เข้าสู่ระบบกลุ่มอาชาของราชทูตจากเป่ยฮั่นใกล้เข้ามา กองทหารแคว้นซีตันออกมารอต้อนรับ รวมถึงองค์ชายหนานเจินหยางและองค์หญิงหนานอันรั่ว
พอเงาของกลุ่มคนชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ คิ้วคมเข้มของหนานเจินหยางก็ขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว
สตรีที่นั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกันกับเขาไม่ใช่ว่าเป็นน้องสาวเขาหรอกหรือ
หนานอันรั่วเองก็เช่นกันไหนว่าหนานรั่วซีพักผ่อนอยู่ในห้อง เหตุใดจึงโผล่มาที่นี่พร้อมกับคนจากเป่ยฮั่น
หยวนไป๋เจียนลงจากม้าก่อน เขารอรับเพื่อประคองนางตอนลงจากม้า
แต่เมื่อเห็นสีหน้าขององค์ชายหนานเจินหยาง เขาจึงปล่อยให้พี่ชายนางเป็นคนมารับแทน
“เชิญองค์ชาย”
หนานเจินหยางส่งมือให้น้องสาว เด็กคนนี้ดื้อนักขนาดร่างกายไม่แข็งแรงยังสามารถเอาเรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดออกไปเล่นซนข้างนอกได้อีก
“เสด็จพี่” นางทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม แต่เพราะตอนนี้ร่างกายรู้สึกร้อนรุ่มคล้ายกับจะเป็นไข้ เห็นท่าทางเช่นนั้นของน้องสาวหนานเจินหยางจึงเปลี่ยนเป็นอุ้มลงมาจากม้าแทน
“ท่านอ๋องลำบากท่านแล้ว น้องสาวข้าคนนี้ซุกซนนัก” เขาพูดทั้งที่ยังอุ้มนางอยู่ “ตอนนี้ข้าคงต้องพานางกลับเข้าไปด้านในก่อน รั่วซีร่างกายไม่แข็งแรง ข้าจะให้องค์หญิงอันรั่วเป็นผู้รับรองท่านแทน”
หยวนไป๋เจียนไม่ใช่คนเรื่องมาก เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ไม่คิดว่านางจะเป็นองค์หญิงฝาแฝดที่คนพูดถึง คิดเพียงแค่ว่าคงเป็นพวกท่านหญิงที่ชอบเที่ยวเล่น
เมื่อหนานเจินหยางลับหายเข้าไปแล้ว และปรากฎใบหน้าของสตรีอีกคนเข้ามาแทนที่ สตรีผู้นี้ใบหน้าเหมือนกับคนป่วยที่เพิ่งถูกอุ้มเข้าไปไม่มีผิด
แต่ต่างกันตรงที่ องค์หญิงผู้นี้สดใสราวกับสายน้ำในฤดูร้อน ดูเย่อหยิ่งถือตน ใบหน้าอวบอิ่มไม่ซีดเซียว เป็นสตรีโฉมงามที่ใครยากจะเทียบเทียม หยวนไป๋เจียนหัวใจเต้นระรัว เสียงพูดของนางก็สดใสเหมาะสมกับบุคลิก
“คารวะหยวนอ๋อง” นางส่งเสียงทักทายเขา
“เจ้าคือ” หยวนไป๋เจียนอยากแน่ใจว่านางเป็นใคร
“ข้าคือองค์หญิงหนานอันรั่ว พี่สาวฝาแฝดขององค์หญิงหนานรั่วซีที่ท่านพากลับมาด้วยเมื่อสักครู่” นางแนะนำตัว “ต้องขอบคุณท่านอ๋องเป็นอย่างยิ่งที่พาตัวนางกลับม้าด้วย”
“ไม่ลำบากเลยสักนิด”
“งั้นเชิญด้านใน” นางเดินนำพาเขาไปด้านใน
หยวนไป๋เจียนรู้สึกว่าคนพี่นั้นพูดคุยด้วยแล้วสนุกกว่าอีกคนเยอะ อยู่ใกล้แล้วรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวล้วนแลดูสดใสไม่อมทุกข์ นางเป็นสตรีที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุขลืมความกังวลได้หมดเลย
