(ลินลี่: วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา)
เริ่มต้นสัปดาห์ ด้วยความวุ่นวายที่เคยชินฉันก้าวลงจากรถเมล์หน้าตึกออฟฟิศ ก่อนเข้างานสิบห้านาทีพอดี รอบตัวเต็มไปด้วยผู้คนที่ดูเหมือนกำลังวิ่งแข่งกับเวลาแต่ไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าเส้นชัยอยู่ตรงไหน เมืองยังเคลื่อนไหวไม่หยุด เหมือนกลไกที่ถูกตั้งเวลาเอาไว้ ไม่มีปุ่มพักแต่ในขณะที่ทุกอย่างเร่งไปข้างหน้า
ใจฉันกลับหยุดอยู่กับบางสิ่ง"ความรู้สึกจากคืนนั้น"…ถามว่าฉันได้ประสบการณ์มั้ย? — มาก สนุกมั้ย? — ใช่ แต่...มันมีบางคำที่ยังติดอยู่ในหัว…..ติดใจขึ้นมาละสิ?..ก็ไม่รู้สินะ หรือคงต้องไห้ทุกคนลองเดาดู ;)..“สวัสดี ลินลี่” เสียงพี่อุษาหัวหน้าฉัน พลางชูแก้วกาแฟไว้ระดับอก ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าเราสบตากันพอดีก้อง เพื่อนร่วมงานสายอารมณ์ดี ยกยิ้มมุมปาก ด้วยรอยยิ้มแบบเดิมที่ อบอุ่นและปลอดภัยเสมอ
“วันนี้ดูสดใสนะ ลินลี่”ฉันยิ้มตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิดมาก ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ประจำ โต๊ะเดิม มุมเดิม ที่เต็มไปด้วยเอกสาร
ใต้แว่นหนาฉันกวาดตามองรอบออฟฟิศ เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดเริ่มดังขึ้นเป็นจังหวะ กลิ่นกาแฟจาง ๆ ลอยมาปะปนกับแสงฟลูออเรสเซนต์ที่สะท้อนจากจอคอมฯ ที่นี่คือโลกจริงที่ฉันต้องอยู่... ต่อให้ใจจะยังหลุดลอยกลับไปคืนวันศุกร์ก็เถอะ..
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงคีย์บอร์ดยังคงดังเป็นจังหวะเดิม ฉันละสายตาจากหน้าจอเมื่อได้ยินเสียงเรียก“ลินลี่ หัวหน้าเรียกเข้าพบ”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อย หันขวับไปตามต้นเสียง
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินผ่าน ใบหน้าเรียบเฉย เขามองฉันแวบหนึ่ง แล้วก็เดินเลยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ขอบคุณค่ะ”
ฉันเอ่ยเบา ๆ อย่างพยายามกลั้นไม่ให้เสียงสั่น สูดหายใจลึกเข้า—ปล่อยลมหายใจออกยาว ๆ ราวกับหวังให้ความกังวลหลุดตามไป สายตาเหลือบมองตัวเลขหน้าจอเพียงแวบเดียว ก่อนจะลุกขึ้นยืนระหว่างที่เดินตรงไปยังห้องหัวหน้า หัวใจก็เริ่มเต้นแรงขึ้นทีละนิด
หนัก... ชัดเจน... และไม่รู้ว่าจากอะไรแน่(จะมีเรื่องอะไรอีกไหมนะวันนี้... แค่นี้ก็เหนื่อยพอแล้วจริง ๆ)
เมื่อมาถึงหน้าประตู ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกที่สุด เกลี่ยชุดให้เรียบ
แล้วดันแว่นให้เข้าที่ นิ้วชะงักค้างอยู่กลางอากาศเพียงเสี้ยววินาทีแต่สุดท้าย... ฉันก็เคาะลงไปก๊อก ก๊อก
“เข้ามาเลย ลินลี่”
เสียงของผู้จัดการดังลอดออกมาจากห้องกระจก ในน้ำเสียงนั้นมีความนิ่ง แต่ชัดเจน
