ลูกค้าหลายโต๊ะพากันเหลียวมอง เสียงซุบซิบดังขึ้นเมื่อเถ้าแก่เนี้ย ผู้เลื่องลือว่างดงามยิ่งเอ่ยคำชวนเขินให้หญิงสาวแปลกหน้า แม้จะมีคนพยายามมาสู่ขอแต่ก็หาได้มีคนสมหวังแม้แต่คนเดียว ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างอยากเห็นหน้าตาของลูกค้าคนนั้นว่ามีหน้าตาเช่นใด ถึงทำให้เจ้าของร้านคนสวยพูดแบบนั้น
“ใจเกเรแล้วน่ะเรา” จินเซียงหัวเราะเบา ๆ
เถ้าแก่เนี้ยยกยิ้มตาหวาน โน้มตัวลงกระซิบ “ถ้าเป็นท่าน...ข้ายอมน่ะ จะบอกให้” พร้อมกับเอามือลูบหลังมือจินเซียงเบา ๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า… พอเถอะ คนมองกันหมดแล้ว” จินเซียงพูดพลางยกชาขึ้นบังแก้ม
“ซิก็ได้” นางหัวเราะคิก แต่ไม่นานสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง วางแบงก์ยี่สิบลงบนโต๊ะ “ท่าน…สิ่งนี้ได้มาจากที่ใด”
จินเซียงสบตากลับ สายตาคมลึกเหมือนทดสอบ
“เจ้าคงรู้คำตอบอยู่แล้ว”
“อืม…” เถ้าแก่เนี้ยเม้มริมฝีปากเบา ๆ ก่อนโน้มเข้าใกล้จนแทบจะได้ยินลมหายใจ “คืนนี้…เตรียมอาหารไว้ ข้าจะรอฟังคำตอบ”
จินเซียงแค่นยิ้ม “ตกลง เช่นนั้นมื้อนี้ถือว่าท่านเลี้ยง”
“ขอบใจ” นางยิ้มหวานแล้วตบบ่าเบา ๆ ก่อนผละออก
ไม่นาน อาหารก็ถูกยกมาจนครบ จินเซียงใช้เวลาดื่มด่ำกับรสชาติอยู่ครู่ใหญ่ ความเงียบสงบปะปนเสียงคลื่นจากท่าเรือด้านล่าง ก่อนที่นางจะลุกออกไป โดยมีเถ้าแก่เนี้ยออกมาส่งถึงหน้าร้าน สายตาหลายคู่ยังจับจ้องตามราวกับต้องการไขปริศนาของหญิงสาวปริศนาที่สวมชุดคลุมคนนั้น
หลังจากได้ข้อมูลเรื่องร้านขายสัตว์แปลกๆ แล้ว ก็เดินมุ่งหน้าไป บริเวณท่าเรือมีร้านค้าแผงลอยจำนวนมาก ร้านที่เถ้าแก่เนี้ยร้านก๋วยเตี๋ยวแนะนำเป็นเต็นท์สีขาวของพวกเปอร์เซีย พ่อค้าชาวเปอร์เซียเห็นลูกค้าเดินเข้ามาก็ออกไปต้อนรับด้วยความยินดี
“ไม่ทราบ...ว่า..ทะ..ท่านมีอะไรให้..ขะ..ข้าช่วยรึไม่ขอรับ” พ่อค้าพูดแบบติดๆ ขัดๆ ด้วยสำเนียงแปลกๆ
“ข้าอยากได้เหยี่ยวสักตัว” นางหันไปตอบพ่อค้า “ท่านจะพอแนะนำให้ข้าได้รึไม่” จินเซียงพูดด้วยภาษาเปอร์เซีย
พ่อถึงกับประหลาดใจ “ท่านมาจากเปอร์เซียรึ” พ่อค้าชาวเปอร์เซียยิ้มรับด้วยความยินดีเมื่อได้เจอคนบ้านเดียวกัน
“ใช่แล้ว ข้าเบื่อพวกอัศวินเทมพลาร์” จินเซียงยิ้มเบาแล้วเดินดูของในร้านค้า ที่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของใช้ เครื่องเทศ และดาบทั่วไป
“เฮ้อ ทำไงได้ขอรับ สงครามยังไม่สงบก็คงต้องรบกันอีกนาน”
“ที่นี่ก็พึ่งจบไปเหมือนกัน ดูสภาพบ้านเมืองซิ”
“ข้าเข้าใจ มาเถอะข้าจะพาไปเลือกดู” เจ้าของร้านเดินวนอยู่ไม่นานก็หันไปดึงผ้าคลุมสีแดง “แต่ที่เหมาะกับท่านข้าคิดว่าคงเป็นเจ้านี่” เหยี่ยวตัวใหญ่สีแดงเข้มปรากฏสู่สายตาของจินเซียง ตาคมเหมือนเปลวไฟ ขนสีแดงดุจอำพัน ปีกกว้างราว 2 เมตร
“สวยมาก” ขนของมันเงางาม กล้ามเนื้อแข็งแรง เพียงสัมผัสด้วยสายตาก็รู้ทันทีว่าเป็นนกที่ดีขนาดไหน “แล้วราคาเท่าไหร่กัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เห็นแบบนี้มันก็เลือกนายน่ะ ถ้ามันฟังท่านข้าลดให้เลยจาก 56 ตำลึงทอง เหลือเพียง 20 ตำลึงเงินเท่านั้น พร้อมของแถม 1 อย่างให้ท่านเลือก”