ตกเย็นวันนั้นหนานรั่วซีก็จับไข้ล้มป่วย ความลับที่นางออกไปเล่นนอกเมืองก็แตก พระมารดาโมโหสุดขีด นางสั่งให้ทหารองครักษ์เฝ้าพระธิดาไม่ให้ห่าง แต่เหตุใดจึงปล่อยให้องค์หญิงออกไปเที่ยวเล่นซุกซนจนล้มป่วยได้
“เสด็จแม่อย่าทรงกริ้ว ลูกไม่ได้เป็นอะไรมาก” นางแสร้งออดอ้อน
“ไม่เป็นอะไรได้อย่างไร เจ้าล้มป่วยคราหนึ่งกินเวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะหายดี รู้ไหมแม่กลัวขนาดไหนแต่ละครั้งที่เจ้าป่วย แม่กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาแม่อีก” ผู้เป็นมารดาน้ำตาริน
นางกลัวจริง ๆ กลัวว่าจะเสียบุตรคนใดคนหนึ่งไป ตั้งแต่ที่หนานรั่วซีโดนผึ้งพิษต่อย นางก็สั่งให้ทุกคนทำลายรังของมันในรัศมีโดยรอบเผื่อป้องกันไม่ให้นางโดนต่อยอีกครั้ง ตอนนั้นบุตรสาวคนนี้ของนางหลับไปแบบไม่ได้สติเป็นเดือนเพราะพิษของผึ้ง ที่นางออกไปครั้งนี้จึงสร้างความโมโหให้ตัวผู้เป็นมารดาไม่น้อย
แถมช่วงเวลานี้คนจากต่างเผ่าก็แวะเวียนมาทำการค้าที่นี่ ผู้คนมากหน้าหลายตา นางเกรงว่าคนพวกนั้นจะทำอะไรไม่ดีกับบุตรสาวที่อ่อนแอคนนี้
เมื่อเห็นว่าพระมารดากังวลใจ คนตัวเล็กจึงซุกตัวเข้าหาผู้เป็นแม่อย่างใกล้ชิด สองมือเล็ก ๆ ของนางโอบกอดแน่น
“เจ้าค่ะ ต่อไปนี้ลูกสัญญาว่าจะไม่ทำให้เสด็จแม่ไม่สบายพระทัยอีก”
“รับปากแม่แล้วนะซีเอ๋อ”
“เจ้าค่ะ” นางยิ้มตาหยี
“งั้นก็นอนได้แล้ว น่าเสียดายทำให้เจ้าไม่ได้ออกไปร่วมงานเลี้ยงคณะราชทูตจากเป่ยฮั่น” พระชายาหมีเห่อกังวลใจ การที่พวกเขามาที่ทุ่งหญ้าในครั้งนี้มีเหตุผลทางการเมืองแอบแฝงอยู่ ไม่แน่ว่าบุตรสาวคนใดคนหนึ่งของนางจะต้องแต่งไปอยู่เป่ยฮั่น
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ไม่พบก็คือไม่พบ” นางไม่ได้ใส่ใจ
ไม่มีการสนทนาอื่นใดต่อจากนั้น คนตัวเล็กมุดตัวเข้าใต้ผ้าห่มทันที คืนนี้นางคิดถึงแต่หน้าเขาผู้นั้น นางสัญญากับตัวเองอย่างแน่วแน่ไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะต้องไปที่โพรงหมาป่าให้ได้ นางอยากพบหน้าเขา เขาคนนั้นที่ทำให้นางหวั่นไหว
คณะราชทูตจากเป่ยฮั่นเข้าร่วมงานเลี้ยงของต้อนรับของชาวซีตัน บ่าวไพร่ทั่วทั้งวังล้วนเล่าลือถึงความหล่อเหลาของหยวนอ๋องจากเป่ยฮั่น คนผู้นั้นหล่อเหลางดงาม ผิวขาวราวกับน้ำนม ใบหน้าดั่งหยกสลัก แตกต่างจากชายหนุ่มในแคว้นซีตัน ที่มีแต่หนวนเครารุงรัง
ได้ยินว่าการมาซีตันของพวกเขามีจุดประสงค์สำคัญคือการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น พระชายาหมีเฮ่ออดีตเคยเป็นท่านหญิงจากเป่ยฮั่น ที่ได้จับพลัดจับผลูมาอยู่ที่นี่ แม้ตอนแรกนางจะไม่ใช่คนที่เป่ยฮั่นตั้งใจเอาไว้ แต่ตอนนี้นางถือเป็นตัวแปรสำคัญ
