าการ์ดที่จับจ้องทุกฝีก้าว กับการถูกควบคุมราวนักโทษในกรงทอง ก็เพียงพอจะตอกย้ำว่า... ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ไม่มีทางหนีพ้น ... ห้อง VIP-6 ภายในห้องโทนมืดที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แสงจากไฟเพดานทาบเงาชายคนหนึ่งไว้บนโซฟาหนังอย่างเงียบงัน ลาริสารู้สึกได้ถึงแรงอึดอัดที่กดทับหน้าอกตั้งแต่ก้าวแรกที่เปิดประตูเข้ามา ทุกก้าวที่เธอเดินเข้าไปในห้อง เหมือนกำลังก้าวข้ามเส้นของความปลอดภัยที่ไม่มีอยู่อีกแล้ว เสื้อกั๊กเข้ารูป กระโปรงสั้น หน้ากากลูกไม้ครึ่งหน้า ไม่มีอะไรปกป้องเธอจากสายตาเปลือยเปล่าของคนตรงหน้าได้เลย เธอก้มหน้าวางแก้วเหล้าลงอย่างเงียบเชียบ เสียงน้ำแข็งในแก้วกระทบกันเบา ๆ ในห้องเงียบงัน ฟังดูเหมือนเสียงโซ่ตรวนในหูของเธอ แต่แล้ว...เธอชะงัก ในมุมห้อง เงาของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเอนตัวพิงพนักโซฟา เธอจำได้ทันทีว่าเขาเป็นคนไทย เธอเคยเห็นเขา...ในแวดวงระดับสูง งานกาล่า งานเลี้ยงตระกูลผู้มีอำนาจ เขาคือคนที่เธอไม่เคยพูดด้วย แต่เคยอยู่ในระยะที่ใกล้พอจะรู้ว่า 'เขาอาจช่วยได้' หัวใจเธอเต้นแรง ความหวังแล่นขึ้นมาเหมือนแสงไฟเพียงดวงเดียวในความมืด เธอสูดลมหายใจ ก้าวเท้าอย่างมั่นใจเข้าใกล้ชายคนนั้น สบตาผ่านหน้ากาก พยายามส่งสัญญาณ บอกด้วยแววตาทุกอย่างที่เธอพูดไม่ได้ 'ช่วยฉัน…ได้โปรด ช่วยฉัน…' แต่ก่อนที่เขาจะขยับ... มือหนา ของชายที่อยู่ใกล้กว่า ก็ฟาดเข้าที่แขนเธอ “จะไปไหน?” เสียงเย้ยหยันดังขึ้น ก่อนที่เขาจะคว้าเอวเธอแล้วดึงกลับอย่างแรง “นึกว่าฉันไม่เห็นเหรอ? เธอจะไปส่งสายตาให้มัน?” “ไม่ใช่นะ! ฉันแค่—” เธอหอบ เสียงเธอสั่น น้ำตาเริ่มคลอ “หึ…ร้อนวิชาใช่ไหม” เขากระซิบชิดหู พร้อมกับดันร่างเธอลงบนโซฟา กระดุมเสื้อด้านบนถูกกระชากออก ไหล่ข้างหนึ่งเปลือยเปล่า ลมหายใจของเธอขาดห้วง เหมือนร่างจะเย็นลงทันทีที่ไอมือสกปรกนั่นแตะผิวเธอ “ปล่อย! ได้โปรด อย่าแตะต้องฉัน!” เสียงของเธอเกือบกลายเป็นกรีดร้อง แต่มันเหมือนแค่เสียงลมหายใจในห้องที่ไม่มีใครอยากฟัง สายตาเธอหันไปมองมุมห้องอีกครั้ง ผู้ชายที่เธอต้องการขอความช่วยเหลือ...ยังคงนั่งอยู่ในมุมสลัว สายตานิ่งสงบจนเธอไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินหรือไม่ หรือแค่เลือกที่จะมองผ่านเหมือนเธอไม่มีตัวตน เธอรู้แล้ว…ว่าแม้แต่แสงสุดท้ายในความมืด ก็อาจเป็นเพียง กับดักที่พรางตัวมาในรูปของความหวังการ์ดยังพูดต่อ สั้น กระชับ และกรีดลึกเข้าไปในใจเธอ "ทำงานเงียบ ๆ อย่าสร้างปัญหา" "ถ้ามีปัญหาอีก...เธอจะไม่ได้รับโอกาสครั้งที่สอง" จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ เหมือนไม่มีตัวตน ทิ้งให้ลาริสานั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เหมือนนักโทษที่เพิ่งได้รับคำสั่งให้ใช้ชีวิตต่อไป...