“.......” เพียงได้ยินราคาก็ทำเอาสมองหยุดนิ่ง “1 ตำลึงเงินซื้อขาวได้เป็นเดือนเลยน่ะ ถ้า 20 ตำลึงเงิน ท่านไม่บอกให้ข้าซื้อบ้านหลังในเมืองเลยเล่า”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เจ้าของร้านหัวเราะเสียงดัง “ของดียอมมีราคาของมัน ท่านไม่คิดเช่นนั้นร”
“ก็ได้ ก็ได้” เมื่อกรงเปิดออก จินเซียงพาแขนไปที่หน้ากรง “ท่านคงไม่คืนคำใช่ไหม” จินเซียงยิ้มกว้างมองเหยี่ยวตัวใหญ่เดินมาเกาะที่แขน
เจ้าของร้านยิ้มเบา “มันได้อยู่กับคนที่ใช่ข้าก็ยินดีกับมันแล้ว ส่วนของแถมท่านอยากได้สิ่งใด”
“ขอเดินดูก่อน” เดินดูพักใหญ่ก็เจอของบางอย่างที่ถูกทิ้งไว้ในถัง
“ข้าขอมีดสั้นกับดาบคู่นี้ได้รึไม่” เจ้าของร้านมองดูของสองชิ้นที่ถูกวางทิ้งไว้ในถังไม้
“อืม ถึงจะดูเก่าไปหน่อยแต่ก็ถือว่าของดี เช่นนั้นข้ามอบสิ่งนี้ให้ท่านด้วย มันคงดีกว่าถูกเก็บไว้ให้ฝุ่นเกาะ” เจ้าของร้านเดินเข้าไปหลังร้านแล้วกลับออกมาพร้อมกับหีบใบเล็ก
“สิ่งนี้คือ” จินเซียงมองหีบใบเล็กบนโต๊ะ
“มันเป็นของเจ้า” เจ้าของร้านมอบหีบใบเล็กให้
“ทำไมท่านถึงยกมันข้า” จินเซียงมองแล้วตั้งคำถาม มือบางปัดฝุ่นเบาๆ พอให้เห็นตัวหนังสือที่สลักไว้
“سرنوشت راه را میسازد ”
“ซาร เนเวชท์ ราห์ รา มี-ซา-ซัด”
“ถ้าแปลตรงตัวคงเป็น ชะตาสวรรค์ลิขิต หนทางย่อมปรากฏเอง ความหมายดี ความหมายดี” จินเซียงยิ้มอย่างพอใจ
“ข้าพบมันพร้อมเหยี่ยวตัวนี้ ตอนที่มันกำลังจะตายกลางทะเล”
“เช่นนั้นข้าจะไม่ถาม นี่คือเงินและยาของท่าน มันสามารถช่วยท่านจากพิษในตัวท่านได้ ขอตัวก่อน” จินเซียงประสานมือก่อนจะเอาของทั้งหมดใส่หีบแล้วเดินออกไปโดยมีเหยี่ยวตัวใหญ่เกาะอยู่บนหัว
นางเดินหายไปในตรอกมืดและกลับออกมาตัวเปล่ามีเพียงเหยี่ยวตัวใหญ่เท่านั้นที่เกาะอยู่บนไหล่ ระหว่างเดินกลับจวนก็ถือโอกาสเดินชมเมืองโบราณที่ยังสมบูรณ์ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา บรรยากาศในเมืองตอนเย็นดูคึกคักมากกว่าช่วงบ่าย พ่อค้าแม่ขายมากมายพยายามเรียกลูกค้าแข่งกันเป็นสีสันของยามเย็นของเมือง
“เกิดอะไรขึ้นทำไมดูวุ่ยวายจัง” นางมองดูความวุ่นวายของคนในจวน
พ่อบ้านหันมาเจอกับจินเซียงที่กำลังเดินเข้ามาในจวนพอดี ก็รีบเดินเข้าไปหาด้วยความรีบร้อน
“แย่แล้วขอรับ! แต่ดีแล้วที่ท่านกลับมาเร็ว”
“ดูท่านไม่ค่อยดีเลย ตกลงแย่หรือดี”
พ่อบ้านนิ่งไป “คุณหนูขอรับ เวลาแบบนี้ยังมาล้อข้าเล่นอีก”
จินเซียงหัวเราะเบา “เกิดอะไรขึ้นกันเจ้าค่ะ”
“เชิญทางนี้ดีกว่าขอรับ นายท่านรออยู่”
“เจ้าค่ะ” จินเซียงพยักหน้าแล้วรีบเดินตามพ่อบ้านไป
“นายท่าน ท่านจินเซียงมาถึงแล้วขอรับ”
“รีบเข้ามาก่อน เวลาไม่คอยใคร”
“ขอรับ” จินเซียงรีบเดินเข้าไปในห้องพร้อมพ่อบ้าน
“เจ้านั่งก่อน คือว่าข้ามีเรื่องอยากให้ช่วย”
“เรื่องอะไรเจ้าค่ะ ท่านว่ามาเถอะ”
“อี้หลันกับฟางฟาง ถูกจับตัวไปน่ะซิ และตอนนี้พี่ชายของพวกนางกำลังพาทหารออกค้นหาอยู่”
“ตั้งแต่ช่วงไหนเจ้าค่ะ แล้วเหตุเกิดที่ไหน”
“ไม่แน่ใจ แต่น่าจะเป็นช่วงบ่ายมีทหารไปพบถิงถิงที่นอนบาดเจ็บอยู่ใกล้ป่านอกเมือง”
“อีกแล้ว? แล้วนางบอกอะไรเพิ่มไหมเจ้าค่ะ”
“นางบอกว่าคนร้ายมากันกลุ่มใหญ่ แต่เพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาทำอะไรแถวหน้าเมืองแบบนี้ พวกองครักษ์ที่ตามไปก็ตายไปกว่าครึ่ง”
“คงเป็นกลุ่มเก่าแน่เลย เช่นนั้นข้าขอไปดูถิงถิงก่อน”