ด้วยว่าชาวซีตันเชี่ยวชาญการรบในทุ่งหญ้าและทะเลทราย ทหารจาก เป่ยฮั่นยังขาดทักษะทางด้านนี้ พวกเขาจึงอยากเชื่อมสัมพันธ์มากกว่าตัดความสัมพันธ์ การส่งหยวนอ๋องมาเยี่ยมครั้งนี้ พระชายาหมีเฮ่อรู้ดีว่ามีเรื่องแอบแฝง
“น้องหญิง เจ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือไม่” หนานปาอี้ ฮ่องเต้แคว้นซีตันถามผู้เป็นภรรยา
“จู่ ๆ พวกเขาก็มาที่นี่ ท่านว่ามันไม่แปลกหรอกหรือ” พระชายาหมีเฮ่อผู้เป็นภรรยารู้สึกไม่สบายใจ
“เหมือนตอนที่ข้าไปสู่ขอเจ้าเมื่อปีนั้นหรือไม่” หนานปาอี้กุมมือภรรยา
“ไม่เหมือนกันเสียหน่อย ตอนนั้นเราสองคนมีใจปฏิพัทธ์ให้กัน การแต่งงานจึงเป็นความยินยอมพร้อมใจของเราทั้งคู่ แต่นี่ถ้าหากพวกเขามาข่มขู่เอาลูกสาวของเราคนใดคนหนึ่งไปแต่งด้วยโดยไม่ได้รัก เพียงเพราะประโยชน์ของแคว้น มันใช่หรือ” นางกังวลใจ
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่นางพบกับหนานปาอี้ นางเป็นเพียงท่านหญิงท้ายวัง ยศศักดิ์ต่ำต้อย กว่าจะฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อมาเคียงคู่กันนั้นแสนลำบาก ที่ได้แต่งงานกับเขาเป็นเพราะความรักที่ทั้งสองมีให้กัน ไม่ใช่เกิดจากการคลุมถุงชน ผู้เป็นสามีแลกอะไรหลายอย่างเพื่อให้นางได้มาเคียงข้าง นางจึงรักความสัมพันธ์นี้และรักเขา
“อย่ากังวลใจไปเลย ฮ่องเต้เป่ยฮั่นสัญญาแล้วว่าจะเกรงใจพวกเรา ข้าคิดว่าเขาคงไม่ทำอะไรแบบไม่คิด” หนานปาอี้พูดกับภรรยา
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี”
หมีเฮ่อยังมีสีหน้ากังวลใจ หนานปาอี้จึงดึงนางกอดเพื่อคลายความกังวล ก่อนจะพากันเดินไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรอง
งานเลี้ยงช่วงเย็นเพราะหนานรั่วซีเกิดล้มป่วย จึงไม่ได้มาเข้าร่วมด้วย มีเพียงองค์ชายหนานเจินหยางและองค์หญิงหนานอันรั่วแฝดพี่มาเข้าร่วมเท่านั้น
หยวนไป๋เจียนไม่ได้สนใจหนานรั่วซีอยู่แล้วจึงไม่ได้รู้สึกอะไรที่นางไม่ได้มาเข้าร่วม
“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างเดินทางมาเหนื่อยหรือไม่” พระชายาหมีเฮ่อที่มีศักดิ์เป็นอาของหยวนไป๋เจียนถามไถ่
“กราบทูลเสด็จอา ไม่เหนื่อยและไม่ลำบากเพราะพวกเราออกมาแบบไม่เร่งรีบเหนื่อยก็พัก แถมยังแวะเที่ยวเล่นชื่นชมบรรยากาศรอบทาง ถือได้ว่าสนุกมากกว่าเหนื่อย” เขาตอบนาง
“งั้นก็ดีแล้ว เรื่องเมื่อบ่ายต้องขอบใจเจ้ามากที่นำซีเอ๋อกลับมาส่ง เด็กคนนี้ร่างกายไม่แข็งแรงแต่ยังแอบไปเที่ยวเล่น”
