“น้ำมนต์ คุณปุณณ์มาลองสูทแล้วจ้ะ”
เจ้าของห้องเสื้อเดินนำลูกค้ารูปหล่อเข้ามาในห้องตัดเย็บซึ่งวันนี้ช่างประจำของร้านนั่งประจำที่กันจนครบเพราะไม่ได้มีไปออกงานที่ไหน
ดวงตากลมโตเงยหน้าจากจักรเย็บผ้า สบประสานสายตาที่มีแต่แววรังเกียจของเขาก็ลอบถอนหายใจอย่างอึดอัด ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบชุดสูทสไตล์เกาหลีที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ดาราและคนดังมาให้เขาลอง
“ฝากน้ำมนต์ภาคุณปุณณ์ไปลองที่ห้องลองเสื้อข้างบนทีนะจ๊ะ ห้องข้างล่างยังติดลูกค้าอีกสองคน”
“ค่ะ พี่บี”
“พี่ขอตัวไปดูลูกค้าก่อนนะคะน้องปุณณ์ พอดีมีเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาลองชุดค่ะ”
“ตามสบายครับพี่บี”
เจ้าของห้องเสื้อเดินออกไปแล้ว แต่ช่างประจำร้านสาวสวยยังยืนจ้องหน้าลูกค้าหนุ่มอยู่อย่างนั้น ในสมองก็กำลังคิดหาทางหนีทีไล่ ว่าจะทำอย่างไรให้ไม่ต้องพาเขาขึ้นไปลองชุดที่ชั้นสองของร้าน ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครสักคนขึ้นไปใช้บริการ นั่นเท่ากับว่า เธอต้องอยู่กับเขาสองต่อสอง และสถานการณ์แบบนั้นมันคงอึดอัดใจน่าดู
“ยืนมองอะไรอยู่ล่ะ พาฉันขึ้นไปสิ เดี๋ยวต้องรีบกลับไปทำงานนะ ไม่ได้มีเวลาทั้งวัน”
“เอ่อ พอดีฉันติดแก้งานด่วนให้ลูกค้า คุณขึ้นไปลองเองได้ไหมคะ ถ้าติดขัดอยากแก้ค่อยโทรตามฉันก็ได้ แต่ถ้าใส่พอดีก็ลงมาได้เลยค่ะ ชุดพร้อมให้คุณรับกลับได้ในวันนี้”
“นี่เป็นบริการของช่างตัดเสื้อร้านนี้เหรอ ฉันคงต้องบอกพี่บี”
เขาหมุนตัวเตรียมเดินกลับออกไปฟ้องเจ้าของร้าน แต่คนตัวบางกลับวิ่งไปดักหน้าเขาเอาไว้เสียก่อน ด้วยไม่เคยมีประวัติทิ้งลูกค้าแบบนี้ เลยไม่อยากถูกตำหนิ
“เดี๋ยวค่ะ ฉันพาคุณขึ้นไปเองก็ได้”
“อืม ก็แค่นี้ เรื่องมาก บริการแย่ ถ้าฝีมือตัดชุดไม่ได้เรื่องด้วยอีกอย่างหนึ่ง ฉันจะบอกพี่บี ให้ไล่เธอออก”
ณกมลก้มหน้าอย่างลุแก่โทษ เธอไม่เคยไร้มารยาทอย่างนี้ แถมนาบีเองยังเคร่งครัดเรื่องคุณภาพงานและบริการที่สุด หากเขาเอาเรื่องนี้ไปฟ้อง เธออาจโดนตำหนิ หรือดีไม่ดี เธออาจจะตกงานได้ง่าย ๆ ซึ่งในตอนนี้หนี้สินที่พ่อแม่สร้างเอาไว้มันยังกองสุมหัว ดอกทบต้น ต้นทบดอกจนไม่รู้จะเอาปัญญาที่ไหนไปจ่ายให้หมด ถ้าเธอต้องตกงานอีกที คราวนี้คงโดนเจ้าหนี้ส่งไปขายที่ชายแดน
“ขอโทษค่ะ”
เธอเดินนำเขาขึ้นไปบนชั้นที่สอง ซึ่งเป็นชั้นที่เต็มไปด้วยชุดแต่งงานและชุดราตรีหรูหรามากมายนับพันชุด มุมด้านในสุดเป็นห้องลองเสื้อผ้าที่มีอยู่ถึงสามห้อง
“เชิญค่ะ”
เขาพยักหน้าให้ ก่อนเข้าไปในห้องลองชุดที่ด้านในห้องมีกระจกเงาบานโตจรดผนัง เขาหยิบชุดสูทสไตล์เกาหลีสีคาราเมลขึ้นมาดู มันก็สวยดีหรอก ทั้งดีไซน์และการตัดเย็บ ดูใส่ใจและประณีต จึงเปลี่ยนใส่ชุดของเธอในทันที