“อืม นางอยู่ที่ห้องพักในเรือนของอี้หลัน”
“เจ้าค่ะ” จินเซียงรีบวิ่งไปที่เรือนของถังอี้หลันแต่กลับพบว่าถิงถิงยังนอนไม่ได้สติ ในมือมีบางอย่างที่นางกำไว้แน่นไม่ยอมปล่อย พอหันไปถามหมอ หมอก็ส่ายหัว ทำให้ต้องกระซิบข้างหูเบาๆ นางจึงยอมคลายมือ
“ตั๋วแลกเงินร้อยตำลึง!” พ่อบ้านอุทานออกมาทันทีที่เห็นและยิ่งตกใจมากกว่าเก่าเมื่อเห็นตราประทับบนตั๋วเงิน
“ตระกูลหวง”
“แต่นายท่าน เราไม่มีความแค้นอะไรกับพวกนั้นเลยน่ะขอรับ” พ่อบ้านหันไปหานายของตน
“จริงซิ นางบอกอะไรเจ้าบ้าง”
“นางบอกแค่ว่ากลุ่มทหารรับจ้าง” จินเซียงหันไปหาเหยี่ยวแดงตัวใหญ่ที่ยังเกาะอยู่บนบ่า “เหินฟ้าเจ้าหาเจ้าของเงินได้รึไม่” จินเซียงหันไปถามเหยี่ยวของนาง แล้วมันก็ผงกหัวก่อนจะบินออกไป
“เจ้าได้นกตัวนั้นมาจากไหน”
“พึ่งซื้อมาจากพ่อค้าชาวเปอร์เซียเจ้าค่ะท่านเจ้าบ้าน”
“มันตัวใหญ่มาก ท่าทางคงดุน่าดู”
“เจ้าค่ะ ข้าขอไปเตรียมตัวก่อนคิดว่าไม่นานมันคงมองหาเจอ”
“ขอบใจเจ้ามาก”
“ไม่เป็นไร ช่วงนี้ข้าเองก็กำลังเบื่ออยู่พอดี ไม่มีอะไรทำ” จินเซียงประสานมือแล้วหันหลังเดินออกไป
“แปลกคนจริง ข้าว่าถ้ารับอุปการะนาง ลูกหญิงทั้งสองอาจจะมีพี่สาวที่คอยชี้แนะก็เป็นได้”
“นายท่าน เราพึ่งเจอนางไม่นาน เราควรรอดูไปก่อนน่ะขอรับ”
“อืม รีบส่งองครักษ์ออกไปค้นหา ข้าอยากรู้นักว่าใครมันกล้าได้มาหาเรื่องตระกูลเรา”
“ขอรับนายท่าน”
จินเซียงที่มาถึงห้องก็ได้เอาหีบใบนั้นออกมา ดูเหมือนว่ามิติของนางจะทำความสะอาดให้อย่างดีจนทำให้ของภายในดูเหมือนใหม่แกะห่อ
“ซัก อบ รีด ให้เลยหรอเนี่ย แม้แต่ของชิ้นอื่นก็ทำความสะอาดและซ่อมแซมให้ ช่างดียิ่งนัก” ไม่รอช้านางรีบแต่งตัวทันที
พอดูในกระจกมันไม่ต่างจากชุดเครื่องแบบของกลุ่มนักฆ่าแอสซาซินเลย “ว้าว ดูดีมากเลย อืมเช่นนั้นคงต้องขอบคุณเทพที่มอบมิติให้สักหน่อย”
เหล้าหมักของดีพร้อมขนมคาวหวานออกมาวางไว้แล้วอธิษฐาน ก่อนจะเดินออกนอกห้องไปเพราะเจ้าเหินฟ้าติดต่อกลับมาแล้ว โดยไม่รู้เลยว่าในตอนนี้เหล้าและขนมหายไปแล้ว
'เจ้านายข้าพบแล้ว'
'ที่ไหน'
'หอใหญ่ทางตะวันออกเฉียง'
'ตกลง'
จินเซียงหายตัวไปเงียบๆ โดยไม่บอกใคร นางมาถึงบริเวณใกล้กับอาคารเป้าหมายโดยการแอบอยู่บนหลังคา อาศัยเพียงความมืดปีนขึ้นไปบนหอนางโลมก่อนนะลอบเข้าไปด้านใน
'คงต้องแปลงกายนิดหน่อย' นางหมุนตัวหนึ่งรอบก็กลายเป็นคุณชายหน้าตาดีคนหนึ่ง
'เอาล่ะ อยากรู้จริงๆ ว่าอี้หลันกับฟางฟางอยู่ไหนกัน'
นางเดินสำรวจขึ้นไปชั้นบนเพราะบางอย่างมันบอกว่าด้านบนน่าสงสัยมากที่สุด และเป็นจริงดังว่าเพราะมีห้องหนึ่งมีคนคุ้มกันยืนเฝ้าอยู่หลายคน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาคนที่ตามหาอาจอยู่ในนั้น
'เข็มอาบยาสลบ' นางยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนจะซัดเข็มใส่คนทั้งหมดอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครทันรู้ตัว
'เรียบร้อย' นางเรียกเก็บเข็มเข้ามิติแล้วค่อยเดินไปที่ประแล้วเปิดประตูอย่างแผ่วเบา 'อยู่ที่นี่จริงด้วย อ่าวทำไมมีสามแล้วสตรีที่ใส่เกราะอ่อนนั่นใครกัน ไม่ซิมันแปลกแล้วทำไมสตรีคนนั้นถึงได้จับพวกนางมา'
จินเซียงแอบอยู่หลังตู้ เมื่อสบโอกาสที่สตรีคนนั้นเผลอรีบตรงเข้าไปจับกดลงกับพื้นแล้วโปะยาสลบจนนางสิ้นฤทธิ์ แล้วหันไปสำรวจคนทั้งสองที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงโดยที่มือและเท้าถูกมัดไว้