ในเรือนจำที่ไร้กำแพง เธอก้มมองมือตัวเองที่กำแน่นอยู่บนตัก เหมือนกำความหวังที่แหลกสลายเอาไว้ในอุ้งมือ มีเพียงเธอเท่านั้น ที่ต้องแบกทุกอย่าง...และเดินหน้าต่อไปด้วยตัวเอง ... แม้จะยังไม่หมดอาการบอบช้ำ แต่ลาริสาก็กลับมาทำงานในโซนด้านนอกของคลับตามคำสั่ง เครื่องแบบใหม่สะอาดเรียบร้อย ช่วยกลบซ่อนรอยแดงช้ำที่ยังไม่จางหายได้เพียงบางส่วน เธอก้มหน้าก้มตาเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มไปตามโต๊ะ สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เธอ มีทั้งสายตาสงสัย สายตาเยาะเย้ย และสายตาเหยียดหยามอย่างเปิดเผย บางคนกระซิบกระซาบกับเพื่อนข้างตัว บางคนปรายตามองเธออย่างสมเพช ราวกับเธอเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตต่ำต้อยที่ไม่ควรโผล่มาในที่แห่งนี้อีก ลาริสารู้ดี...ทุกคำพูด ทุกแววตาเหล่านั้นล้วนแทงลึกเข้ามาในหัวใจ แต่เธอไม่ตอบโต้ ไม่แม้
ทางเดินกลับห้องช่างยาวนานเหลือเกินในค่ำคืนนี้ ลาริสาเดินเหม่อลอยตามแรงพยุงของส้ม หัวใจเธอไม่อาจรับรู้อะไรได้อีก ประตูห้องพักปิดลงอย่างแผ่วเบา ลาริสาทิ้งตัวลงบนเตียงเก่า ๆ ที่เธอเคยนั่ง เคยนอน เคยร้องไห้ คืนนี้ เธอไม่แม้แต่จะเหลือแรงจะถอนหายใจ ดวงตากลมโตที่เคยมีประกายแห่งชีวิต บัดนี้กลับมืดหม่นราวกับเทียนที่โดนพายุพัดดับ เธอกอดเข่าตัวเองแน่น... กอดตัวเองอย่างคนที่หลงเหลือแค่ตัวเปล่า ๆ และหัวใจที่พังทลาย พ่อ... ภาพของผู้ชายคนนั้นฉายชัดขึ้นมาในหัว รอยยิ้มใจดีที่เคยยิ้มให้เธอทุกเช้า มืออบอุ่นที่เคยลูบผมเธอเบา ๆ ก่อนนอน "ลูกของพ่อ...เด็กดีของพ่อ..." เสียงกระซิบจากอดีตยังดังสะท้อนในหูเธอ แต่บัดนี้ ชายคนเดียวกันนั้น...กลับกลายเป็นปีศาจในเรื่องเล่าที่เธอเพิ่งได้รับฟังมา มือที่เคยปกป้องเธอ เคยทำลายชีวิตของผู้หญิงคนอื่นอย่างโหดเหี้ยม อ้อมแขนที่เคยโอบเธอไว้แน่น เคยผลักคนบริสุทธิ์เข้าสู่นรกโดยไม่ลังเล "ไม่จริง..." ลาริสาพึมพำในลำคอ น้ำตาร้อนผ่าวไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอหลับตาแน่น พยายามลบล้างภาพบาดแผลเหล่านั้นออกไปจากหัวใจ พยายามเชื่อ...ว่าทั
เช้าวันใหม่ค่อย ๆ คลี่ตัวออกจากม่านหมอกแห่งความเหนื่อยล้า ลาริสาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาในห้องพักเล็ก ๆ อันเงียบสงัด เสียงขยับตัวแผ่วเบาทำให้เธอเห็นพี่ส้มที่พึ่งกลับมา จากการทำงานในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา เธอกำชายเสื้อตัวเองแน่น ก่อนจะกลั้นใจพูดเสียงแผ่ว "พี่ส้ม...ริสาขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?" พี่ส้มหันมา ดวงตาเปี่ยมความห่วงใย ก่อนจะก้าวมานั่งลงข้างเตียง กุมมือเธอไว้แน่น "มีอะไรจ๊ะ ริสา?"ลาริสาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆพยายามกลั้นไม่ให้เสียงสั่นจนเกินไป"เมื่อคืน...