แชร์

ตอนที่4

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-09-03 07:29:25

ตอนที่4                                                            

 ...จวนรองสกุลสวียังแคว้นฉู่... 

เมื่อมือปราบหวู่คนสนิทของท่านนายอำเภอจางนำจดหมายขนาดสั้นที่จางเสียนอีต้องการปรึกษาหารือเรื่องงานแต่งงานที่จะบังเกิดในอีกสามวันข้างหน้ามาส่งให้จนถึงมือของสวีฉีเฟิ่ง ซึ่งพอได้รับนิ้วเรียวยาวนั้นคลี่กระดาษออกอ่านเพียงครู่ก็ยกยิ้มมุมปากแกร่งเล็กน้อย 

“ซั่วเจาคุณหนูสี่กับเหล่าฮูหยินจางนั้นออกจากแคว้นฉู่ไปแล้วใช่หรือไม่?” 

แน่แท้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังปล่อยให้สองย่ากับหลานสาวหนีไปคือเขาเอง แต่นอกเหนือความคาดหมายก็คือจางเยว่ซินนั้นถึงกับลงมือเหี้ยมโหดจนเกือบสังหารน้องสาวฝาแฝดของตนเองได้เสียแล้วนับว่าเป็นสตรีใจคออำมหิตไม่น้อย ดีแล้วที่ตั้งแต่แรกเขาก็มิได้หมายตานางมาเป็นหนานเฉิงกั๋วกงฟูเหริน และสำหรับเขาสิ่งใดที่เขาหมายตาจับจองแล้วผู้ใดบังอาจแตะต้องพวกมันเหล่านั้นย่อมไม่ได้ตายดีนัก จางเยว่ซินเองก็มิได้รับข้อยกเว้น ในเมื่อเขาเหลือทางรอดให้พวกนางกับผู้เป็นท่านย่าได้มีทางเดิน ทว่านางกลับเลือกจะสังหารได้ลงแม้แต่น้องสาวฝาแฝดคนเช่นนี้ให้ตายเร็วคงปรานีเกินไป

“พอขบวนของพวกนางออกไปพ้นประตูเมืองไปสักสามร้อยลี้ก็ส่งโจรไปดักปล้นมิต้องฆ่าให้ตายเพียงกรีดใบหน้านางสักหลายแผลหน่อยก็ดี อ้อ...ตัดเส้นเอ็นนางให้เดินได้ยากสักหน่อย อย่าให้นางถึงตายเด็ดขาด เช่นไรนางก็เป็นว่าที่พี่สาวภรรยาของข้า” 

น้ำเสียงสั่งการนั้นสงบเรียบเรื่อยดังกับสั่งให้ ‘มือขวา’ ไปหาซื้อของให้หนึ่งชิ้นมิได้สั่งให้ไปทำร้ายคนจนเสียโฉม และพิกลพิการเลยสักนิด ซึ่งซั่วเจาก็โค้งกายรับคำสั่งแต่โดยดี คล้ายเรื่องเหล่านี้ เขาทำปกติธรรมดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้นคนเช่นหนานเฉิงกั๋วกงหากพึงใจให้คนหนึ่งตายก็ต้องตายไป แต่หากเขาไม่ต้องการให้ตายต่อให้มาวิงวอนตรงหน้าเขาก็มิยินดีให้อีกฝ่ายสมหวังเด็ดขาด!

“ท่านพ่อบ้านซูเร่งเตรียมรถม้ากับจัดโจ๊กแปดเซียนให้ข้าด้วย และของฝากไปให้ท่านพ่อตาด้วย ข้าจะไปเยี่ยมคุณหนูห้าสกุลจางสักหน่อยต้องแสดงน้ำใจให้ดี” พอคนสนิทมือขวาจากไปสวีฉีเฟิ่งจึงเรียกพ่อบ้านใหญ่มาสั่งการทันที ก็ในเมื่อจะไปพบหน้าว่าที่ภรรยาครั้งแรกมันก็ต้องสร้างความประทับใจกันบ้าง

“ขอรับนายท่าน” 

บุรุษวัยสี่สิบเอ็ดหนาวนามว่า ‘ซูจิ้งเหยา’ โค้งกายรับคำสั่งแล้วเร่งจากไปทำตามคำสั่งอีกผู้หนึ่ง นิ้วเรียวยาวที่จับเพียงพู่กันและรางลูกคิดเท่านั้น แต่ก็มิใช่ว่าดาบ และกระบี่หรืออาวุธอื่น ๆ เขาจะไม่เคยแตะต้อง พลางขยับมือตวัดพู่กันพร้อมกับอีกมือนั้นเร่งดีดลูกคิดคล่องแคล่วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อหวังเร่งให้เสร็จสิ้น

…ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก… 

“เข้ามา” 

บุรุษกายกำยำใบหน้าด้านขวามีแผลเป็นขนาดใหญ่กินเนื้อที่บนแก้มขวาไปเกือบทั้งหมดผลักประตูเข้ามาแล้วโค้งกายนอบน้อมผิดกับรูปกายโดยสิ้นเชิง 

“เถ้าแก่เจ็ดคิดหลบหนีไม่ยอมจ่ายหนี้ที่ติดหนี้เราอยู่แปดร้อยตำลึงเมื่ออาทิตย์ก่อนขอรับ มิทราบว่านายท่านต้องการจะให้ข้าลงมือเช่นไรดี” 

เหิงเซา ’ผู้ดูแล’ หอ ‘รุ่ยเฟิ่ง’ ซึ่งนั้นทำหน้าที่ควบคุมกิจการโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่และมียังบ่อนพนัน ‘ฟ่านไฉ’ ซึ่งมีสาขาแทบจะทุกแคว้นใหญ่ในแผ่นดินต้าเหลียงกับการปล่อยเงินกู้รวมอยู่ด้วยเข้ามารายงานผู้เป็นนายหลังจากไปยึดทรัพย์มาจนหมดแปดร้อยตำลึงนั้นกลับยังไม่พอให้หักลบกลบหนี้ไปได้ 

“แล้วมันมีลูกมีภรรยาหรือไม่ หากมีก็จัดการไปตามสมควร” 

ใบหน้างดงามคล้ายสตรีถึงเจ็ดส่วนยังคงก้มต่ำอ่านบางสิ่งในสมุดบัญชีไม่เปลี่ยนกิริยาตามนิสัยไม่ค่อยอินังขังขอบกับสิ่งรอบกายทั้งสิ้นไม่ว่าเป็นเรื่องเป็นหรือเรื่องตายเขาล้วนสงบนิ่งได้อยู่เสมอ

“ยังมีคนแปลกหน้าเข้ามาเล่นพนันอยู่หกชั่วยาม ทว่ากลับมีแต่ได้ไม่มีเสียเลยขอรับนายท่าน” 

คราวนี้นิ้วเรียวยาวซึ่งกำลังตวัดพู่กันกับอีกข้างกำลังดีดลูกคิดพลันหยุดนิ่ง ใบหน้าที่ก้มอยู่นั้นหันขวับไปมองคนสนิทเช่นเหิงเซาด้วยสายตาไม่พึงใจอย่างยิ่ง 

“ข้าจะไปดูด้วยตนเอง อยากรู้เช่นกันว่าเป็นผู้ใดที่คิดลองดีกับข้าสวีฉีเฟิ่ง!...ท่านพ่อบ้านซูโจ๊กแปดเซียนเสร็จแล้วก็ส่งตามไปก็แล้วกัน ข้าจะไปฟ่านไฉสักหน่อย”

สั่งการไปพลางมือเรียวยาวนั้นก็เก็บบัญชีบนโต๊ะไปพลาง เพียงครู่ทุกสิ่งก็เรียบร้อยจนแม้แต่ท่านพ่อบ้านใหญ่ซูจิ้งเหยานั้นขนาดอยู่ดูแลจวนหลักที่เจียงหนานนั้นถึงสิบเจ็ดหนาวยังไม่กล้าบังอาจไปแตะต้องโต๊ะและของบนโต๊ะของ ‘นายท่านสวี’ นามว่าฉีเฟิ่งผู้นี้เลยแม้สักครั้งเดียว 

…โรงเตี๊ยมจิ้งไฉ… 

อีกครึ่งชั่วยามต่อมาสวีฉีเฟิ่งก็มายืนสังเกตการณ์อยู่บนชั้นที่สามของหอ ‘ฟ่านไฉ’ ในส่วนของบ่อนพนันสำหรับไฮโล และโต๊ะเล่นไพ่สายตาจับจ้องอยู่ที่คนแปลกหน้าสองกลุ่มที่แยกกันเล่นพนัน ทั้งไพ่ และไฮโลกับโต๊ะกำถั่ว ก่อนที่ดวงตาคมเข้มนั้นจะหรี่แคบลงเมื่อสายตาว่องไวจับบางสิ่งผิดปกติได้ในที่สุด 

“ไปเชิญพวกเขามารับรางวัลกับข้าสักหน่อยเถิดเหิงเซา” 

สั่งความเสร็จเจ้าของกายสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำทะมึนจึงเดินไปรอยังห้อง ‘มอบรางวัล’ ซึ่งอยู่ที่ชั้นใต้ดินด้วยกิริยาเยือกเย็นคล้ายกำลังเตรียมตัวจะไปเดินชมสวนก็มิปาน 

…โครม!...โครม!... 

