เข้าสู่ระบบความรู้สึกที่ถูกจ้องมอง หนานอันรั่วรู้สึกได้ เมื่อมองไปยังฝั่งตรงข้ามสายตาของนางก็ปะทะเข้ากับสายตาคมกริบที่แฝงไปด้วยความเจ้าชู้ของเขา นางรู้สึกประหม่า คนผู้นั้นไร้มารยาทนัก จ้องมองนางอยู่ได้
หนานเจินหยางเห็นท่าทีประหม่าของน้องสาวจึงขยับเข้าไปใกล้นาง และสั่งให้นางไปนั่งด้านหลัง เขาเห็นสายตาเช่นนั้นของหยวนอ๋องก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน ถ้าเขาไม่ใช่อ๋องจากเป่ยฮั่นป่านนี้เขาจับควักลูกตาแล้ว ยังมีเมื่อตอนบ่ายที่ขี่ม้ามากับซีเอ๋อ ‘น่าจับแยกร่างจริง ๆ’ ผู้เป็นพี่กำหมัดแน่น
“รั่วเอ๋อ ดึกแล้วไปพักผ่อนดีหรือไม่” หนานเจินหยางพูดกับน้องสาว
“นั่นสินะ ข้าควรกลับไปพักเสียที” นางเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชาย
หนานอันรั่วรีบเร่งเดินออกจากโถงงานเลี้ยง หยวนไป๋เจียนเห็นเช่นนั้นก็แอบลุกตามออกไป หวังว่าจะได้พูดคุยกับนางอีกสักครั้ง
“ท่านตามข้ามาทำไม” คนตัวเล็กรู้ตัวว่าเขาเดินตามมา
“ข้ามีหลายเรื่องที่อยากให้เจ้าแนะนำ” หยวนไป๋เจียน ตั้งใจหาเรื่องสนทนากับนาง
“ถามคนอื่นก็ได้ ข้าไม่ใช่คนรอบรู้” นางปฏิเสธ
“พูดคุยกับผู้อื่นไม่สนุกเท่ากับเจ้า” คนตัวสูงขยับเข้าไปใกล้นาง รูปร่างของสองพี่น้องเท่ากันไม่มีผิด พวกนางสูงแค่เพียงระดับไหล่เขาเท่านั้น เมื่อลองวัดเทียบระดับตัวของนางกับไหล่ของเขา
คิ้วเรียวงามของหนานอันรั่วขมวดเข้าหากัน มองท่าทีของอ๋องจากเป่ยฮั่นคนนี้ด้วยแววตาระคนไม่เข้าใจ
“ท่านทำอะไรของท่าน”
“อยากรู้ว่าเจ้าสูงเท่าไหร่”
“แล้วได้คำตอบหรือยัง”
“ได้แล้ว”
คนตัวเล็กมองเขาอย่างงุนงงท่าทีของอ๋องผู้นี้มันอะไรกันแน่
“งั้นค่อยพูดคุยกันต่อวันพรุ่งนี้” พูดเสร็จนางก็เดินหายลับเข้าไปยังส่วนในของวังหลวงแคว้นซีตัน
การมาซีตันครั้งนี้ของหยวนไป๋เจียนมีเป้าหมายแล้ว
รุ่งขึ้นของอีกวัน หนานรั่วซีตื่นแต่เช้าทั้งที่ตอนนี้นางยังมีอาการปวดหัว พระพี่เลี้ยงมองนางอย่างสงสัย เดาว่าองค์หญิงผู้นี้ต้องมีแผนการลับที่กำลังปกปิดไม่ให้นางไม่รู้แน่ ๆ
“เหตุใดวันนี้พระองค์จึงตื่นเช้า”
“เอ่อ.... แค่ไม่อยากนอนแล้ว” นางไม่กล้าพูดความจริง “พี่อันอันท่านมีธุระอะไรก็ไปทำเถอะข้าดูแลตัวเองได้”
“ธุระของข้าก็คือองค์หญิงยังไงละเจ้าคะ” นางจ้องเจ้านายของตนอย่างไม่วางตา วันนี้นางจะไม่เผลอโดยเด็ดขาด
“อ้อ” นางพยักหน้าหงึก ๆ เอาเถอะอย่างไรเสียช่วงบ่าย นางก็จะหนีออกไปให้ได้ เผื่อว่า...คนผู้นั้นจะกลับไปที่โพรงหมาป่าของนางอีก
ตกบ่ายรั่วซีแสร้งนอนกลางวัน อันอันรอจนแน่ใจว่าองค์หญิงหลับนางจึงปลีกตัวไปทำธุระอย่างอื่น
เสียงในห้องเงียบสนิทเป็นสัญญาณว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว รั่วซีจึงลืมตาตื่น วันนี้นางไม่ใช้เสื้อคลุมขนหมาป่าสีเงินอีก แต่เปลี่ยนเป็นตัวที่เรียบและไม่โดดเด่นแทน