ปุณณิธิมองสบตากับตัวเองในกระจกเงาบานโต ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสูทดีไซน์เน้นแฟชั่นที่เห็นได้ทั่วไป พอมาอยู่บนตัวเขาจะทำให้เขาและชุดสูทตัวนี้ มันดูดีได้ขนาดนี้
สีของชุดขับให้ใบหน้าขาวและริมฝีปากสีแดงสดของเขาดูโดดเด่น ดีไซน์แฟชั่นที่ตัดเย็บได้พอดีตัว ส่งผลให้เรือนร่างสูงใหญ่ของเขาดูสมาร์ทขึ้นอีกเป็นกอง ต้องยอมรับเลยว่าเธอเลือกสีและดีไซน์เข้ากับเขาที่สุด
แต่..เรื่องอะไร เขาจะพึงพอใจกันล่ะ แบบนั้นมันจะง่ายไป และเธอก็คงจะได้ใจ
“นี่เธอ เข้ามาในห้องหน่อย ฉันอยากแก้ชุด”
เขาตะโกนเรียกเธอเสียงดัง น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจราวกับดาราดังที่ทำตัวขี้วีน เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วเข้าไปรับหน้ากับลูกค้าวีไอพีของเจ้าของร้าน
“ค่ะ คุณไม่พอใจตรงจุดไหนคะ”
ทันทีที่เธอเข้ามาในห้องแล้วมองเขาผ่านกระจกเงาก็เป็นอันต้องเบิกตากว้าง เขาทั้งหล่อ ทั้งเท่ ร่างกายสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อและผิวขาว ๆ ของเขาภายใต้ชุดสูทสีคาราเมลแบบแฟชั่นพอดีตัว มันทำให้เขาดูโดดเด่นหล่อเหลาจนหัวใจเธอเต้นกระตุกไปชั่วขณะ
“ก็มองดูสิ ว่าตรงไหนมันไม่ดี เป็นช่างไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องให้ฉันบอก”
เธออยากจะคิดว่าเขาตั้งใจกลั่นแกล้งเธอเหลือเกิน เพราะถ้าให้เธอมองและพิจารณาเอาเอง เธอจะบอกเลยว่ามันสวยและเข้ากับเขามากอย่างไร้ที่ติ
แต่ในเมื่อเขาบอกว่ามันมีจุดที่เขาไม่พอใจ เขาควรบอกเธอสิถึงจะถูก เธอจะได้แก้ให้เขาได้ตรงจุด
“ถ้าในสายตาของช่าง ฉันว่ามันโอเคแล้วค่ะ”
“ขี้เกียจล่ะสิ แค่จุดตำหนิยังมองไม่ออก แล้วมาเป็นช่างตัดชุดได้ยังไง ร้านพี่บีไม่ใช่ร้านตัดผ้ากระจอก ๆ นะ เด็กใจแตกที่หนีตามผู้ชายทั้งที่ยังเรียนไม่จบ เขารับเข้าทำงานก็แทนที่จะทำให้ดี ดันทำร้านเขาเสียหาย ลาออกไปดีกว่ามั้ง”
เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อข่มอารมณ์ รู้ว่าเขาตั้งใจปั่นประสาท แต่ในฐานะลูกจ้าง เธอไม่มีสิทธิ์เสียมารยาทกับลูกค้าคนสำคัญที่มีสื่ออยู่ในมือแบบนี้
“ขอโทษค่ะ ฉันตอบตามที่ฉันมองเห็นและรู้สึก”
“แล้วที่มองเห็น ฉันทำให้เธอรู้สึกอย่างไรล่ะ”
เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาผ่านกระจกเงาด้วยความตกใจในคำพูดนั้น แต่แล้วยิ่งตกใจจนหัวใจเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกมานอกอก เมื่ออยู่ ๆ เขาก็หมุนตัวกลับมาหาเธอ และยืนด้วยท่วงท่าสุดเท่ให้เธอพิจารณาอีกครั้ง