“ปล่อยพวกข้านะ!” 

บุรุษวัยราวสามสิบหนาวแต่งกายดูดีบ่งบอกว่ามีฐานะมิใช่น้อย ถูกมัดมือมัดเท้าแล้วโยนโครมไปกองอยู่บนพื้นใกล้ปลายเท้าของสวีฉีเฟิ่งที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ไม้เนื้อดียกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยกิริยาเนิบนาบใจเย็น ทว่ากลิ่นอายอำมหิตเข้มข้นกลับกรุ่นกำจายไปทั่วห้องใต้ดินแห่งนี้ 

“มิทราบว่าคุณชายเป็นคนของสกุลใดกันจึงบังอาจมา ‘หากิน’ ไม่ดูเจ้าของเช่นนี้” 

วันนี้เวลาของสวีฉีเฟิ่งนั้นมีน้อยเขาจึงไม่อยาก ‘เล่นสนุก’ กับ ‘สวะ’ ตรงหน้าเลยพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมแต่อย่างใดเพราะสำหรับเขาตอบก็ดีไม่ตอบก็ช่าง สุดท้ายสิ่งใดที่เขาอยากรู้ ในใต้หล้านี้ล้วนไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นไปไม่ได้สักครั้ง

“ข้าแซ่หนิงมีนามว่าซวงเป็นเพียงชาวบ้านผู้หนึ่งที่มาเล่นพนันมิได้มีจุดประสงค์ใด แล้วมิทราบว่านายท่านสวีจับข้ามาทำไมในห้องแห่งนี้” 

คนที่ดูเป็น ‘หัวโจก’ เอ่ยชัดถ้อยชัดคำดูก็รู้ว่ามันคงจะโยกโย้อีกนาน เขามีเวลาไม่มากคงพูดกันเพียงเท่านี้ย่อมดีที่สุดแล้ว เขาจึงโบกมือเป็นสัญญาณให้เหิงเซาจัดการค้นตัวอีกฝ่ายเอาของที่เป็น ‘เครื่องมือ’ คดโกงเงินในบ่อนใต้จมูกของเขาอย่างไม่กลัวตายเช่นนี้ 

…ตุ๊บ…ตุ๊บ…ตุ๊บ… 

‘ของกลาง’ ประจักษ์อยู่ตรงหน้าทั้งสองคนถึงกับหน้าซีด หากแต่พวกมันยังไม่ทันแก้ตัวอีกสามชีวิตก็ถูกจับโยนไปกองรวมกันเสียแล้ว สวีฉีเฟิ่งไม่พูดมากเขารับมีดจากคนคุมบ่อนมากระชับมั่นคงในมือแล้วพยักหน้าให้อีกสามคนช่วยกันจับตรึงเจ้าคนที่ดูเป็น ‘หัวหน้า’ ให้กดมันลงกับพื้น 

“เปิดปากแล้วดึงลิ้นมันออกมา ในเมื่อข้าให้โอกาสเจ้าพูดแต่เป็นเจ้าที่ไม่อยากพูด เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดไปจนสิ้นใจก็แล้วกัน” 

…ขวับ!... 

“อ๊าก!...” 

มีดคมกริบตัดฉับเดียวลิ้นก็หลุดออกจากปากของคนแซ่หนิงตกลงพื้น โลหิตมากมายพุ่งกระฉูดตามติดออกมาทันทีโดยที่ใบหน้าของสวีฉีเฟิ่งนั้นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ก็นี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาต้องลงมือ ‘เชือด’ พวกอยากลองดีกับ’ฟ่านไฉ’ ที่เขาดูแลอยู่ การเปิดกิจการโรงเตี๊ยมที่มีบริการบ่อนการพนันไปจนถึงคณิกาทั้งชายและหญิง หากไม่อำมหิตคงอยู่ยืนหยัดมิได้เป็นแน่ 

“ผู้ใดสมควรตัดนิ้ว ผู้ใดสมควรควักลูกนัยน์ตา เจ้าก็จัดการให้เรียบร้อยนะเหิงเซา มิต้องรอให้ข้ากลับมาจัดการอีก” 

ส่งมีดคืนให้คนคุมบ่อนผู้หนึ่งแล้วเขาจึงเดินเนิบนาบไปล้างมือที่เปื้อนโลหิตกับเช็ดคราบที่ติดตามอาภรณ์สำรวจดูจนดิบดีเมื่อไม่เห็นรอยเปื้อนแล้วเขาจึงเดินกลับขึ้นไปด้านบน ออกตรวจความเรียบร้อยอีกสองเค่อจึงขึ้นรถม้าตรงไปยังจวนสกุลจางต่อไปทันที 