คนตัวเล็กค่อย ๆ เดินลัดเลาะไปตามทางที่พวกบ่าวไม่ค่อยใช้ นางแอบเดินออกไปเงียบ ๆ เพียงลำพัง แต่ก็ไม่พ้นสายตาของใครคนหนึ่ง
ขณะที่คนตัวเล็กกำลังจะก้าวขาขึ้นม้า เขาก็ส่งเสียงเรียกออกมา
“องค์หญิง” อายงส่งเสียงร้องเรียกสตรีที่กำลังทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ
“อายง” นางหันไปตามเสียงเรียก “เจ้ามาได้อย่างไร”
“อันอัน คิดเอาไว้แล้วว่าท่านต้องมีแผนการนางจึงให้ข้ามาเฝ้าท่าน”
“อ้อ” นางกำลังครุ่นคิด แต่ในมือกุมบังเหียนแน่น รอเมื่อไหร่ที่เขาเผลอนางจะรีบควบม้าออกไปทันที “อายง ให้ข้าไปเถอะ พวกลูกหมาป่ารอข้าอยู่” นางอ้อนวอน
“ไม่ได้ ท่านยังป่วยอยู่เลย ดูหน้าท่านสิ ซีดเซียวเป็นไก่ต้ม” เขาเป็นห่วงนาง
“อันรั่ว!!” นางแสร้งเรียกชื่อพี่สาว เพราะรู้ว่าอายงชอบหนานอันรั่ว
และได้ผล อายงหันขวับไปทางอื่น พอเขาเผลอรั่วซีก็รีบควบม้าออกไปในทันที
เมื่อหันไปไม่เห็นใคร อายงจึงรู้ว่าถูกหลอกรีบควบม้าอีกตัวตามออกไปทันที
โชคดีที่นางควบม้าได้ช้า อายงจึงตามทัน
“องค์หญิงระวังด้วย” ในเมื่อห้ามนางไม่ได้เขาจึงจำเป็นต้องไปพร้อมกับนาง
“อื้อ” คนตัวเล็กยิ้มตาหยี “ขอบใจนะอายง”
ที่โพรงหมาป่า รั่วซีไม่เห็นใครอื่นนอกจากเจ้าพวกตัวเล็ก เมื่อพวกมันเห็นและได้กลิ่นกายของนาง ก็รีบวิ่งกรูกันออกมาหานาง เมื่อไม่เห็นใครอื่นรั่วซีเห็นแล้วก็ผิดหวังนิดหน่อย นางจะคาดหวังอะไรกันเขาไม่ได้รับปากสักหน่อยว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง
แต่นาง....ก็เพียงอยากเห็นหน้าเขาอีกสักครั้ง
“เด็กดี” ร่างแบบบางของรั่วซีลงไปนั่งกับพื้นเพื่อเล่นกับเจ้าพวกตัวน้อย
อายงเห็นแล้วก็นิ่วหน้าที่นางแอบออกมาเพราะเจ้าลูกหมาพวกนี้งั้นหรือ
“องค์หญิง ท่านลอบออกมาเพราะลูกสุนัขพวกนี้หรอกหรือ”
“อื้อ ใช่แล้วข้าเห็นพวกมันน่าสงสารเลยอยากดูแล แต่ก็ไม่อยากพามันกลับวังด้วย ข้ากลัวว่าแม่ของมัน มาแล้วจะไม่เจอ” พูดไปนางก็ลูบพุงเล็ก ๆ ของพวกมันไปด้วย
“ข้าว่า แม่มันคงจะไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ สู้พาพวกมันกลับไปที่วังเพื่อเลี้ยงดูให้เชื่องไม่ดีกว่าหรือ”
“ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้น” นางเงยหน้ามองสหาย
“องค์หญิงทรงทอดพระเนตรดู พวกมันตัวผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เพราะว่าแม่ของมันไม่เคยกลับมาดูแล โดยปกติแล้วสุนัขป่าพวกนี้จะไม่ทิ้งรังไปโดยไม่มีเหตุผล ข้าคิดว่าแม่ของมันคงตายไปแล้ว และหากไม่พาเจ้าพวกตัวเล็กกลับไปด้วยคง โดนสุนัขป่าตัวอื่นจับกินเป็นอาหาร”
อายงพูดจบรั่วซีก็ทำหน้าตาตื่น ที่เขาพูดมามีเหตุผลทุกประการ นางกลัวว่าพวกตัวเล็กตรงนี้จะโดนสุนัขตัวอื่นทำร้าย
“งั้นจะทำอย่างไรดีอายง”
“องค์หญิงรอข้าอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มส่งยิ้มบาง ๆ ให้นาง “ข้าจะกลับไปเอากรงมารับพวกมัน"
“ได้” คนตัวเล็กพยักหน้า
พูดจบอายงก็รีบควบม้ากลับไปที่วังทันทีอย่างไม่รอช้า เห็นแววตาเศร้าสร้อยของนางแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยสบายใจนัก จึงอาสาจะพาเจ้าพวกตัวเล็กกลับไปดูแล เพื่อคลายความกังวลและเพื่อไม่ให้นางต้องแอบออกมาที่นี่อีก
รั่วซีเดินเล่นไปมา สำรวจรอบ ๆ โพรง นางพบรอยเท้าของสุนัขป่าตัวใหญ่หลายรอย เห็นเช่นนั้นคนตัวเล็กก็ยิ่งคิดว่าที่อายงพูดมามีเหตุผล พวกฝูงสุนัขป่าพวกนั้นคงมาดูลาดเลาเอาไว้แน่ ๆ อีกไม่นานพวกมันคงกลับมาทำร้ายเด็ก ๆ ที่น่าสงสารพวกนี้
โบร๋ว! โบร๋ว!
เสียงหมาหอนคำรามของหมาป่าเข้ามาใกล้นางมากขึ้น รั่วซีรู้สึกหวั่นใจนางรอคอยว่าเมื่อไหร่อายงจะมา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่มาสักที ความรู้สึกของคนรอมันเป็นเช่นนี้นี่เอง
โฮ่ง โฮ่ง หมาป่าตัวใหญ่ตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่คนตัวเล็กที่ไม่ทันระวัง โชคดีที่นางหลบพ้น แส้หนังในมือถูกฟาดออกไป พวกมันปราดเปรียวว่องไวหลบแส้ของนางทัน
รั่วซีกระโดดหลบอีกตัวที่พุ่งมาจากด้านหลังได้อย่างหวุดหวิด การกระทำของนางเชื่องช้าเพราะร่างกายไม่แข็งแรง สายตาก็มองไปที่ม้าที่นางควบมา เพื่อหาทางหนี แต่เจ้าม้าตัวนั้นก็กำลังถูกหมาป่าไล่ต้อน
สุนัขป่าตัวใหญ่ว่องไวปราดเปรียว รั่วซีเริ่มหมดแรง พอนึกถึงว่าต้องตายเพราะถูกหมาป่ารุมทึ้ง นางก็หน้าเสีย เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้า
“องค์หญิงหนานรั่วซี”
เสียงคุ้นหูของใครบางคนกำลังเรียกชื่อนาง
ร่างบอบบางหันไปตามเสียงเรียก ใบหน้าของหยวนไป๋เจียนก็ปรากฏขึ้น
เป็นเขา! เขาจริง ๆ ด้วย คนตัวเล็กเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เมื่อเห็นเขา จึงขาดการระวังตัว หมาป่าที่ตัวใหญ่ที่สุดเลือกเหยื่อของมันแล้ว มันพุ่งเข้ากัดแขนเล็ก ๆ ของนางที่ยกขึ้นป้องกันตัวจนเลือดอาบ
หยวนไป๋เจียนเห็นก็รีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยนาง กระบี่ถูกดึงออกจากฝัก ตัวที่กำลังทำร้ายนางถูกเขาบั่นคอมันทันที ส่วนตัวอื่น ๆ เมื่อเห็นว่าจ่าฝูงสิ้นชีพก็พากันตกใจวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง
รั่วซีทรุดตัวลงกับพื้น นางมองเลือดสีแดงสดอย่างตกใจ ที่นางเห็นตอนนี้ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นเลือดของนางหรือตัวจ่าฝูง คนตัวเล็กสั่นเทาราวกับลูกนก