‘ชีพจรปกติ ดูท่าคงยังไม่ทันลงมือ’ ทั้งคู่ถูกแบบลงไปทางหน้าต่าง เพื่อนสาวที่มารออยู่แล้วก็รีบรับทั้งสองขึ้นรถม้าแต่จินเซียงบอกว่ายังมีงานอยู่เลยขอให้เอาสองคนไปส่งที่จวนก่อน
พอกลับขึ้นมาชั้นบน “เกิดอะไรขึ้น!!” สายตาและสติเริ่มเลือนราง “ทำไมข้าถึง” ทว่าหญิงสาวคนหนึ่งกลับเดินเข้ามาแล้วยิ้ม “เจ้ามัน!” แล้วภาพก็ตัดไป
“คิดว่าข้าผู้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ตระกูลหยางจะหลงงกลโง่ๆ ของคนอย่างเจ้ารึไง” หญิงสาวลากร่างคนสลบไปโยนไว้บนเตียง
“สตรีรึ! หึหึหึ ร่างกายของนางช่างน่าสนใจนัก แม้ข้าจะเป็นสตรีแต่ข้าก็ไม่รังเกียจเจ้าหรอกน่ะ เด็กๆ พานางกลับจวน!” จินเซียงผู้โชคร้ายถูกใครบางคนพาตัวไป
******
ที่จวนตระกูลถัง
รถม้าคันใหญ่มาหยุดที่หน้าประตูจวน “นายกองข้าพาคนมา” หญิงสาวทักชายที่เพื่อนกำชับว่าต้องส่งคนให้ชายคนนี้เท่านั้น
“เจ้าคือสหายของจินเซียงรึ แล้วนางล่ะ”
“เดี๋ยวคงกลับมา ท่านเรียกสาวใช้มาเอาสองคนนี้ไปก่อน ข้าจะได้กลับจวนของข้าบ้างดึกแล้ว”
“ขอบใจท่านมาก ข้าจะรีบรายงานนายท่าน” นายกองหลี่รีบเข้าไปในจวนและพาพวกสาวใช้ออกมาอุ้มคุณหนูทั้งสองของจวนกลับเข้าไปในจวน
“ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือ”
“ท่านควรขอบคุณสหายของข้ามากกว่า ถ้านางไม่ส่งข่าวบอกข้าก่อน ข้าก็คงไม่เอารถม้าไปรอรับหรอก ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” หญิงสาวประสานมือแล้วขึ้นบังคับรถม้าหายไปในความมืด
- เช้าวันต่อมา -
“ปวดหัวจัง ทำไมร่างกายข้าถึงปวดเช่นนี้” จินเซียงลืมตามองไปทั่วห้องอันไม่คุ้นเคย “ที่ไหนอีกเนี่ย!”
ทว่าก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้น “นอนต่อเถอะเมื่อคืนเจ้ายังไม่ได้พักเลย หรือ...อยากให้ข้าทวนความจำให้เจ้า แม่สาวนักฆ่า” จินเซียงหันมองตามเสียงเจอเพียงสตรีที่กำลังนอนกอดนางจากด้านหลังแบบแนบเนื้อจนรู้สึกได้
‘นี่มันจะรู้สึกดีเกินไปแล้ว ชาติก่อนยังไม่เคยมีแฟน มาชาตินี้ถูกจับขึ้นเตียงแล้ว’ จินเซียงยิ้มในใจ
“เจ้าจับข้ามาทำ เดี๋ยว!” หญิงสาวพลิกตัวขึ้นคร่อมจินเซียง มีเพียงผ้าห่มผืนบางคลุมกาย
“ข้าอุตส่าห์ช่วยสองพี่น้องจากพวกโจร ข้ายังช่วยรักษาพวกนางแต่เจ้ากลับลอบทำร้ายข้าและคนของข้า” นางยิ้มให้จินเซียงแล้วก้มหน้ามาใกล้สูดรับกลิ่นอายกายสาว
“ดวงตาคู่นี้สวยดีข้าชอบ เจ้าคงคิดว่ายาสลบนั่นจะทำอะไรข้าได้” หญิงสาวยิ้มแล้วขยับหน้าลงมาจนได้ยินเสียงหายใจของอีกฝ่าย
“แต่ของข้าแรงกว่าเจ้าเยอะ” สุดท้ายจินเซียงต้องปล่อยเลยตามเลยเพราะฤทธิ์ของยาสลายกำลัง
ตกบ่ายจินเซียงตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกว่ามีใครหลายคนกำลังเช็ดตัวให้นางอยู่ แล้วไหนจะกลิ่นยาที่แรงจนทำให้สติของนางกลับมาอย่างรวดเร็ว
“แม่นางตื่นแล้วรึเจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านมาทานอาหารก่อน ข้าจะไปรายงานท่านแม่ทัพก่อนว่าท่านตื่นแล้ว” สาวใช้คนนั้นรีบเดินออกไปปล่อยให้คนอื่นๆ แต่งตัวให้นางต่อ
“พวกเจ้าตอบข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้น” แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบเพราะทุกคนเอาแต่ก้มหน้าอย่างเดียว