“หนานเฉิงกั๋วกงเชิญด้านนี้ขอรับ” 

เพราะไม่มีพ่อบ้านใหญ่แล้วรองพ่อบ้านฮัวจึงออกมาต้อนรับแขกคนสำคัญของท่านนายอำเภอจางด้วยกิริยานอบน้อมอย่างยิ่ง สวีฉีเฟิ่งมองสำรวจไปตลอดทางจากประตูไปจนถึงเรือนรับรองแขกของจวนสกุลจาง เพราะนี่คือครั้งแรกที่เขามาเยือนจวนของว่าที่พ่อตาในอนาคต 

“ท่านนายอำเภอจาง” 

ถึงเขามีศักดิ์สูงส่งกว่าจางเสียนอีแต่ด้วยวัยที่อีกฝ่ายมีมากกว่า เขาซึ่งเป็นแขกมาเยือนเลยเอ่ยทักอีกฝ่ายขึ้นก่อน แต่เขาไม่ได้โค้งกายทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นบุรุษอ่อนวัยคารวะท่านผู้อาวุโสทั่ว ๆ ไป 

“ลำบากหนานเฉิงกั๋วกงแล้ว…เชิญนั่งก่อนเถิด” 

เป็นจางเสียนอีที่ต้องโค้งกายเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้ไปนั่งที่เก้าอี้โต๊ะเดียวกับเขา สวีฉีเฟิ่งทิ้งหางตามองไปที่เก้าอี้อีกตัวที่มีฉากผ้าม่านสีชมพูเข้มกั้นขวางเอาไว้คาดเดาได้ไม่ยากว่าหลังม่านนั้นจะมีผู้ใดอยู่ 

“หวังว่านัดข้ามาพบครั้งนี้คงมี ‘ข่าว’ ที่ดีจะแจ้งข้ากระมัง” 

พอทรุดนั่งแล้วดื่มน้ำชากินของว่างพูดคุยเรื่องทั่วไปครู่ใหญ่สวีฉีเฟิ่งก็เอ่ยเข้าประเด็นหลักทันที จางเสียนอีถึงกับกระแอมกระไอเล็กน้อย แล้วนึกไปถึง ‘บท’ ที่บุตรสาวคนที่ห้าได้ ‘เสี้ยมสอน’ และซักซ้อมก่อนหน้าที่ ‘แขก’ คนสำคัญจะมาเยือน 

“ข่าวจะดีหรือร้ายเห็นทีคงต้องแล้วแต่หนานเฉิงกั๋วกงจะเมตตาอาเซียงของข้าแล้ว” 

ได้ฟังคำกล่าวมาเช่นนี้มุมปากสวยพลันกระตุกมิคาดว่าจางเสียนอีจะ ‘เรียกร้อง’ อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ เพราะหากเขาเรียกร้องด้วยกิริยาก้าวร้าวเขายังรับมือได้ง่ายกว่าท่านว่าที่พ่อตามาไม้นวมเช่นนี้ 

“หมื่นตำลึงพร้อมทองคำอีกสองพันชั่ง น้องเซียงคงซาบซึ้งต่อความจริงใจของข้าแล้วกระมัง” 

จางเสียนอีมิได้เป็นผู้ตอบ ทว่ากลับเป็นสาวใช้เช่นฟางปี้เหลียนรับเอากระดาษแผ่นหนึ่งจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังม่านผ้าแพรสีชมพูเข้มมาส่งให้แก่สวีฉีเฟิ่ง ซึ่งยิ่งอ่านมุมปากสวยก็ยิ่งกระตุก กลิ่นอายอำมหิตรุนแรงจนท่านนายอำเภอจางยังหายใจลำบากจริง ๆ 

“เงินหนึ่งแสนตำลึงทอง…ทองอีกหมื่นชั่ง…ที่นาห้าพันหมู่…คฤหาสน์ในเมืองหลวงหนึ่งหลัง…ทั้งหมดเหล่านี้น้องเซียงแน่ใจหรือไม่ว่าตนเองมีค่าคู่ควร?” 

จางเยว่เซียงไม่ตอบนางจดบางสิ่งอีกครู่แล้วส่งผ่านฟางปี้เหลียนมาให้เขาได้อ่านอีกครั้ง 

“เงินเพิ่มเป็นสองแสนตำลึงทอง…ทองคำเพิ่มเป็นสองหมื่นชั่ง…ที่นาห้าพันหมู่…ที่สวนอีกห้าพันหมู่…ตำแหน่งผู้ว่าการเมืองฉู่ให้แก่ท่านนายอำเภอจาง…น้องเซียงช่างเป็นคนใจกว้างเสียจริง!” 