“อ้อ ว่าแต่ข้าไม่เห็นนางมาร่วมงานเลี้ยงนี้เลย” เขาถามถึงทั้งที่ไม่ได้คิดถึง
“ล้มป่วยไปแล้ว คงไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่นไปอีกหลายสัปดาห์” พระชายาหมีเฮ่อกลอกตาเมื่อพูดถึงบุตรสาวคนเล็ก โชคดีที่นางร่างกายไม่แข็งแรงความซุกซนเลยลดน้อยลงไป หากแข็งแรงดีคงสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้นางมากกว่านี้
หยวนไป๋เจียนเบนสายตาไปมองแฝดอีกคน นางกำลังนั่งอิ่มอร่อยกับอาหารในงานเลี้ยง จนไม่สนใจใคร ท่าทางของนางดูแล้วเพลินตาเขาเผลออมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ความซุกซนขององค์ชายเฉินจื้อและองค์ชายเฉินจง เล่นเอาฝูกงกงแทบอยากจะบ้านตาย เด็กชายสองคนไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาวิ่งเล่นได้ทั้งวันเมื่อวันก่อนก็เกือบจะเผาวังหลวงของเป่ยฮั่น ดีฝ่าบาททรงมาเห็นเสียก่อน ไม่เช่นนั้นได้ย้ายวังหลวงแน่ ๆตั้งแต่รู้ว่าฝ่าบาทมีองค์ชายถึงสองพระองค์ในใจตอนแรกก็ปีติยินดีนัก เขารู้สึกเหมือนได้ผ่อนคลายความกังวลเท่าที่ทราบในวัยเยาว์ของฝ่าบาทและฮองเฮาก็ไม่ใช่ผู้ซุกซน ไม่รู้ว่าองค์ชายทั้งสองพระองค์ไปลอกเลียนนิสัยเช่นนี้มาจากไหน“องค์ชายเฉินจื้อกลับลงมาเถอะ อย่าปีนขึ้นไปมัน” ฝูกงกงหันไปอีกทีหยวนเฉินจื้อก็ปีนขึ้นไปเก็บผลไม้เสียแล้ว พอหันกลับมาทางขวา องค์ชายเฉินจงก็กำลังจับปลาในสระบัว “องค์ชายเฉินจง อย่าลงไปมันอันตราย”ฝูกงกงหันซ้ายทีขวาที ในที่สุดเขาก็เป็นลมจริง ๆเด็กชายเห็นสหายเป็นลมก็ปรี่เข้ามาช่วยเหลือ ร้องเรียกตะโกนให้คนในบริเวณนั้นช่วย ฝูกงกงถูกพาไปโรงหมอหลวง นอนซมอยู่หลายวันกว่าจะลุกขึ้นมากระฉับกระเฉงดังเก่าตอนนี้รั่วซีก็ไม่ได้มีแ
หยวนไป๋เจียนแบกเด็กชายขึ้นหลัง พูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ให้เขาคลายกังวล จนกระทั่งเสียงเจื้อยแจ้วเปลี่ยนเป็นเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ นั่นบ่งบอกว่าตอนนี้เด็กชายกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ตอนนี้ก็ใกล้เข้าสู่ช่วงเวลาสนธยา อาจงคงเหนื่อยมาก หยวนไป๋เจียนนึกเอ็นดูบุรุษตัวสูงกระชับตัวเขาให้แน่นขึ้นจากนั้นเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงเรือนไม้ไผ่รั่วซีที่กำลังนั่งร้องไห้เศร้าสร้อย รอคอยข่าวอย่างมีความหวังตลอดทั้งวัน วันนี้ทั้งวันนางแทบไม่เป็นอันทำอะไร จนถึงเวลานี้อาจื้อเองก็ดูเหมือนจะหมดแรงรอคอยหลับไปล่วงหน้าแล้วเด็กชายผู้น้องเป็นห่วงพี่ชายไม่แพ้กันเขาเป็นกังวล หากพี่ชายไม่กลับมาเล่าเขาจะอยู่อย่างไร เล่นกับใคร ถ้าเขาโดนพวกเด็กในตลาดรังแกอีกเขาจะขอร้องให้ใครช่วยเหลือ เด็กชายเสียใจร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไปข้าง ๆ ผู้เป็นแม่เสียงฝีเท้าของหยวนไป๋เจียนดังเข้ามาเรื่อย ๆ นางคลำทางไปหาเขาคนตัวเล็กกำลังจะส่งเสียงเพื่อพูดกับเขา แต่หยวนไป๋เจียนกลับร้องชู่ว์เบา ๆ ดักเอาไว้ก่อน“อาจงกำลังหลับ อย่าเพิ่งรบกวนเขา” หยวนไป๋เจียนบอกกับนางนางพยักหน้าหงึก
แม้นางจะไม่ตอบคำถามของเขาว่าอาจื้อเป็นใครแต่หยวนไป๋เจียนก็พอจะเดาได้ว่า เด็กคนนี้เป็นบุตรของเขาอย่างแน่นอนส่วนเด็กชายวัยสิบขวบอีกคนเล่าเป็นใครกัน?เด็กคนนี้มีความหมายเช่นไรกับพวกนาง?เขาจะต้องถามให้รู้เรื่องให้ได้ และถ้าหากไม่ได้มีส่วนสำคัญอะไร เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องสนใจเด็กชายผู้นั้น หยวนไป๋เจียนดูออกว่าเด็กชายไม่ชอบหน้าตนส่วนตัวของเด็กชายผู้พี่ก็ไม่ชอบหน้าบุรุษคนนั้นเช่นกัน แตกต่างกับเด็กชายผู้น้องที่ดูเหมือนว่าจะถูกชะตากับคนเขาเป็นพิเศษ อีกทั้งตัวหยวนไป๋เจียนก็เอ็นดูหนานเฉินจื้อออกนอกหน้าแม้หนานเฉินจงจะเป็นเด็ก เขาก็รับรู้ได้ว่ามารดามีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับเขา หนานเฉินจงรู้ตัวดีว่าเป็นเพียงลูกเลี้ยง แม้จะไม่ชอบเขาขนาดไหนแต่ก็ยังมีความเกรงใจผู้เป็นแม่อยู่มาก เด็กชายรู้จักประมาณตนและรู้ว่าควรอยู่ตรงจุดใด“อาจง” เย่ลู่เห็นเด็กชายออกมานั่งซึมที่มุมหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ จึงตามออกมาดู“ขอรับท่านหมอ”เด็กชายดูเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด“ทำไมสองสามวันมานี้เจ้าถึงดูซึมนั
เขาฝัน!! เขาฝันว่าซีเอ๋อหนีเขาไปอีกครั้ง หยวนไป๋เจียนสะดุ้งตื่นในอีกวัน เขาพบว่าตอนนี้มีเด็กชายตัวเล็กกำลังนั่งจ้องมองเขาอยู่ข้างเตียง“ท่านลุงเคราเฟิ้ม ท่านมานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หนานเฉินจื้อทักทายชายที่นอนอยู่บนเตียงเด็กชายเห็นมารดาเดินเข้าออกจากห้องนี้ แถมยังสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้ามาในห้องนี้เด็ดขาด แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ อาจื้อแอบเข้ามาตอนที่มารดาของตนเผลอ“เจ้าหนู เจ้าเป็นใคร” หยวนไป๋เจียนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“ท่านลุงดื่มน้ำก่อน” เด็กชายส่งถ้วยน้ำให้เขาดื่มเมื่อเห็นว่าท่านลุงเคราเฟิ้ม เสียงแหบแทบไม่มีเสียงพูดพอได้ดื่มน้ำ หยวนไป๋เจียนจึงได้รู้สึกว่ามีแรงขึ้นบ้าง เขามองหน้าเด็กชายตรงหน้า ใบหน้าผุดผ่องสะอาดสะอ้าน จักรพรรดิหนุ่มรู้สึกถูกชะตากับเขาอย่างบอกไม่ถูก“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเป็นใคร”“ข้ามีชื่อว่า หนานเฉินจื้อ อายุห้าขวบเป็นบุตรชายคนเล็กของท่านแม่” อาจื้อแนะนำตัวเสียงดังฟังชัด เด็กชายรู้สึกถูกใจชายคนนี้“เจ้าบอกว่าอ