“เอ่อ คือ ฉันรู้สึกว่าชุดนี้มันเป็นดีไซน์ที่ไม่เป็นทางการ ค่อนข้างแฟชั่น และแบบนี้กำลังนิยม การตัดเย็บพอดีตัวทำให้คุณดูเด็กลง สีของชุดขับผิวคุณให้สว่างและโดดเด่นยิ่งขึ้น แขนเสื้อ ขากางเกง หรือทุกส่วนของชุดก็กำลังดี ไม่ขัดตา ไม่ได้ยาวเกินไปค่ะ ฉันจึงคิดว่าแบบนี้ดีที่สุดและเข้ากับคุณที่สุดแล้ว”
เขาแค่นหัวเราะหยัน เธอเก่งมาก เรื่องนี้ต้องยอมรับ เขาเองก็คิดแบบที่เธอคิดนั่นแหละ แต่อย่านึกว่าเธอจะรอดพ้นเงื้อมมือเขาไปได้ อย่างไรก็จะไม่มีทางทำงานที่นี่ได้อย่างสงบสุขหรอก เขารับประกันเลย
“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ ฉันว่าตรงเอวมันแน่นไปนิด ไม่เห็นหรือไงว่าฉันยัดเสื้อใส่เข้าไปในกางเกงไม่ได้”
เขาเปิดเสื้อสูทออก เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาพับชายเสื้อยกขึ้นเอาไว้อย่างลวก ๆ ราวกับว่าไม่สามารถยัดชายเสื้อเชิ้ตลงไปในขอบกางเกงได้ หรือว่าเขาจะอ้วนขึ้นจากตอนที่เธอวัดตัวให้คราวก่อน
“ขอดูหน่อยนะคะ”
เธอยกชายเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้น แล้วขยับเอวกางเกงดู ก็พบว่ามันอยู่ในตำแหน่งกำลังดี แถมขอบเอวกางเกงยังคงขยับหมุนไปมาได้ แปลว่ามันไม่ได้คับไปจนยัดชายเสื้อไม่ได้อย่างที่เขาบอกแน่นอน
“มันไม่ได้คับนะคะ ฉันยังขยับมันได้อยู่เลย แล้วทำไมคุณถึงยัดชายเสื้อไม่ได้”
“ก็ยัดไม่ได้ ถ้าเธอบอกว่าได้ ก็ทำให้ดูสิ”
เธอตวัดสายตามองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็ต้องก้มหลบตาเขาเหมือนเดิม สุดท้ายก็ตัดสินใจจับชายเสื้อเชิ้ตสีขาวยัดลงไปในขอบกางเกง ซึ่งก็ทำได้อย่างง่ายดาย ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสักนิด
“นี่ไงคะ ก็ใส่ได้นี่”
“ข้างหลังล่ะ”
เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วสอดมือเข้าไปในเสื้อสูทตัวนอก เอื้อมมือไปด้านหลัง ค่อย ๆ ยัดชายเสื้อลงไปทีละนิด
การกระทำของเธอมันทำให้หน้าอกอวบใหญ่เกินตัวแทบจะแนบชิดกับร่างกายของเขา กลิ่นโลชั่นอ่อน ๆ และกลิ่นเนื้อตัวของเธอผสมผสานกันเป็นฟีโรโมนชั้นดี ทำเอาเขาลอบสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ กลิ่นนี้ที่เขาเคยซุกไซ้สูดดมไม่มีเบื่อ แม้มันจะผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเจอกลิ่นกายของผู้หญิงคนไหนที่หอมเย้ายวนถูกใจเขาที่สุดอย่างเธอ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เธอถอยห่างมาจากเขาทันที ซึ่งเขาเองก็กระแอมแก้เก้อเพราะเผลอไผลสูดดมกลิ่นกายหอมอ่อน ๆ นั่นจนสุดปอด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าเขาทำแบบนั้น
“อืม ก็โอเค แต่ไม่ค่อยถูกใจสี เดี๋ยวตัดใหม่อีกชุดนึงแล้วกัน มาวัดตัวสิ”