มิคาดจางเยว่เซียงนั้นจะไม่พูดอีกแต่เริ่มตวัดพู่กันไปพร้อมกับเสียงฝนแท่นหมึกของสาวใช้ข้างกายก็ให้มันรู้ไปว่าเขาจะยอมให้นางขูดเลือดขูดเนื้อจน ‘ซีด’ ไม่เหลือเงินติดกายสักอีแปะ! 

สองคนคล้ายหลุดไปอยู่ในโลกที่มีเพียง ‘เราสอง’ คนอื่น ๆ ถูกกันให้ถอยห่างออกไปทั้งที่พวกเขาต่างยังนั่ง และยืนอยู่ในที่ในทางของตนเองเช่นเดิม ยิ่งกระดาษถูกส่งมาถี่เท่าใด ท่านนายอำเภอจางและท่านรองพ่อบ้านต่างเหงื่อกาฬแตกซ่านชวนน่าสงสารอย่างยิ่ง 

“ดี!...ในเมื่อน้องเซียงสูงค่าถึงเพียงนี้ พี่เฟิ่งก็จะเร่งส่งสินสอดทั้งหมดมาถึงจวนสกุลจางไม่เกินค่ำพรุ่งนี้ ส่วนตำแหน่งผู้ว่าการเมืองฉู่เจ้านั่งอยู่ในเรือนหอของสกุลสวีของข้าเมื่อใดท่านพ่อตาก็เตรียมตัวย้ายจวนได้เลยเช่นกัน!” 

สุดท้ายสวีฉีเฟิ่งก็ต้องจ่ายสินสอดเป็นเงินห้าแสนตำลึงทอง ทองคำถึงห้าหมื่นชั่ง คฤหาสน์อีกห้าหลัง ที่นาห้าพันหมู่ ที่สวนห้าพันหมู่ ที่ดินเป็นไร่ชาถึงห้าพันหมู่ กับตำแหน่งผู้ว่าการเมืองฉู่ให้บิดาของนางอีกด้วย 

…หึ… 

เสียเงินจนคลังเก็บสมบัตินั้นโล่งไปไม่น้อยโดยที่แม้นแต่เสียงหรือหลังมือของนางเขาผู้แซ่สวีก็ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน ก็นับว่าเขาก็ ‘ไม่เท่าไร’ สินะ แต่เช่นไรนางก็จะหลงระเริงมิได้ บุรุษผู้มีกิจการสีเทาไปจนถึงสีดำเต็มสองมือเขาคงไม่ยอม ‘เสียหน้า’ เป็นครั้งที่สองเป็นแน่ 

แต่นาง จางเยว่เซียงผู้นี้กลัวที่ใด ในเมื่อนางจะเอาชีวิตตนเองไปเสี่ยง บุรุษผู้นั้นเขาสมควรใจกว้างกับนางและครอบครัวสักหน่อยมิใช่หรือ? 

“ซั่วเจา!” 

พอกลับถึงจวนสวีฉีเฟิ่งก็เรียกหา ‘มือขวา’ ทันทีเพราะมิคาดว่าตนเองจะถูก ‘ขูดเลือดรีดเนื้อหนัง’ จากสตรีซึ่งขึ้นชื่อที่สุดแห่งแคว้นฉู่ว่า ‘โง่เง่า’ เป็นอันดับหนึ่งไม่พอนางยังหัวอ่อนไม่สู้คน และยอมไม่เคยมีปากมีเสียงมาไม่น้อยเช่นนี้ไปได้ 

“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาเหล่านี้ถูกต้องจริง ๆ แล้วใช่หรือไม่?” 

…โครม!... 

สมุดพับหลายเล่มถูกโยนไปตรงหน้าของซั่วเจาจนเขาถึงกับสะดุ้งเร่งคุกเข่าแล้วเปิดอ่านอย่างถี่ถ้วนจึงเงยหน้าขึ้นไปตอบผู้เป็นนายอย่างมั่นคงจับจ้องตากันไม่มีหลบ 

“ข้าน้อยมั่นใจเกินสิบส่วนเพราะติดตามดูการดำรงชีวิตของคุณหนูสี่ และคุณหนูห้าอยู่ถึงสามเดือนต่อให้พวกนางเป็นฝาแฝดใบหน้าแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ทว่าติดตามดูไปจึงแยกออกชัดเจนว่าคนใดร้ายกาจไม่พอยังโง่ กับผู้ใดแสนดีจนดูโง่อีกเช่นกัน” 

ฟังคนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันตอบอย่างมั่นใจ หัวคิ้วเข้มของสวีฉีเฟิ่งจึงยับยุ่ง เพราะที่เขาเจอวันนี้ต่อให้ครึ่งคำนางจะไม่ได้พูด หากแต่วิธี ‘เรียกร้อง’ โดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเสียง ใช้เพียงน้ำหมึกกับพู่กันก็ขูดเลือดเขาได้ไม่น้อย ต่อให้จ่ายไปขนาดนั้นเขาก็มิได้สะเทือนแต่เขาคือพ่อค้าแล้วต้องมา ‘ค้าขายขาดทุน’ เขาย่อมรู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่ง! 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   บทส่งท้าย

    บทส่งท้ายวันเวลานั้นช่างมิเคยหยุดรอผู้ใด บัดนี้ชีวิตใหม่ของอดีตนางร้ายข้ามภพเช่นจางเยว่เซียงหรือก็คือหนานเฉิงกั๋วกงฟูเหรินเผลอไปเล็กน้อย บัดนี้ก็ผ่านมาถึงเจ็ดหนาวเข้าไปแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นเช่นปุถุชนทั่วไปนั่นก็คือมีทั้งสุข และทุกข์ยากผสานกันไป บุตรชายฝาแฝดทั้งสองคนของนางคลอดออกมาอย่างปลอดภัยหลังจากพิธีแต่งงานของซั่วเจา และฟางปี้เหลียนผ่านไปได้ราวสองเดือน สวีฉีเฟิ่งคือคนที่ดีใจจนน้ำตาไหลในยามที่เขาได้โอบอุ้มเด็กแฝดสองคน และตลาดเจ็ดหนาวที่ผ่านมา 'สวีเฉิงซี' และ 'สวีเฉียวฟ่าน' ก็แข็งแรง และฉลาดเฉลียวสมวัย มิมีสิ่งใดผิดปกติเช่นที่นางกังวลมาตลอดหลังจากตนเองถูกวางยาในคราวนั้น ส่วนฟางปี้เหลียน และซั่วเจาอีกสองหนาวหลังจากแต่งงานกัน พวกเขาก็ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน และอีกห้าหนาวต่อมาก็เป็นบุตรชายอีกหนึ่งคน ครอบครัวแซ่ซั่วจึงอบอุ่นมีความสุขกันตามประสา ส่วนนางเมื่อหนึ่งหนาวก่อนก็เพิ่งให้กำเนิดบุตรสาวมาเป็นแก้วตาให้กับบุรุษแซ่สวีทั้งสาม และตัวของนางเอง ชีวิตของหนานเฉิงกั๋วกงสวีนั้นเจ็ดหนาวผ่านมาก็ยังคงต้องเดินทางหนึ่งหนาวแทบมิได้หยุดหย่อน ซึ่งในบางครั้งนางก็ติดตามเขาไปบ้าง แต่บางครั้งก็รั้

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนพิเศษ2

    ตอนพิเศษ2ราวครึ่งชั่วยามฟางปี้เหลียนก็ก้าวเท้าออกจากห้องอาบน้ำด้านหลังมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนที่พันพันห่อรอบศีรษะ เพราะนางทนไม่ไหวจำต้องสระผมด้วย ชายของเสื้อคลุมตัวที่นางสวมนั้นสั้นเพียงโคนขาเรียวเปิดเผยให้เห็นช่วงขาอ่อนวับแวม ส่วนหัวไหล่นวลเนียนลาดลงมารับกับเนินอกอันอวบอิ่มนั้นถูกเนื้อผ้าของเสื้อคลุมปกปิดมิดชิดเช่นปกติ ฝ่ายเจ้าบ่าวที่นอนรอท่าอยู่แล้ว เมื่อเห็นเจ้าสาวของตนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำเกือบจะถึงฉากที่กางกั้นเอาไว้สำหรับแต่งกาย เขาก็ลุกพรวดพราดขึ้นตรงไปประคองร่างงาม พลางโอบกอด และซบจมูกลงตรงช่วงลำคอขาวเนียนแล้วไถลเลยไปถึงลาดไหล่ "อะ!...ดะ...เดี๋ยวสิเจ้าคะ ขออาเหลียนสวมอาภรณ์ และเช็ดผมให้แห้งเสียก่อน" ถึงนางจะอาบน้ำถ่วงเวลาทำใจมาเป็นครึ่งชั่วยามแล้วโดยแท้ ทว่าเพียงเขาจู่โจมนางกลับสะท้านเยือกกับเคราเขียวที่เพิ่งโกนของเจ้าบ่าวซึ่งเสียดสีกับเนื้ออ่อนนุ่มบริเวณลำคอ"มิต้องสวมแล้ว สวมไปก็ถูกข้าถอดออกอยู่ดี" คนอดทนรอให้ถึงราตรีนี้มาหลายเดือนกล่าวทึ่มทื่อมิอ้อมค้อมสักน้อยจนฟางปี้เหลียนนั้นเขินอายใบหน้าร้อนผ่าวจึงอดจะบ่นพึมพำเสียมิได้ "ท่านพี่น่ะ!" ทว่านางพึมพำออกมาได้เพียงเท่านั