ข่าวจากเมืองทางใต้ถูกส่งไปยังเมืองหลวง นี่เป็นข่าวดีแรกในรอบหลายปีของหยวนไป๋เจียน เมื่อจดหมายมาถึง จักรพรรดิหนุ่มเร่งรีบออกเดินทางในทันทีม้าเร็วถูกจัดเตรียมไว้ยังหัวเมืองต่าง ๆ เขารีบร้อนเดินทางจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน พักผ่อนเพียงสองสามชั่วยาม หยวนไป๋เจียนก็ออกเดินทางต่อ เป็นเช่นนี้อยู่ทุกครั้งที่ถึงช่วงระยะทางหนึ่งใช้เวลาไม่นานหยวนไป๋เจียนก็ถึงเมืองทางใต้ บุรุษตัวสูงในชุดสีเทาสะบัดกายลงจากม้า ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินสีแดงแถมหนวดเคราครึ้มอาคารหลังย่อมอยู่สุดทางของถนนในเมืองทางใต้ปรากฏขึ้น เขารีบลงจากม้าเข้าไปด้านในทันที“ถวายบังคมฝ่าบาท” นายกองและพลทหารประจำกองถวายความเคารพนายเหนือหัวของแผ่นดิน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามีโอกาสเข้าเฝ้า“ไม่ต้องมากความ รีบบอกมาว่าพบเจอนางที่ใด” หยวนไป๋เจียนรีบร้อนให้เขาบอกเรื่องที่พบเจอ“กราบทูลฝ่าบาท นับตั้งแต่วันที่เจอสตรีที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกับฮองเฮา พวกเราก็คอยติดตามเฝ้าดู นางอาศัยอยู่ที่เรือนไม้ชายป่า&rdquo
เพราะไม่ต้องการให้เขาหาตัวพวกนางแม่ลูกเจอ รั่วซีจึงหนีมาอยู่ไกลถึงชายแดนใต้ นางเคยอ่านหนังสือในห้องหนังสือของหยวนไป๋เจียน มีบางเล่มบรรยายว่าภูมิประเทศทางใต้นั้นอุดมสมบูรณ์ เมื่อถึงฤดูหนาวอากาศที่นี่ก็ไม่หนาวจนเกินไป เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบอากาศหนาว อาหารที่นี่ก็อร่อยนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นางมาอยู่ที่นี่ เพราะของกินของภาคใต้เยอะและอร่อยมาก ผู้เขียนบรรยายไว้เช่นนั้นวันนี้รั่วซีนึกอยากเดินตลาด สตรีเช่นนางไม่ค่อยได้มีโอกาสออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้านสักเท่าใดนัก นางกลัวว่าตนจะเป็นภาระของผู้อื่น รั่วซีจึงถือโอกาสนาน ๆ ครั้งจะออกมาสักทีหนานเฉินจงและหนานเฉินจื้อสองพี่น้อง ขนาบข้างมารดาของตน คนพี่อยู่ซ้ายคนน้องอยู่ขวาคอยเป็นดวงตาให้มารดาในมือของรั่วซีมีไม้เท้าหนึ่งอัน ซึ่งเป็นของที่เย่ลู่สรรหามาให้ ที่ตัวไม้เท้ามีกระดิ่งกรุ้งกริ้งเป็นสัญญาณนำทางให้นาง“ท่านแม่ วันนี้ในตลาดคึกคักมากเลย” หนานเฉินจื้อผู้เป็นน้องชายพูดเจื้อยแจ้ว ผิดกับหนานเฉินจงที่ไม่ค่อยพูดจา แต่สายตาเขาคอยระแวดระวังภัยให้ผู้เป็นมารดาตลอดเ