“องค์หญิง” หยวนไป๋เจียนวิ่งเข้าไปหานาง สองมือใหญ่จับใบหน้าเล็ก ๆ ของนางดึงมาให้สบตากับเขา
ใบหน้าหล่อเหลาของหยวนไป๋เจียนปรากฏในสายตานาง แววตาของเขามองนางอย่างดุดัน
“ท่านอ๋อง” รั่วซีเรียกเขา สติของนางเลือนรางไหนจะอาการป่วย ไหนจะความตกใจ นางแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น
“เหตุใดเจ้าถึงออกมาคนเดียว ดีนะข้ามีลางสังหรณ์จึงตามออกมาดู เมื่อวาน...” พูดไม่ทันจบคนตัวเล็กก็สลบไปทันที
หยวนไป๋เจียนเห็นเช่นนั้นก็รีบผูกนางไว้ตัวและควบม้าพานางกลับวัง ซึ่งสวนกันกับอายงที่เพิ่งย้อนกลับมา
“เจ้า ทำอะไรนาง” อายงขวางทางหยวนไป๋เจียน
อายงเห็นองค์หญิงของตนหมดสติเลือดเต็มแขนและเต็มร่างกาย
“เจ้าเป็นองครักษ์ของนางใช่หรือไม่ ข้าหยวนอ๋องมาจากเป่ยฮั่นมีอะไรค่อยไปคุยกันที่วัง”
พูดจบเขาก็เร่งรีบพานางทะยานออกไปในทันที
ความซุกซนขององค์ชายเฉินจื้อและองค์ชายเฉินจง เล่นเอาฝูกงกงแทบอยากจะบ้านตาย เด็กชายสองคนไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาวิ่งเล่นได้ทั้งวันเมื่อวันก่อนก็เกือบจะเผาวังหลวงของเป่ยฮั่น ดีฝ่าบาททรงมาเห็นเสียก่อน ไม่เช่นนั้นได้ย้ายวังหลวงแน่ ๆตั้งแต่รู้ว่าฝ่าบาทมีองค์ชายถึงสองพระองค์ในใจตอนแรกก็ปีติยินดีนัก เขารู้สึกเหมือนได้ผ่อนคลายความกังวลเท่าที่ทราบในวัยเยาว์ของฝ่าบาทและฮองเฮาก็ไม่ใช่ผู้ซุกซน ไม่รู้ว่าองค์ชายทั้งสองพระองค์ไปลอกเลียนนิสัยเช่นนี้มาจากไหน“องค์ชายเฉินจื้อกลับลงมาเถอะ อย่าปีนขึ้นไปมัน” ฝูกงกงหันไปอีกทีหยวนเฉินจื้อก็ปีนขึ้นไปเก็บผลไม้เสียแล้ว พอหันกลับมาทางขวา องค์ชายเฉินจงก็กำลังจับปลาในสระบัว “องค์ชายเฉินจง อย่าลงไปมันอันตราย”ฝูกงกงหันซ้ายทีขวาที ในที่สุดเขาก็เป็นลมจริง ๆเด็กชายเห็นสหายเป็นลมก็ปรี่เข้ามาช่วยเหลือ ร้องเรียกตะโกนให้คนในบริเวณนั้นช่วย ฝูกงกงถูกพาไปโรงหมอหลวง นอนซมอยู่หลายวันกว่าจะลุกขึ้นมากระฉับกระเฉงดังเก่าตอนนี้รั่วซีก็ไม่ได้มีแ
หยวนไป๋เจียนแบกเด็กชายขึ้นหลัง พูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ให้เขาคลายกังวล จนกระทั่งเสียงเจื้อยแจ้วเปลี่ยนเป็นเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ นั่นบ่งบอกว่าตอนนี้เด็กชายกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ตอนนี้ก็ใกล้เข้าสู่ช่วงเวลาสนธยา อาจงคงเหนื่อยมาก หยวนไป๋เจียนนึกเอ็นดูบุรุษตัวสูงกระชับตัวเขาให้แน่นขึ้นจากนั้นเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงเรือนไม้ไผ่รั่วซีที่กำลังนั่งร้องไห้เศร้าสร้อย รอคอยข่าวอย่างมีความหวังตลอดทั้งวัน วันนี้ทั้งวันนางแทบไม่เป็นอันทำอะไร จนถึงเวลานี้อาจื้อเองก็ดูเหมือนจะหมดแรงรอคอยหลับไปล่วงหน้าแล้วเด็กชายผู้น้องเป็นห่วงพี่ชายไม่แพ้กันเขาเป็นกังวล