ฉันผลักประตูเข้าไปช้า ๆ ฝ่ามือเย็นเฉียบจากความประหม่า
ผู้จัดการเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร จ้องตาฉันครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้ม—ยิ้มแบบมืออาชีพ ที่ไม่ได้บอกว่า “ยินดี” แต่บอกว่า “ตั้งใจ”
เขาเลื่อนแฟ้มหนา ๆ มาวางตรงหน้า ฝ่ามือของเขาแนบแฟ้มไว้ครู่หนึ่งราวกับจะย้ำถึงน้ำหนักของมัน
“มีงานใหม่ อยากให้เธอดูหน่อยนะ ลินลี่”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ทว่าแฝงแรงกดดันไว้ชัดเจน“ฉันจะส่งเธอไป เพราะเธอมีบุคลิกที่เรียบร้อย ดูน่าเชื่อถือ และเหมาะสมที่สุดสำหรับการเป็นตัวแทนของเรา ถ้าจะให้ใครไปพบลูกค้าแทนฉัน...ก็คงเป็นเธอ”
คำพูดนั้นไม่ใช่คำชม แต่เป็นคำสั่งที่แฝงการคาดหวัง และเดิมพันบางอย่าง
เธอเว้นจังหวะเล็กน้อย
“และฉันยังเชื่อใจเธอเหมือนเคย”ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน
หัวใจพลันหนักอึ้ง เหมือนมีอะไรบางอย่างตอกย้ำความไม่แน่ใจในตัวเอง (เรียบร้อยเหรอ... ฉันน่ะ เพิ่งคิดอยากจะเปลี่ยนตัวเองด้วยซ้ำ)แต่ฉันก็ยังพยักหน้ารับแฟ้มมาอย่างนิ่งที่สุด
(ไว้ใจ... งั้นเหรอ ดีแล้วล่ะ แต่ภายในฉันน่ะ—สั่นไม่ต่างจากการถือแก้วกาแฟร้อน ๆ โดยไม่มีกระดาษรองเลย)เสียงพลิกกระดาษดังกรอบแกรบในความเงียบ
ฉันสูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้ง กดทุกความลังเลให้จมหายลงไป(เอาล่ะ ลินลี่... ถ้ากระโดดหนีไม่ได้ ก็ต้องลุยให้จบ รอดูกันว่ากองไฟด่วนกองนี้จะเผาฉัน หรือฉันจะดับมันได้ในที่สุด)
“โอเค ไปได้แล้ว ลินลี่ ขอบคุณมากนะ”
ฉันย่อตัวเล็กน้อย แล้วหมุนตัวถอยหลังออกจากห้อง
มือหนึ่งกำแฟ้มงานแน่น ส่วนใจ... ยังหนักอึ้งกับประโยคที่วนเวียนไม่หยุด—"เป็นหน้าตาขององค์กร"…
ไม่ทันไร เวลาก็ไหลผ่านไปอย่างเงียบเชียบ พอเลิกงาน ฉันรีบเก็บของ เพื่่อจะกลับถึงห้องให้ตรงเวลา—พ่อกับแม่มาถึงแล้วเรียบร้อยทันทีที่เปิดประตูเข้าห้อง
สายตาทั้งคู่ก็จ้องมาที่ฉัน เหมือนกำลังมองเด็กที่ยังไม่ยอมโตสักที“เสื้อผ้านี่—ดูสิ ยับหมด”
แม่รีบตรงเข้ามาหยิบชายเสื้อฉันพร้อมกับจัดผมที่กระเซิงเพราะลมจากรถเมล์ ฉันสะดุ้งนิดหน่อย ยังไม่ทันได้วางกระเป๋าได้แต่กลอกตาในใจ...
(แม่คะ หนูโตแล้วนะ—จริง ๆ)แต่สุดท้าย ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร
แค่ยิ้มจาง ๆ แล้วปล่อยให้มือแม่เกลี่ยผมฉันให้เรียบ เหมือนเมื่อสิบปีก่อนไม่มีผิดพ่อยืนตัวตรงอยู่ข้างหลัง
แค่ท่าทางก็บอกได้ชัด—เขาเป็นนายทหารเต็มตัว สายตานิ่ง เย็น และมีระเบียบในทุกองศาการยืนบ้านเราเน้นแบบแผนและความเรียบร้อยเสมอ
ถึงจะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ แต่ภาพลักษณ์ “ครอบครัวดี” ต้องรักษาไว้ให้เป๊ะทุกมุมฉันรักพ่อแม่...