“คุณ ทำไมทำแบบนี้”แม้จะโล่งใจที่รอดจากการถูกส่งไปขายตัวยังชายแดน แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่คนซึ่งบอกว่าเกลียดเธอและไม่มีวันจะให้อภัยกลับยอมเสียเงินมากมายเพื่อไถ่ตัวเธอ“แบบไหน ใช้หนี้ให้เธอน่ะเหรอ”คิ้วเข้มเลิกสูง ดวงตาคมมองจ้องสบตากับเธอด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก แต่ที่แน่ ๆ มันไม่ได้มีความรู้สึกดี ๆ ให้กันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว“ค่ะ ไม่เห็นต้องมาเสียเงินเพราะฉัน”“อ้อ แสดงว่าอยากไปขายตัวที่ชายแดน”เขาแค่นหัวเราะหยัน จนตรอกจนเกือบจะกลายไปเป็นผู้หญิงขายตัว ชาตินี้ก็ไม่มีโอกาสได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน ยังทำหยิ่งไม่เข้าท่า คิดว่าเขาอยากจะช่วยเธอตายละ ที่ทำก็แค่ทนสมเพชลูกตาไม่ได้เท่านั้น“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”รู้ว่าไม่ควรอวดดีกับเขาซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นผู้มีพระคุณเสียแล้ว แต่ถ้าเป็นไปได้ แม้จะยังรักเขาจนสุดหัวใจเพียงใด ในตอนนี้ที่ยังพอจะไปจากเขาไหว เธอก็อยากจะไปให้ไกลจากเขาที่สุด เพราะยิ่งเห็นหน้า ความเจ็บปวดในวันวานมันก็คอยจะตามหลอกหลอนเธอไม่เลิก“ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วเธอมีทางเลือกอื่นหรือไง ถ้าไม่เอาเงินของฉันไปใช้หนี้”“แต่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน คุณจะมาเสียเงินมากมายให้ฉันทำไม”เขาขยับนั่งพิงสะโ
เพราะกว่าที่จะข่มตาให้หลับลงได้ก็ครึ่งค่อนคืนไปแล้ว ไหนจะปัญหาที่ทำให้เธอเหนื่อยล้าทั้งกายและใจทำให้เธอตื่นสาย เมื่อมองหาคนที่นอนกกกอดเธอแนบอกด้วยพื้นที่คับแคบของเตียงก็พบเพียงความว่างเปล่า เขาคงออกจากห้องของเธอไปนานแล้วเพราะมีงานมีการให้ทำ ไม่ใช่คนตกงานอย่างเธอเมื่อนึกถึงปัญหาที่จะตามมาจากการตกงานก็ทำเอาเธอเด้งตัวลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำ ก่อนจะออกมาแต่งตัวด้วยชุดสุภาพเพื่อตระเวนออกหางานทำอีกครั้งแต่ยังไม่ทันที่เธอจะออกจากห้อง กันตาซึ่งได้ยินข่าวว่าเธอถูกไล่ออกด้วยโทษฐานที่อ่อยแฟนเจ้าของร้านก็โทรเข้ามาเสียก่อน“น้ำมนต์ แกเป็นไงบ้าง เรื่องมันเป็นยังไง”ณกมลถอนหายใจยาวแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง“แล้วแกได้ยินว่ายังไงล่ะ”“ก็ไอ้...นายโชคน่ะสิ ป่าวประกาศทั่วร้านว่าโดนแกแบล็กเมล พี่บีเลยไล่แกออก”“โดนไล่ออกน่ะเรื่องจริง แต่ไอ้เวรนั่นมันจะปล้ำฉัน ดีที่คุณปุณณ์เขาย้อนกลับมาเอาของที่ร้านเลยช่วยไว้ทัน ไม่งั้นฉันเสร็จมันแน่”“มันกล้าทำแบบนั้นได้ไงวะ พี่บีก็นอนอยู่บนร้านไม่ใช่เหรอ”“อืม พี่บีก็รู้ว่ามันจะปล้ำฉัน แต่พี่บีเลือกมัน เลยไล่ฉันออกแทน”“เฮ้ย ไล่ช่างอันดับหนึ่งของร้านออก แล้วเลือกไ