หากพี่ชายไม่กลับมาเล่าเขาจะอยู่อย่างไร เล่นกับใคร ถ้าเขาโดนพวกเด็กในตลาดรังแกอีกเขาจะขอร้องให้ใครช่วยเหลือ เด็กชายเสียใจร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไปข้าง ๆ ผู้เป็นแม่เสียงฝีเท้าของหยวนไป๋เจียนดังเข้ามาเรื่อย ๆ นางคลำทางไปหาเขาคนตัวเล็กกำลังจะส่งเสียงเพื่อพูดกับเขา แต่หยวนไป๋เจียนกลับร้องชู่ว์เบา ๆ ดักเอาไว้ก่อน“อาจงกำลังหลับ อย่าเพิ่งรบกวนเขา” หยวนไป๋เจียนบอกกับนางนางพยักหน้าหงึก
แม้นางจะไม่ตอบคำถามของเขาว่าอาจื้อเป็นใครแต่หยวนไป๋เจียนก็พอจะเดาได้ว่า เด็กคนนี้เป็นบุตรของเขาอย่างแน่นอนส่วนเด็กชายวัยสิบขวบอีกคนเล่าเป็นใครกัน?เด็กคนนี้มีความหมายเช่นไรกับพวกนาง?เขาจะต้องถามให้รู้เรื่องให้ได้ และถ้าหากไม่ได้มีส่วนสำคัญอะไร เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องสนใจเด็กชายผู้นั้น หยวนไป๋เจียนดูออกว่าเด็กชายไม่ชอบหน้าตนส่วนตัวของเด็กชายผู้พี่ก็ไม่ชอบหน้าบุรุษคนนั้นเช่นกัน แตกต่างกับเด็กชายผู้น้องที่ดูเหมือนว่าจะถูกชะตากับคนเขาเป็นพิเศษ อีกทั้งตัวหยวนไป๋เจียนก็เอ็นดูหนานเฉินจื้อออกนอกหน้าแม้หนานเฉินจงจะเป็นเด็ก เขาก็รับรู้ได้ว่ามารดามีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับเขา หนานเฉินจงรู้ตัวดีว่าเป็นเพียงลูกเลี้ยง แม้จะไม่ชอบเขาขนาดไหนแต่ก็ยังมีความเกรงใจผู้เป็นแม่อยู่มาก เด็กชายรู้จักประมาณตนและรู้ว่าควรอยู่ตรงจุดใด“อาจง” เย่ลู่เห็นเด็กชายออกมานั่งซึมที่มุมหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ จึงตามออกมาดู“ขอรับท่านหมอ”เด็กชายดูเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด“ทำไมสองสามวันมานี้เจ้าถึงดูซึมนั
เขาฝัน!! เขาฝันว่าซีเอ๋อหนีเขาไปอีกครั้ง หยวนไป๋เจียนสะดุ้งตื่นในอีกวัน เขาพบว่าตอนนี้มีเด็กชายตัวเล็กกำลังนั่งจ้องมองเขาอยู่ข้างเตียง“ท่านลุงเคราเฟิ้ม ท่านมานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หนานเฉินจื้อทักทายชายที่นอนอยู่บนเตียงเด็กชายเห็นมารดาเดินเข้าออกจากห้องนี้ แถมยังสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้ามาในห้องนี้เด็ดขาด แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ อาจื้อแอบเข้ามาตอนที่มารดาของตนเผลอ“เจ้าหนู เจ้าเป็นใคร” หยวนไป๋เจียนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“ท่านลุงดื่มน้ำก่อน” เด็กชายส่งถ้วยน้ำให้เขาดื่มเมื่อเห็นว่าท่านลุงเคราเฟิ้ม เสียงแหบแทบไม่มีเสียงพูดพอได้ดื่มน้ำ หยวนไป๋เจียนจึงได้รู้สึกว่ามีแรงขึ้นบ้าง เขามองหน้าเด็กชายตรงหน้า ใบหน้าผุดผ่องสะอาดสะอ้าน จักรพรรดิหนุ่มรู้สึกถูกชะตากับเขาอย่างบอกไม่ถูก“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเป็นใคร”“ข้ามีชื่อว่า หนานเฉินจื้อ อายุห้าขวบเป็นบุตรชายคนเล็กของท่านแม่” อาจื้อแนะนำตัวเสียงดังฟังชัด เด็กชายรู้สึกถูกใจชายคนนี้“เจ้าบอกว่าอ