“แม่นางมาทานอาหารเถอะ ไม่เช่นนั้นท่านแม่ทัพอาจตะ...ตำหนิพวกเราได้” สาวใช้หลายคนช่วยกันพยุงไปที่โต๊ะอาหาร รอไม่นานบุคคลที่ทำนางให้เป็นเช่นนี้ก็มาถึง
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
“เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ” สาวใช้ทั้งหมดออกไป
“เป็นไงบ้าง” นิ้วงามปัดผมออกจากหน้าของจินเซียง
“เจ้าทำแบบนี้ทำไม” จินเซียงถามด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก “ถ้าจะเอาก็บอกไม่ต้องวางยา”
“เช่นนั้นข้าคงต้องทบทวนความจำเรื่องของเราสักรอบดีไหม ก่อนจะพาเจ้าไปส่งที่จวนตระกูลถัง?” แม่ทัพสาวพูดยิ้มๆ พลางโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบแตะกัน
“มะ...ไม่ต้อง! เจ้าถอยไปเลย ว้าย!” จินเซียงตกใจลนลาน หงายหลังตกเก้าอี้ไปอย่างแรง แต่กลับดึงเอาแม่ทัพสาวลงมาด้วย ทั้งสองเลยกลิ้งไปกองอยู่บนพื้น
“เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าอยู่ที่จวนตระกูลถัง?” จินเซียงรีบเบี่ยงประเด็น พลางพยายามดันอีกฝ่ายออก
“ถังอี้หลันก็เหมือนน้องสาวของข้าคนหนึ่ง จะไม่รู้จักได้อย่างไรกัน” หยางเผยอิงตอบพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ทำเอาจินเซียงขนลุกซู่
“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน...จะ...เจ้าก็ยังไม่บอกชื่อข้าเลย” จินเซียงแกล้งพูดพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์
“เอ๋? ข้าลืมไปจริงด้วย!” แม่ทัพสาวหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกดแขนของจินเซียงไว้กับพื้น ทำท่าเหมือนจะเอาคืน
“ข้าหยางเผยอิง”
“หึ… เผยอิงสินะ เจ้าทำกับข้าได้แสบมาก” จินเซียงยิ้มมุมปากกลับบ้าง พลันใช้แรงพลิกตัวรวบอีกฝ่ายลงไปบนพื้นแทน
“วะ…ว้าย! เจ้ามันเจ้าเล่ห์!” เผยอิงหน้าแดงก่ำ ดิ้นไปมาก็ไม่หลุด ยิ่งทำท่าเหมือนกำลังให้ท่าจินเซียงเข้าไปใหญ่
“ฮ่ะ ๆ ๆ คราวนี้ดูเหมือนเจ้าจะเสียท่าแล้วนะ แม่ทัพใหญ่” จินเซียงหัวเราะกวน ๆ พลางโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบแตะกัน
เผยอิงหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม รีบยกมือปิดปากของจินเซียงไว้ “พอเลย! มีคนอยู่ข้างนอกทั้งนั้นนะ!”
“ของจริงเริ่มต่อจากนี้” จินเซียงอุ้มเผยอิงขึ้น แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะหนังสือตัวใหญ่ เผยอิงก็ได้แต่เกร็งตัวกอดจินเซียงไว้แน่น
“ขะ...ข้าขอโทษ” แม่ทัพสาวมองด้วยสายตาที่น่าสงสารแต่กลับไม่เป็นผล เมื่ออีกฝ่ายยิ้มแล้วประกบริมฝีปากบางเบา
“สายไปแล้ว” จินเซียงเริ่มบรรเลงกระบวนท่าจนเสียงร้องทั้งคู่ดังไปทั่วเรือนนอนของเผยอิง สาวใช้ต่างพากันรีบเดินหนีเพราะรู้แล้วว่าอย่างไรวันนี้ก็คงปิดจวนไม่รับแขกเช่นเคย
เสียงนกร้องยามเช้าปลุกร่างบางให้ตื่นจากหลับใหล ทั้งคู่ยังคงนอนเคียงกันอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบาง หลังจากปรับความเข้าใจกันมาทั้งคืน
“กินเท่าไหร่ก็ไม่พอ” จินเซียงจูบลงที่หลังคอของแม่ทัพสาว
“ข้าไม่..” นางอายเล็กน้อยที่จะพูด “แต่เจ้ากลับเอาความบริสุทธิ์ของข้าไป” แม่ทัพสาวเริ่มมีน้ำตา
“เจ้า...เจ้ายัง อย่าบอกน่ะว่า!”