ริสาคิดทั้งคืนเลยค่ะ""ริสาอยากขอให้พี่ส้มช่วยถามคุณอคินให้หน่อยได้ไหมคะ ว่าริสาขอคุยกับเขาได้หรือเปล่า..."ส้มขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างลังเล"ริสาอยากบอกเขาว่า...ถ้าเขาต้องการเงินทองอะไร ริสาจะกลับไปขอจากพ่อมาให้""แค่ขอให้ริสาได้กลับบ้าน...ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร ริสาก็ยอมค่ะ"คำพูดสุดท้ายของเธอเบาหวิวเหมือนกำลังฝากชีวิตไว้กับลมบาง ๆ ที่ลอยอยู่ในห้องส้มเงียบไปนาน...นานจนลาริสาใจหายวาบแต่สุดท้ายพี่สาวคนนั้นก็ลูบหัวเธอเบา ๆ"พี่ไม่รับปากนะจ๊ะ ริสา...แต่พี่จะลองถามให้"...ทั้งวันนั้น ลาริสาต้องอยู่แต่ในห้องตามคำสั่งเด็ดขาดของคุณภานุวัฒน
ภานุวัฒน์นั่งนิ่งอยู่คนเดียวในความเงียบที่เจ็บปวด ในหัวของเขา... ภาพคืนนั้นย้อนกลับมาชัดเจน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ... ประตูบ้านถูกผลักเปิดออกอย่างแรง เสียงรองเท้ากระแทกพื้นไม้ดังลั่นไปทั่วทั้งตัวบ้าน พี่สาวของเขา พี่พลอย วิ่งเข้ามา น้ำตาท่วมเต็มสองแก้ม เสื้อผ้ายับย่น ใบหน้าขาวซีดด้วยความตื่นตระหนก “แม่...พ่อ...” เสียงสะอื้นจนแทบจับความไม่ได้ พ่อกับแม่ถลาเข้ามาหาเธอทันที พ่อจับไหล่พี่พลอยแน่น มือแม่สั่นเทาเช็ดน้ำตาลูกสาวพลางเอ่ยถามเสียงสั่น "เกิดอะไรขึ้นลูก...บอกแม่สิลูก..." แต่พลอยพูดไม่ออก มีเพียงเสียงสะอื้นสะท้านใจ มือบางจิกเสื้อของแม่แน่นราวกับจมน้ำ และแม่คือท่อนไม้สุดท้ายที่เธอเกาะไว้ สุดท้าย ในที่สุด... คำพูดที่ปิดกั้นหัวใจพี่พลอยก็หลุดออกมา เสียงเบาเหมือนลมหายใจ "หนู...ถูกท่านรัฐมนตรีทำร้าย..." โลกทั้งใบของครอบครัวพังครืนลงในเสี้ยววินาที พ่อ มือสั่นระริก ตาค้าง แม่ ทรุดฮวบลงกับพื้น ภานุวัฒน์ในวัยเด็ก ยืนแข็งค้างอยู่ตรงนั้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงที่ไม่มีวันลืม ... คืนนั้น พวกเขาพาพี่พลอยไปโรงพยาบาลทันที ผลการตรวจร่างกายระบุชัด มีร่องรอยการล่
คีรณัฐกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดนูนบนหลังมือไม่รู้ว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นจากจุดไหนหลังเคลียร์พื้นที่และถอนกำลัง ทีมของเขากลับมายังฐานลับในเขตปลอดภัยเอกสารกองโตถูกโยนกระจายเต็มโต๊ะกลางห้องประชุม"รีเซ็ตทุกอย่างใหม่ ตั้งแต่เส้นทางการขนส่งจนถึงเจ้าหน้าที่ประจำด่าน"เสียงเขาเย็นเยียบ ราวกับมีน้ำแข็งเกาะแนบอยู่บนริมฝีปากคีรณัฐนั่งอยู่ในห้องทำงานเล็ก ๆ ที่ถูกดัดแปลงจากห้องประชุมชั่วคราวภายในหน่วยภาคสนามแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ส่องสะท้อนแววตาคมเข้มที่ยังไม่ยอมลดละแม้เพิ่งผ่านค่ำคืนที่ไร้ความสำเร็จเขาทบทวนข้อมูลทั้งหมดซ้ำแล้วซ้ำเล่า...