ข่าวจากเมืองทางใต้ถูกส่งไปยังเมืองหลวง นี่เป็นข่าวดีแรกในรอบหลายปีของหยวนไป๋เจียน เมื่อจดหมายมาถึง จักรพรรดิหนุ่มเร่งรีบออกเดินทางในทันทีม้าเร็วถูกจัดเตรียมไว้ยังหัวเมืองต่าง ๆ เขารีบร้อนเดินทางจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน พักผ่อนเพียงสองสามชั่วยาม หยวนไป๋เจียนก็ออกเดินทางต่อ เป็นเช่นนี้อยู่ทุกครั้งที่ถึงช่วงระยะทางหนึ่งใช้เวลาไม่นานหยวนไป๋เจียนก็ถึงเมืองทางใต้ บุรุษตัวสูงในชุดสีเทาสะบัดกายลงจากม้า ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินสีแดงแถมหนวดเคราครึ้มอาคารหลังย่อมอยู่สุดทางของถนนในเมืองทางใต้ปรากฏขึ้น เขารีบลงจากม้าเข้าไปด้านในทันที“ถวายบังคมฝ่าบาท” นายกองและพลทหารประจำกองถวายความเคารพนายเหนือหัวของแผ่นดิน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามีโอกาสเข้าเฝ้า“ไม่ต้องมากความ รีบบอกมาว่าพบเจอนางที่ใด” หยวนไป๋เจียนรีบร้อนให้เขาบอกเรื่องที่พบเจอ“กราบทูลฝ่าบาท นับตั้งแต่วันที่เจอสตรีที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกับฮองเฮา พวกเราก็คอยติดตามเฝ้าดู นางอาศัยอยู่ที่เรือนไม้ชายป่า&rdquo
เพราะไม่ต้องการให้เขาหาตัวพวกนางแม่ลูกเจอ รั่วซีจึงหนีมาอยู่ไกลถึงชายแดนใต้ นางเคยอ่านหนังสือในห้องหนังสือของหยวนไป๋เจียน มีบางเล่มบรรยายว่าภูมิประเทศทางใต้นั้นอุดมสมบูรณ์ เมื่อถึงฤดูหนาวอากาศที่นี่ก็ไม่หนาวจนเกินไป เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบอากาศหนาว อาหารที่นี่ก็อร่อยนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นางมาอยู่ที่นี่ เพราะของกินของภาคใต้เยอะและอร่อยมาก ผู้เขียนบรรยายไว้เช่นนั้นวันนี้รั่วซีนึกอยากเดินตลาด สตรีเช่นนางไม่ค่อยได้มีโอกาสออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้านสักเท่าใดนัก นางกลัวว่าตนจะเป็นภาระของผู้อื่น รั่วซีจึงถือโอกาสนาน ๆ ครั้งจะออกมาสักทีหนานเฉินจงและหนานเฉินจื้อสองพี่น้อง ขนาบข้างมารดาของตน คนพี่อยู่ซ้ายคนน้องอยู่ขวาคอยเป็นดวงตาให้มารดาในมือของรั่วซีมีไม้เท้าหนึ่งอัน ซึ่งเป็นของที่เย่ลู่สรรหามาให้ ที่ตัวไม้เท้ามีกระดิ่งกรุ้งกริ้งเป็นสัญญาณนำทางให้นาง“ท่านแม่ วันนี้ในตลาดคึกคักมากเลย” หนานเฉินจื้อผู้เป็นน้องชายพูดเจื้อยแจ้ว ผิดกับหนานเฉินจงที่ไม่ค่อยพูดจา แต่สายตาเขาคอยระแวดระวังภัยให้ผู้เป็นมารดาตลอดเ




![ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