“ใช่!..เจ้ามันเลวที่สุด” เผยอิงเริ่มตัดพ้อ และมีน้ำตาซึมออกมา
“เจ้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่จะมาร้องแบบนี้ไม่ได้น่ะ” จินเซียงพูดจบก็จูบลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา แล้วประกบจูบก่อนจะลากยาวลงมาด้านล่างเพื่อเดิมชิมน้ำหวานยามเช้า
“เจ้าคนมักมาก” เผยอิงนอนบิดตัวไปมาด้วยความเขินอายกับความรู้สึกอันแปลกประหลาดที่จินเซียงมอบให้
เสียงหัวเราะคิกคักดังลอดออกไปนอกเรือน ทำให้สาวใช้ที่เดินผ่านมารีบหลบหน้าด้วยความเขิน เพราะเข้าใจไปไกลแล้วว่าคุณหนูกับคนแปลกหน้าทำอะไรกันในเรือน แต่ใช่พวกนางไม่ได้เข้าใจผิดแม้แต่น้อย
ตกบ่ายทั้งคู่ที่อาบน้ำล้างตัวเสร็จก็พากันเดินออกมาจากเรือนเพราะสาวใช้จากเรือนใหญ่มาตามถึงหน้าเรือนนอน
“พวกเจ้ามาแล้วรึ มาหาพ่อนี่” ผู้นำตระกูลเรียกทั้งคู่เข้าไปหา
“คารวะท่านเจ้าบ้านหยาง ฮูหยินหยางเจ้าค่ะ” จินเซียงประสานมือคารวะสองสามีภรรยาที่นั่งอยู่กลางห้อง
“อีกหน่อยต่อไป...พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เจ้าเรียกว่าพ่อกับแม่เถอะ” ฮูหยินหยางยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าที่ลูกเขย
“ห่ะ!” สองสาวมองคนพูดอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ตะ ตะ ตะ แต่ว่าฮูหยินหยาง ขะ ข้า”
“อะไรกันข้าไม่รังเกียจเจ้าหรอก เจ้าหน้าตาผิวพรรณก็ดี ถ้ามีเจ้าก้อนแป้งคงจะได้พวกเจ้าสองคนมาไม่น้อยเลยทีเดียว” ฮูหยินหยางยิ้มอย่างยินดีเพราะลูกสาวไม่ต้องแต่งออกนอกเรือน ลูกเขยก็อยู่ห่างกันแค่กำแพงกั้น
“อะฮึม! น้องหญิงเจ้าหยุดมโนก่อนน่ะ พี่ว่าเรารีบไปหาตาแก่ตระกูลถังเพื่อคุยเรื่องนี้กันเถอะ”
“ใช่ๆ พวกเราจะรอช้าไม่ได้ ลูกรองเองก็แต่งออกไปแล้วด้วย เจ้าใหญ่จะได้แต่งสักที”
“ตะ...แต่ว่าท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านยังไม่รู้จักนางเลยน่ะเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวก็รู้จักกันเองแหละ เจ้าไปส่งพี่เค้าที่จวนหน่อยซิลูก”
“ทะ...ท่านแม่!” เผยอิงพูดไม่ออก เมื่อเห็นพ่อกับแม่ของตัวเองรีบพากันเดินออกประตูไป รบมาก็หลายปี ถูกจับแต่งงานก็หนีไปสนามรบ จนตอนนี้อายุ 20 แล้วก็ยังไม่มีใครคู่ ต่างจากน้องสาวที่แต่งออกไปกับคนรัก แต่ตอนนี้กลับจะได้แต่งงานเพราะพลาดเพียงครั้งเดียว
“ท่านพี่! อ้าว! เทำไมเจ้ามาอยู่จวนข้า”
จินเซียงหันไปมองต้นเสียง
“อ้าวเจ้านี่เอง! เถ้าแก่เนี้ย!”
แม้ว่าภายนอกจะวุ่นวายเพียงไรแต่ก็ไม่กระทบกับการกินอาหารแม้แต่น้อย บนโต๊ะมีอาหารมากมายพอๆ กับคนที่มีเยอะ ดีที่หวังซุนเทียนได้จองไว้ทั้งชั้นทำให้ไม่มีใครรบกวน“ท่านเอ่อ~” “เรียกข้าซียงก็พอ ไม่ว่าจินเต้องมาก็พิธี” “เจ้าค่ะ พี่จินเซียง จริงซิพวกท่านจะไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ใช่รึไม่” “ใช่แล้ว คนเยอะน่าจะขายดี” ตอบตามที่คิด เพราะนางคิดจะหาเงินจากงานนี้โดยเฉพาะ พอกินข้าวแล้วตีกัน เมื่อโรงเตี้ยมพัง คนก็จะมากินที่ร้านนาง “พวกท่านจะว่าอะไรรึ ไม่ถ้าพวกเราขอตามขบวนท่านไป” จินเซียงเหลือบมองกุ้ยเฟยเล็กน้อย กุ้ยเฟยก็พยักหน้า “ตกลง พวกเราเป็นสตรีเหมือนๆ กัน การที่จะเดินทางด้วยกันก็ไม่ใช่แปลกอันใด มาเถอะเดี๋ยวอาหารจะเย็นก่อน”“ขอบคุณท่านมาก เช่นนั้นข้าในนามตัวแทนศิษย์สำนักดอกเหมยขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก” “ดี! มาทุกคนดื่ม” “ดื่ม!” ทุกคนร่วมกินอาหารกันอย่างสนุกสนาน ทางเจ้าของโรงเตี๊ยมได้เชิญนักดนตรีมาแสดงให้ชมเพื่อความเพลิดเพลินและต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีไว้กับสตรีที่อยู่ในห้อง ไม่บ่อยครั้งที่ผู้นำตระกูลหวังจะออกหน้าเพื่อเหมาชั้น สั่งเตรียมอาหารที่ดีที่สุดในเหล่าอาหารไว้เช่นกัน “ไม่ทราบว่าพี่สา