เส้นทางขนส่ง จุดตรวจ หมายเลขทะเบียนรถต้องสงสัยแต่ทุกอย่างกลับสะอาดเกินไปสะอาด...เหมือนมีใครจงใจลบทุกหลักฐานออกจากสายตาเขา"มันเป็นไปไม่ได้..."เสียงพึมพำในลำคอแหบพร่ามือหนาไล่เช็กรายงานเล็กน้อยที่เข้ามาในระบบข่าวกรองของหน่วยพิเศษจนสายตาเหลือบไปเห็นแฟ้มเอกสารเล็ก ๆ ฉบับหนึ่งที่เพิ่งอัปเดตเข้ามา"เด็กหายตัวจากหน้าโรงเรียนอนุบาล – ฝาแฝดชายสองคน"หัวใจของคีรณัฐกระตุกวูบเขาคว้าแฟ้มขึ้นมาเปิดอ่านแทบจะทันทีสองเด็กชาย อายุห้าขวบ หายตัวไปช่วงบ่าย ในเวลาใกล้เคี
ค่ำคืนคลี่ตัวลงอย่างเชื่องช้าความเงียบงันแผ่ซ่านไปทั่วห้องพักพนักงานเล็ก ๆ ชั้นล่างลาริสานอนนิ่งอยู่บนเตียงแคบ ๆ ราวกับร่างกายและหัวใจของเธอถูกกลืนหายไปกับความมืดส้มที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใช้ผ้าชุบน้ำค่อย ๆ เช็ดคราบน้ำตาที่แห้งติดข้างแก้มให้อย่างเบามือนิ้วมือของส้มสั่นน้อย ๆ ขณะก้มลงกระซิบเสียงแผ่ว"พักก่อนนะริสา...พักซะนะ"น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนจนเหมือนน้ำอุ่น ๆ รินลงกลางใจที่แตกร้าวแต่ความอบอุ่นเพียงชั่วขณะ ก็ไม่อาจไล่ความเย็นชืดในอกของลาริสาไปได้เมื่อพี่ส้มค่อย ๆ ลุกออกจากห้อง ปิดประตูเบา ๆ ทิ้งเธอไว้เพียงลำพังในความเงียบ...ลาริสานอนขดตัวอยู่บนเตียงเก่า ๆกอดตัวเองแน่นราวกับจะประคองเศษเสี้ยวสุดท้ายของหัวใจที่แตกร้าวไม่ให้สลายหายไปกับความมืดน้ำตาไหลพรากอย่างไม่มีเสียงไหลลงเปื้อนหมอนเปียกชื้น ดั่งความทุกข์ที่ซึมลึกจนไม่มีถ้อยคำใดจะเอ่ยออกมาได้ในความเงียบงัน...ใบหน้าของพ่อกับแม่ผุดขึ้นมาในความคิดเหมือนเงาสะท้อนพ่อคะแม่คะ...หนูเหนื่อยเหลือเกิน...หนูอยากกลับบ้าน...ตั้งแต่วันที่โดนลักพาตัวอย่างไร้ทางสู้ถูกขู่ ถูกยัดเยียดให้เผชิญหน้ากับความกลัวและความต่ำช้าในโลกที่เธอไม่รู้จักว
“อ๊ะ…!”เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากเธอยังไม่ทันได้ตั้งตัวเสื้อเชิ้ตตัวบางบนร่างเธอก็ถูกกระชากจนขาดวิ่นดัง แคว่ก!เศษผ้าหลุดรุ่ย เผยผิวขาวซีดที่สั่นระริกใต้สายตาแข็งกร้าวของเขาริมฝีปากของภานุวัฒน์กดลงมาอย่างรุนแรงบดขยี้ทุกสัมผัสด้วยความโกรธที่สุมอยู่เต็มอกจูบของเขา...ไม่ใช่จูบที่อ่อนโยน ไม่ใช่ความโหยหามันคือการลงทัณฑ์ การลงโทษที่บาดลึกยิ่งกว่ามีด"ฮึก...อย่า...ขอร้องล่ะ..."เสียงอ้อนวอนของลาริสาสั่นพร่า น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินลงไม่หยุดเธอพยายามดิ้นหนี บิดกายขัดขืนสุดแรงเกิดแต่ยิ่งเธอดิ้น ภานุวัฒน์ยิ่งกระชับวงแขนแน่นขึ้นเขากดตัวเธอแนบแน่นกับโซฟาใช้ริมฝีปากขบเม้มลงที่ซอกคอขาวจนขึ้นรอยแดงเป็นจ้ำแรงกัดนั้น...ไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเมตตาเสียงสะอื้นของเธอดังสะท้อนในห้องแต่สำหรับเขาในตอนนี้...มันเหมือนเชื้อเพลิงที่ยิ่งสุมไฟแค้นในอกให้ลุกโชน"แกล้งทำเป็นใสซื่อเก่งนัก..."เสียงเขากระซิบชิดใบหูเธอเสียงต่ำลึกจนแทบเป็นเสียงคำราม"ถ้างั้น...ฉันจะดูให้เห็นกับตา ว่าเธอไร้เดียงสาจริง...หรือมันก็แค่เปลือกนอกหลอกลวง"คำพูดนั้นบาดลึกเหมือนมีดกรีดใจริมฝีปากร้อนชื้นของเขาเลื่