“ก็ใครใช้ให้คุณมาทำอะไรทุเรศ ๆ กับฉันล่ะ แล้วเป้าคุณ มันไม่รั้งหรอกนะ ถ้าคุณไม่หื่นแบบนี้ ฉันไม่แก้ให้คุณแล้ว ส่งงาน คุณเอากลับบ้านไปได้เลย แล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก”“นี่เธอ ฉันเป็นลูกค้านะ”“ลูกค้าแล้วยังไง ลูกค้าแล้วมีสิทธิ์มาไล่จูบช่างตัดเสื้อเหรอ เรื่องของเรามันจบไปเป็นสิบปีแล้วคุณปุณณ์ คุณช่วยปล่อยฉันไปตามทางของฉันได้ไหม”“ถ้าบอกว่าไม่ได้ล่ะ”ดวงตาคมกริบวาวโรจน์มองเธอนิ่ง ๆ มันฉายแววอำมหิตเสียจนเธอขนลุกซู่“แล้วคุณจะเอายังไง ฉันขอโทษคุณไปแล้ว ฉันเสียใจ แต่ฉันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้ากลับไปได้ฉันจะไม่ไปเดินเซ่อซ่าให้คุณขับรถเฉี่ยวตั้งแต่แรก”หยาดน้ำใส ๆ รื้นคลอหน่วย ทำเอาใจแกร่งกระตุกวูบ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่นึกสงสาร เพราะสิ่งที่เธอทำมันเลวร้ายเกินกว่าจะให้อภัย และเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายน่าสงสาร...ไม่ใช่เธอ“ทุกอย่างมันสายไปหมดแล้ว น้ำมนต์”คนตัวโตคว้าเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งเอาไว้ ก่อนจะผลุนผลันออกจากร้านไป ทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเจ็บปวดจากอดีตที่ไม่มีวันจางหาย“โอ้โห เป็นแฟนเก่ากันเหรอเนี่ย”โชคชัยเดินปรบมือออกมาจากมุมมืดในสภาพไม่สวมเสื้อ เธอปาดน้ำตาลวก ๆ แล้วรีบเก็บของยัดลงก
“หายไปไหนของเขาวะ โทรก็ไม่ยอมรับสาย”ปัณณ์ ปัณณธี น้องชายคนสุดท้องผู้รับหน้าที่เป็นผู้จัดละครแทนพี่สาวซึ่งกำลังท้องแก่ใกล้คลอดบ่นเป็นหมีกินผึ้ง หลังจากที่กดโทรศัพท์หาพี่ชายเท่าไรก็ไม่มีคนรับสาย ทั้งที่ตอนนี้ถึงคิวเข้าฉากของเขาแล้วแต่ทีมงานต้องเปลี่ยนฉากถ่ายกันให้วุ่นเมื่อพระเอกนางเอกของเรื่องพร้อมใจกันหายตัวไปทั้งคู่ที่จริงเขาไม่ควรมาวุ่นวายในฐานะผู้จัดแล้วก็ได้ถ้าพระเอกละครเป็นคนอื่น ไม่ใช่พี่ชายผู้ซึ่งมีเพียงพี่สาวของเขาและผู้จัดการส่วนตัวเท่านั้นที่จะเอาอยู่ตอนนี้เขาควรได้เดินหน้าเปิดกล้องถ่ายทำละครเรื่องแรกที่เขารับหน้าที่เป็นผู้กำกับ แล้วค่อยหาเวลาว่างจากกองถ่ายโน้นเทียวมาดูที่กองถ่ายนี้เป็นครั้งคราวแต่ถ้าเขาไม่มา จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อทั้งกองถ่ายต่างเกรงใจพระเอกลูกชายเจ้าของบริษัททั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ผู้กำกับหนุ่มมากฝีมือยังไม่กล้ากวนใจ แถมที่ซวยไปกว่านั้น เปิดกล้องถ่ายทำได้ไม่กี่วัน ผู้จัดการส่วนตัวของพี่ชายเขาก็คลอดก่อนกำหนดเสียก่อน เขาจึงต้องมาปากเปียกปากแฉะคอยตามพี่ชายตัวดีเข้าฉากอยู่แทบทุกวัน ไม่เป็นอันทำอะไรจนต้องเลื่อนการเปิดกล้องกองถ่ายของเขาออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนดใน
“สวัสดีค่ะ คุณปุณณ์”ณกมลตัดสินใจโทรหาดาราหนุ่มหลังจากที่เคลียร์คิวงานเก่าเสร็จแล้วเพื่อแจ้งวันเวลาที่เขาจะต้องเข้ามาลองสูทตัวใหม่ที่ตัดกับเธอ“ว่าไง”แค่เห็นชื่อของคนที่โทรมาโชว์หราอยู่บนหน้าจอ หัวใจแกร่งก็เต้นกระตุก แต่ยังพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้“ฉันเคลียร์คิวงานหมดแล้วนะคะ ตอนนี้กำลังเริ่มทำชุดของคุณ วันศุกร์หน้าเข้ามาลองได้เลยค่ะ”“อืม ขอบใจ แต่ฉันคงเข้าไปค่ำหน่อยนะ พอดีติดอีเวนต์”“งั้นเลื่อนนัดเป็นวันอื่นดีไหมคะ”“ฉันไม่มีเวลาว่างสักวัน เป็นวันนั้นนั่นแหละ กลับบ้านดึกหน่อย ช่างดีเด่นอย่างเธอคงไม่เป็นไรใช่ไหม”“ค่ะ ฉันจะรอค่ะ”เขากดวางสายพร้อมเหยียดยิ้มมุมปาก ดวงตาคมกริบวาบขึ้น เธอหายไปหลายสัปดาห์จนเขาแทบลืมไปแล้ว เขาเองก็มัวแต่วุ่นวายกับการปิดกล้องละคร ไหนจะสั่งลากับพิมพ์พิศาจนแทบไม่ได้หลับได้นอนทั้งที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก แต่เด็กมันยั่ว ผู้ชายมีเลือดเนื้ออย่างเขาจะอดใจได้อย่างไรแต่ในเมื่อตอนนี้เธอเป็นฝ่ายมาเรียกเขาให้กลับไปหาเธอเอง แม้จะแค่ลองชุดก็ตาม แต่สาบานเลยว่าเธอจะต้องจุกจนพูดไม่ออก“เป็นอะไร ทำไมยิ้มอย่างนั้น”เสียงน้ำอ้อยดังขึ้
หลังจากที่ตัดพ้อชีวิตกับเพื่อนรักเสร็จ ทั้งคู่ก็กลับเข้าไปเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน คนขยันหอบหิ้วถุงผ้าใบใหญ่ที่ในนั้นเต็มไปด้วยจ๊อบพิเศษคืองานปักปลอกหมอนซึ่งเธอเปิดช่องในโซเชียลเพื่อรับงานดวงตาคมกริบมองคนตัวบางที่หอบข้าวของพะรุงพะรังผ่านกระจกด้านหน้าของรถยนต์คันหรู ก่อนจะค่อย ๆ ออกตัวขับตามเธอไปอย่างช้า ๆ จนไปถึงป้ายรถเมล์ จึงจอดแอบมองเธอจากซอยเล็ก ๆ ข้างป้ายรถเมล์ป้ายนั้นเขาขับรถตามเธอไปห่าง ๆ จนถึงห้องเช่าขนาดเล็กที่ค่อนข้างทรุดโทรม ทางเข้าหน้าตึกไม่มีระบบความปลอดภัยใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อมองขึ้นไปบนตึกที่สูงเพียงห้าชั้น จะเห็นประตูห้องทุกห้องและระเบียงทางเดินหน้าห้องที่ใช้ร่วมกันทั้งชั้นหัวคิ้วเข้มขมวดมุ่น แม้เมื่อก่อนจะไม่รู้ว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แต่รถยนต์ที่เธอขับ รวมถึงของใช้ทุกชิ้นเป็นแบรนด์เนม ก็ทำให้รู้ว่าเธอมีฐานะดีไม่น้อย แต่ทำไม คนที่ดูเหมือนมีฐานะดีคนนั้น ถึงไม่ได้มีรถยนต์ไว้ขับอีกต่อไป ของใช้รวมถึงเสื้อผ้าเป็นของตลาดนัดราคาถูก แถมยังมาอยู่ห้องเช่าซอมซ่อแบบนี้ได้หรือแท้จริงแล้ว เธอมีเสี่ยเลี้ยงมาตั้งแต่ก่อนที่จะคบหากับเขากันแน่ไม่นาน คนตัวบางที่หอบข้าวของพะรุงพะ