เช้าวันต่อมาหลังทานอาหารแล้ว จินเซียงกับเผยอิงก็เข้าไปคุยกับหยางจินเทาเรื่องที่ทางโซซอนส่งคนมาขอความช่วยเหลือ นางรู้ดีว่าโซซอนเป็นปราการด่านแรกที่ป้องกันการรุกรานของพวกญี่ปุ่นถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงพวกโจรสลัดก็ตาม ถึงแม้ในความฝันคนที่คิดว่าเป็นเทพพระเจ้าจะบอกไว้ว่าทุกอย่างในโลกใบนี้ไม่ใช่แบบเดียวกับโลกเดิมของนางก็ตาม แต่ก็ประมาทไม่ได้ เมื่อพูดคุยกันแล้วทางหยางจินเทาก็มีความกังวลเรื่องปืนใหญ่ เพราะว่าตอนนี้ปืนใหญ่แบบที่ต้าซ่งมีในครอบครองนั้น ที่อื่นยังไม่มีใช้ประกอบกับทหารของต้าซ่งเองก็ใช่ว่าเข้มแข็งเช่นยุคของต้าถัง “ปู่คงต้องไปปรึกษากับพระองค์ดูก่อนว่าจะทำเช่นไร เพราะทางโกโจเองก็ปฏิเสธเรื่องนี้เพราะคนล่ะกลุ่มกัน” “เจ้าค่ะ อย่างไรก็ต้องจัดการให้เสร็จก่อนที่จะเดินทางไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่หลานต้องไปคุ้มกับกุ้ยเฟย” “งานนี้ได้ข่าวว่าจัดที่ภาคกลาง เอ่~ อ้อ ปู่นึกออกแล้วว่าจัดที่ไหน” “ที่ไหนรึเจ้าค่ะ” เผยอิงถาม “ก็ที่ทำการหลักของพรรคฝ่ายธรรมมะที่เหวย์ฟาง เขตซานตง” “หลานเคยได้ยินมาบ้างว่า-” “ใช่แล้ว!” สองปู่หลานถึงกับสะดุ้งเพราะอยู่ๆ อีกคนก็ตะโกนขึ้นมา “ใช่อะไรท่านพี่” เผยอิงหันไป
เช้าวันต่อมา จินเซียงพาเผยอิงและสองสาวไปเล่นน้ำที่น้ำตกใกล้บ้าน แต่ทว่ากลับไม่มีใครยอมลงเพราะการเปลืองผ้าเล่นน้ำนั้นถือว่าผิดหลักสอนหญิง แต่บางทีพวกนางอาจลืมไปว่าทีนี่มีแต่สตรีเท่านั้น จินเซียงโดดลงน้ำโดยมีเพียงบังทรงกับกางเกงสั้นเท่านั้น ซู่มม~ “สดชื่นจริงๆ อ้าวพวกเจ้าไม่ลงมาล่ะ ฮูหยินข้า เจ้าไม่ลงมาหรอ” “พวกข้าว่ายน้ำไม่เป็นเจ้าค่ะ” เผยอิงตอบตามตรง “อะไรกัน เช่นนั้นก็นั่งเล่นกันดีๆ น่ะ” “เจ้าค่ะ” วันเวลาอันสงบสุขก็ดำเนินต่อไปจนวันสุดท้ายของการพักผ่อนมาถึง ทั้งสี่ช่วยกันเก็บข้างของขึ้นรถม้าเพื่อเตรียมตัวกลับไปที่จวน “เสี่ยวจูเจ้าเก็บของมาครบรึยัง” “เจ้าค่ะฮูหยิน” เสียวจูตอบ “ฮวาฮวาปิดรั้วให้ดีด้วยน่ะ จะได้ไม่มีใครเข้าไปได้” “แน่ใจรึเจ้าค่ะ” จินเซียงย้ำอีกรอบ “เชื่อข้า” ฮวาฮวาพยักหน้าแล้วปิดรั้วให้สนิท แล้วเดินมาขึ้นรถม้า รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกห่างจากบ้านช้าๆ ไม่มีใครสังเกตเลยแม้แต่น้อยว่าบ้านหลังดังกล่าวได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยนอกจากจินเซียงเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด กุบกับ กุบกับ เสียงรถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปตามทางขรุขระมุ่งหน้าสู่เมืองใหญ่เซี่ยโจว “ทำไมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย”