ลาริสาเปิดประตูเดินเข้าไปเสียงบานประตูไม้ปิดลงช้า ๆ ด้านหลังลาริสาเงยหน้าขึ้นมองความมืดสลัวตรงหน้าเพียงแสงไฟเพดานดวงเล็กที่เปิดสลัวไว้ ทำให้เห็นเพียงเงาราง ๆ ของชายคนหนึ่งที่นั่งทอดกายอยู่กลางห้องเขานั่งเอนหลังบนโซฟาหนังสีเข้มแสงบางเฉียบจากโคมไฟสาดเฉียงผ่านใบหน้าข้างหนึ่ง...เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าคมเข้มที่นิ่งงันจนดูน่ากลัวหญิงสาวก้าวขาอย่างลังเลหัวใจเธอเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะได้ยินออกไปนอกอกเธอไม่รู้ว่าใครรอเธออยู่ข้างหน้าแต่สัญชาตญาณบอกได้เพียงอย่างเดียว...คน ๆ นั้นกำลัง "รอเธออยู่"ลาริสากลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าว ทีละก้าวและทันทีที่เธอเดินเข้ามาถึงระยะเพียงเอื้อม...แขนแกร่งที่เธอไม่ทันมองเห็นก็คว้าข้อมือเล็กของเธออย่างรวดเร็ว แล้วดึงร่างเธอขึ้นไปนั่งบนตักอย่างไร้ความลังเล"อ๊ะ!"เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปาก ก่อนที่สติจะตามทันกลิ่นกายชายคุ้นเคยแผ่กระจายร้อนระอุไปทั่วผิวเธอสายตาเธอเบิกกว้าง มองสบกับดวงตาสีฟ้าราวน้ำแข็งคู่นั้นภานุวัฒน์ อนันตรเวศน์เขากลับมาแล้ว...โดยไม่มีใครเตือนเธอเลยสักนิดแววตาของเขามืดดำจนเหมือนเหวลึก ไม่มีแสง ไม่มีความหวัง มีเพีย
ลาริสาเดินผ่านโถงทางเดินมืดมาที่ด้านหลังเพื่อล้างแก้ว เสียงส้นรองเท้าหนัก ๆ ก้องกังวานตามหลังเธอมาในทางเดินแคบ สะท้อนคล้ายกับเสียงหัวใจของลาริสาที่เต้นโครมครามอยู่ในอก เธอหันขวับไปตามสัญชาตญาณ... ตึง! ร่างสูงใหญ่ของการ์ดหนุ่มกระชากเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว มือสากกดปิดปากเธอแน่น ลมหายใจเขาร้อนฉ่า เป่ารดข้างแก้มอย่างจาบจ้วง "เงียบซะ..." เสียงกระซิบทุ้มต่ำเฉียดใบหูของเธอ "คืนนี้ฉันจะทำให้เธอร้องไม่หยุด..." ลาริสาตัวแข็งทื่อ แต่ผิวเนื้อกลับร้อนวาบจนขนลุกเกรียว แรงจากแขนแข็งแรงลากเธอเข้าไปในห้องเก็บของเล็ก ๆ เขาปิดประตูทันที เสียง "ปัง!" ของประตูดังกึกก้องในความเงียบ ภายในห้องเก็บของ เธอถูกผลักกระแทกกับผนังปูนแข็ง ร่างของหญิงสาวสั่นเทิ้ม อากาศในอกพร่องหายจนแทบหายใจไม่ออก มือหยาบกร้านลากช้า ๆ ไล่ตั้งแต่ลำคอ...ลงไปถึงต้นแขน ผิวเธอสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เสียงหอบกระเส่าของเขาแตะอยู่ที่ข้างใบหู ทำให้สติของเธอแทบพร่าเบลอ "อย่าเล่นตัวเลยน่า..." เสียงแหบพร่าเหมือนสัตว์นักล่าไล่ต้อนเหยื่ออ่อนแอ นิ้วแข็งแรงบังคับไล้ลงมาที่เอว... กดบังคับให้แผ่นหลังของเธอแนบแน่นกับแผ่นอกแข็
Mga Comments