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนพิเศษ1

    ตอนพิเศษ1เข้าเดือนสี่หิมะเริ่มสลาย กลีบดอกเหมยก็ร่วงโรยใกล้หมดต้น บ่งบอกว่าบัดนี้เข้าสู่ปลายฤดูหนาว และคงกำลังจะเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแผ่นดินต้าเหลียงแล้ว วันที่จวนสวีกลับคึกคักอย่างยิ่ง ทั่วบริเวณเนื้อที่กว่าหนึ่งร้อยหมู่บัดนี้ถูกตกแต่งประดับประดาด้วยสีแดงระยิบระยับสดใสแสบตา เพราะวันนี้กำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้นนั่นเอง ซึ่งงานวิวาห์ในวันนี้นั้นจะเป็นของผู้ใดไปมิได้นอกจากท่านหัวหน้าซั่วเจาหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้เยือกเย็น กับแม่นางฟางปี้เหลียน คนสนิทของทั้งนายท่านสวี และนายหญิงสวีนั่นเอง แขกเหรื่อนั้นคราวแรกทั้งเจ้าบ่าว และเจ้าสาวมิคาดว่าจะมากมายเพราะทั้งคู่มิใช่คนมีฐานันดรอันใด ผู้เป็นฝ่ายเจ้าสาวนั้นนางเป็นเพียงสาวใช้กำพร้า มีญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวคือท่านหมอฟางผู้แก่ชรามากแล้ว ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นคงมิต้องกล่าวเพราะมีเพียงสวีฉีเฟิ่ง พ่อบ้านซูจิ้งเหยา เฉาคุน ติงฮ่าว และเหิงเซา เท่านั้นที่เหลือก็เป็นลูกน้องใต้ปกครองอีกราวสองร้อยกว่าชีวิตที่ยังอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่บัดนี้กลับมีแขกมาร่วมงานนับแล้วคงเกินห้าถึงหกร้อยคน ซึ่งในคราวนี้เพราะเวลาถูกเลื่อนมาจากกำหนดเดิมถึงสามเดือนกว่า ทางสกุ

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่ 50

    ตอนที่ 50และแล้วพ้นผ่านไปเพียงหนึ่งวัน ข่าวจากวังหลวงก็เริ่มทยอยส่งมาให้สวีฉีเฟิ่งได้ทราบ เริ่มจากตำหนักลี่ฮวาของเฉียนเต๋อเฟยที่อยู่ ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้จนวายวอด คนเกือบทั้งตำหนักตายลงสิ้น ทั้งที่นี่คือฤดูหนาวหิมะหนาแน่น แต่ต่อให้เป็นฤดูฝนน้ำมาก แต่หากเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ อยากให้มอดม้วยมลายสิ้นก็ต้องเป็นไปตามนั้น ส่วนเด็กสาวที่กวนเหยานักฆ่าสาวผู้นั้นฝากฝังเอาไว้ แน่นอนว่าต้องได้รับการช่วยเหลือตามคำพูดที่เขาได้รับปากคนตายไปแล้ว เพียงแต่ช่วยเหลือนางออกมาแล้วเขาก็จัดการส่งไปยังโรงเตี๊ยมของสกุลสวีให้นางเลือกว่าจะทำงานใดเลี้ยงชีพตนเอง แล้วลำดับต่อมาก็เป็นสกุลเฉียนที่ถูกข้อหายั่วยุองค์ชายสี่ทำการก่อกบฏคิดลอบปลงพระชนฮ่องเต้ ห้าร้อยเจ็ดสิบสามคนถูกประหารจนสิ้น ส่วนองค์ชายสี่ถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนฝั่งเยี่ยนเป่ยตลอดชีวิตมิอาจกลับมาเหยียบเมืองหลวงได้อีกต่อไป ส่วนทางด้านเหยียนเหม่ยซินนั้นได้คลอดบุตรออกมาเป็นหญิง และเพื่อความบริสุทธิ์ไร้ข้อกังขา ฮ่องเต้จึงประทานหมอหลวงให้ไปพิสูจน์สายเลือดถึงหกคนว่าที่แท้บิดาของเด็กน้อยนั้นเป็นสวีฉีเฟิ่งจริงหรือไม่ ซึ่งย่อมแน่นอนว่าไม่ใช่ แล้วความจริงที่ว่าเหยีย