จินเซียงมองคนรักนั่งเงียบมาซักพักตั้งแต่ได้ฟังเรื่องที่เอมิลเล่า เรื่องของคนรักเก่าที่ตายจากไปไม่หวนกลับ ทั้งคู่มีหลายอย่างที่เหมือนกันอย่างแยกไม่ออกแตกต่างกันก็แค่สีผม “เจ้าก็คือเจ้า ข้ารักเจ้าด้วยใจจริง”“ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นตัวแทนนางใช่รึไม่” “อดีตก็คืออดีตไม่อาจย้อนกลับได้อีก ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นบทเรียนให้ข้าว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอีกซ้ำสอง” “ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย” “นั่นซิน่ะ มาเถอะไปดูคนอื่นๆ ทำงานกัน” “เจ้าค่ะ” ทั้งคู่เดินออกนอกห้องทำงานตรงไปที่ท้ายจวนติดท่าเรือ โรงหลอมนั้นกำลังถูกสร้างอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ส่วนพื้นที่ด้านข้างและจวนหลังนั้นก็กำลังมีการปรับปรุงโดยใช้แผ่นไม้มาล้อมส่วนติดถนนไว้เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าทำอะไรก่อนที่กำแพงจะสร้างเสร็จแต่เรื่องการเตรียมตัวสำหรับวัตถุดิบนั้นก็ได้คนจากตระกูลหวังที่ครอบครองการค้าเหล็กและแร่หลายชนิดมาช่วยในการจัดหา ทำให้เรื่องวัตถุดิบง่ายขึ้นมามาก เจ็ดวันต่อมาโรงหลอมก็สร้างเสร็จ ฮ่องเต้ทรงมาดูงานด้วยตัวเองเพราะอยากรู้ว่าการหล่อปืนใหญ่จะเหมือนตีดาบรึไม่ หลังจากที่โหรหลวงมาถึงก็เริ่มทำพิธีบูชาดินฟ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล ฮ่
หลายวันต่อมาจินเซียงเข้าวังพร้อมโจวกุ้ยเฟยและตรงไปที่ตำหนักใหญ่ของฮองเฮาเพื่อส่งอาหารตามที่พระองค์เคยขอ “ถวายบังคมฝ่าบาท” “ตามสบายเถอะหลานข้า ว่าแต่ลมอะไรหอบเจ้ามาพร้อมนางกัน” พระนางมองไปที่โจวกุ้ยเฟย เมื่อเห็นไม่สะดวกพูดจึงไล่คนอื่นๆ ออกไปก่อน“เอาล่ะตอบมา” “เมื่อคืนกุ้ยเฟยไปที่จวนเพค่ะ เลยมาพร้อมกัน” “เรื่องนั้นซิน่ะ” “เพค่ะพี่หญิง” “เฮ้อ...พี่บอกแล้วว่าอย่าไปตามใจเยอะ ไม่เช่นนั้นจะเสียคนแล้วเป็นไงล่ะ” “ถ้าไม่ติดว่าการทำร้ายองค์ชายเท่ากับทำร้านสายเลือดมังกรน่ะ น้องจะตบแม่งหัวทิ่มไปเลย” โจวกุ้ยเฟยพูดพร้อมแสดงท่าทาง จินเซียงได้แต่ยืนยิ้ม“พอเลย...ข้าคนว่าเจ้าเข้าวังแล้วจะสงบลงแต่ที่ไหนได้” “พวกท่านใจเย็นก่อนแล้วรีบมาทานอาหารก่อนที่จะ...อ่าว!...หายไปไหน!” จินเซียงมองหากล่องอาหารที่เอามาด้วย “ง่ำๆ อาย่อยมากน้องรอง” “ชู่~ เงียบๆ หน่อย นางหูดีมาก” “เอ่ออ~ พี่รอง น้องว่า~” “อะฮึม!...แม่ว่า…แม่สอนพวกเจ้ามาดีน่ะ สอนทั้งอบรมมารยาทสตรีหรือว่าต้องให้แม่นมทบทวนความจำให้!” ฮองเฮายืนท้าวเอวมองลูกสาวของตน“ถะ...ถวายพระพรเสด็จแม่เพค่ะ” ฉางหรูยิ้มแล้วรีบเอากล่องอาหารซ่อนไว้หลังม่านอย่าง
หลายวันต่อมาที่จวนใหญ่แห่งหนึ่ง มีใครบางคนกำลังนั่งกลุ้มใจเพราะไม่สามารถทำตามแผ่นได้สำเร็จแต่คนที่ส่งไปนั้นกลับหายสาบสูญไปทุกรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ให้มันได้แบบนี้ซิ ทำงานกันภาษาอะไรถึงได้หายหัวกันไปหมด” “นายท่านขอรับ พวกเราไปพบร่องรอยบางอย่างขอรับ” ชายชุดดำส่งกระดาษให้ผู้เป็นนาย “ตายหมด! เป็นไปได้ไง” “ขอรับ ดูเหมือนว่าจะมีคนคอยหนุนหลังอยู่” “ท่านพ่อ แบบนี้เหล่าอาหารของเราจะไม่แย่รึขอรับ” “พ่อไม่กลัวเรื่องนั้นแต่ห่วงเรื่องว่ามันจะกระทบงานใหญ่มากกว่า แล้วเรื่องสองตระกูลนั้นเป็นเช่นไรและเรื่องที่ให้ไปสืบได้ความเช่นไร” “ขอรับนายท่าน สองตระกูลนั้นพากันปิดปากเงียบหลังจากที่ตระกูลที่เคยหมั้นหมายต่างพากันขอถอนหมั้น ทำให้หญิงสาวในตระกูลนั้นต่างพากันเก็บตัวขอรับ ส่วนเรื่องที่ให้ไปสืบนั้นได้ความมาว่าแม่ทัพหยางยังนอนไม่ได้สติขอรับ แต่การจะเข้าใกล้เรือนนั้นถือเป็นเรื่องยากมากเพราะมีการคุ้มกันที่แน่นหนาและไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมจนกว่าท่านขุนพลจะกลับมาขอรับ” “หึหึหึ ดีแบบนั้นแหละดี ไปตามนักพรตนั่นมาเราจะใช้นางเป็นตัวประกันให้เจ้านั้นยอมทำตามเงื่อนไขของเรา” “แต่ท่านพ่อ ถ้านางไม่ยอมล่ะขอ