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่ 49

    ตอนที่ 49...ตำหนักฉางชุน... กายแกร่งของหนานเฉิงกั๋วกงหนุ่มก้าวผ่านโค้งประตูของตำหนักใหญ่ที่มีทหารองครักษ์ และขันทีมากมายคุ้มกันแข็งขันสมกับเป็นตำหนักของมังกรแห่งต้าเหลียง “ฝ่าบาท หนานเฉิงกั๋วกงมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนสนิทเร่งเข้าไปโค้งกายกระซิบกระซาบบุรุษในอาภรณ์ลำลองมิได้เต็มพิธีการเช่นในยามออกว่าราชการยังท้องพระโรงใหญ่ของมหาราชวัง “อืม…ให้เขาเข้ามาได้” ผู้กำลังเคร่งเครียดอยู่กับม้วนฎีกามากล้นเอ่ยอนุญาตโดยมิได้ละสายตาจากงานในมือแม้แต่น้อย “ฉีเฟิ่งถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” กายสูงใหญ่ของหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเอ็ดหนาวผู้อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงงานเงยหน้าขึ้นจากกองฏีกามากมายตรงหน้าได้ในท้ายที่สุด เมื่อคนที่เขาทราบดีอยู่แล้วว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งสวีฉีเฟิ่งนั้นจะต้องมาเข้าเฝ้าเป็นแน่ เพราะข่าวคราวการสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขไปมิใช่อันใดที่บุรุษจะยอมรับได้ “แวะมาพบข้าได้สักครานะเฟิ่งเอ๋อร์ มานั่งตรงนี้พูดจากันให้ดีเถิด” หากเรียกกันเช่นนี้ย่อมหมายความว่าฮ่องเต้มิต้องการพูดคุยกันอย่างฮ่องเต้กับขุนนาง แต่เขาคงต้องการพูดคุยกันอย่างญาติสนิทมากกว่า แต่จะฐานะใดวันนี้สวีฉีเฟิ่งจะมิอ่อนข้อเด็ดข

  • เมื่อนางร้ายข้ามภพ   ตอนที่ 48

    ตอนที่ 48พอเขาขยับกายโอบอุ้มผู้เป็นภรรยา ก็สัมผัสได้กับความเปียกชื้นบ่งบอกชัดเจนถึงของเหลวจึงยกมือขึ้นมาดู ภาพหยาดโลหิตสีเข้มพร้อมกลิ่นคาวกลับทำเอาเขาอุทานลั่นพลางหน้าตาซีดเซียว ส่วนหัวใจนั้นเจ็บปวดราวกับถูกมือขนาดยักษ์ยื่นมาบีบบี้ขยี้จนแหลกเหลวกลายเป็นน้ำเสียแล้ว …ไม่นะเจ้าก้อนขนมทังหยวน (ขนมบัวลอย) ของบิดา เจ้าอย่าเป็นอันใดไปนะ!… “นายท่านเร่งพานายหญิงไปด้านในก่อนเถิดขอรับ อาเหลียนเร่งไปตามท่านพ่อบ้านใหญ่มาเร็วเข้า” เป็นซั่วเจาที่มีสติมากกว่าผู้เป็น ‘นายท่าน’ เขาจึงร้องเตือนทางสวีฉีเฟิ่ง เสร็จแล้วหันไปร้องบอกให้ฟางปี้เหลียนเร่งไปตามผู้มีความรู้ทางการแพทย์เช่นซูจิ้งเหยามาดูอาการของจางเยว่เซียงก่อนที่ท่านหมอจะมาถึงจวน “ท่านพี่…” จางเยว่เซียงนั้นเกร็งมือกำหน้าอกเสื้อของสามีเอาไว้แน่นจนเห็นข้อนิ้วขาว พยายามกัดฟันอดทนต่อสู้กับความเจ็บปวดที่บีบรัดรุนแรงในช่องท้อง นางพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกสุด หวังบรรเทาอาการปวดนั้นมิให้กัดกินสติของนางจนสิ้นนั่นเอง ส่วนภายในใจนั้นจางเยว่เซียงนั้นกลับกังวลห่วงใยลูกน้อยที่นางเพิ่งทราบว่ามีเขามาอยู่ด้วยเพียงสองเดือนเท่านั้น แต่บัดนี้นางกำลัง

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status