แต่บางทีก็เหมือนถูกขังอยู่ในกรอบที่พวกเขาสร้างไว้—แน่นหนาและไม่เผื่อช่องว่างให้หายใจบางครั้ง... ฉันแค่อยากเป็นแค่ "ตัวฉันเอง"
ไม่ใช่แค่ลูกสาวของครอบครัวดี ๆ ที่ใครต่อใครคาดหวังให้เป็น“รีบไปอาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวมาทานข้าวนะ แม่เตรียมกับข้าวมาจากบ้าน”
เสียงแม่ดังขึ้นทันที เหมือนจังหวะบทสั่ง ห่วงใยก็จริง แต่แฝงความเร่งรัดอย่างไม่ตั้งใจฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่
แล้วเดินไปจัดการตัวเองอย่างว่าง่าย—เพราะเถียงไปก็เท่านั้นแต่ถึงแม้จะมีกรอบระเบียบมากมายแค่ไหน... ฉันก็รู้ดีว่าพ่อกับแม่รักฉันหมดหัวใจ—ในแบบของเขา***(พายุ: ในโลกที่มีทุกอย่าง ยกเว้น “ตัวตน”)
แต่อีกฟากหนึ่งของเมือง ที่รายล้อมไปด้วยเงินตราและความมั่งคั่ง... เป็นโลกที่เหมือนคนละโลกกับลินลี่เลยทีเดียวในคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลชานนวิวัฒน์ — โลกแห่งมหาเศรษฐีที่เต็มไปด้วยความหรูหรา แต่กลับแฝงไปด้วยบรรยากาศเย็นชาและเงียบเหงา
โต๊ะอาหารชุดหลุยส์ที่ยาวเกือบเต็มห้อง มีเก้าอี้ตั้งเรียงเป็นสิบ แต่มีแค่สองคนที่นั่งอยู่ เจ้าสัว กับลูกชายเสียงช้อนกระทบจานเบา ๆ สะท้อนเป็นจังหวะไปพร้อมกับบทสนทนาเรื่องธุรกิจ เงิน และผลประโยชน์ที่ไม่มีวันจบ
“พายุ หยุดถ่ายแบบได้แล้ว กลับมาทำงานให้ตระกูลเราให้จริงจังหน่อย ที่สำคัญเพื่อภาพลักษณ์ของครอบครัว แล้วฉันมีงานให้แกดูแลด้วย”
พายุเงียบไปสักพัก ยกแก้วเครื่องดื่มสีอำพันขึ้นจิบช้า ๆ ก่อนจะตอบเสียงนิ่ง ๆ ว่า “ครับ”
เจ้าสัวชานนไม่ปล่อยให้เงียบนาน
“แล้วเรื่องของแกกับมาริสามันเป็นยังไง?” เสียงทุ้มจริงจัง ไม่มีช่องให้เถียง“พวกแกเหมาะสมกัน ตระกูลเรากับเดอลากูร์ วินเซนต์”
เหมือนคำสั่งที่ไม่ใช่แค่พูดเล่นพายุเบือนหน้า หันออกจากเจ้าสัว
ยกแก้วขึ้นกระดกหมดในคำเดียว เสียงแก้วกระทบโต๊ะดังชัด “ผมมีงานด่วน ต้องรีบไปแล้ว”แล้วเขาลุกขึ้นทันที ผลุนผลันเดินออกจากโต๊ะ
เจ้าสัวชานนวางช้อนซ้อมลงอย่างใจเย็น หยิบผ้าเช็ดปากขึ้นเช็ดริมฝีปาก จบมื้ออาหารอย่างสมบูรณ์บอดี้การ์ดที่พยายามจะตามก็ถูกเขาปัดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ“ไม่ต้องหรอก ผมไปเองได้”
“แต่...เจ้าสัวสั่งครับ—” “ไม่มีคำว่า แต่” เขาตัดบทเสียงเรียบ “เดี๋ยวผมจัดการเอง”เพราะนี่ผม “ พายุ”
คนที่ไม่เคยยอมให้ใครสั่ง...นอกจากตัวเองในรถหรูที่เงียบกริบ แต่ในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด บรรยากาศรอบตัวเหมือนมายาที่ปกคลุมไว้
มือผมกำพวงมาลัยแน่นราวกับจะขาด...นี่ชีวิตที่ผมเลือกเองจริง ๆ เหรอวะ?หรือผมก็แค่ตัวแทนของตระกูล… หน้ากากหนึ่งในเกมผลประโยชน์?
ความคิดนั้นแทงซ้ำเหมือนเดิมทุกครั้งที่มีชื่อ มาริสา“ชุดนี้ไม่เข้ากับงานนะพายุ”
“ช่วยยิ้มหน่อย ให้สมกับเป็นทายาทตระกูลดังได้ไหม”คำพูดของเธอวันนั้นยังคมชัด ราวจะติดลายน้ำบนแก้วไวน์
ทุกท่าทางตอกย้ำว่าเธอไม่เคยมอง ‘ผม’ จริง ๆ เธอรักแค่ภาพลักษณ์ที่ผมสวมให้ดูผมไม่ได้เกิดมาเป็นหน้ากากใครทั้งนั้น
ภาพเย็นวันนั้นย้อนมาสะกิด—
มื้อค่ำกับนักธุรกิจอีกคน ไฟแฟลชวาบใส่ผมไม่หยุด เธอยิ้มรับทันที… ยิ้มสำหรับกล้อง ไม่ใช่สำหรับผมเสียงยางบดถนนดังเอี๊ยดเมื่อผมเบรกหน้าคลับหรู
เปิดประตูลง เสียงกรี๊ดเบา ๆ จากกลุ่มสาวหน้าทางเข้าแหวกอากาศเข้ามา พวกเธอพร้อมจะยื่นตัวตนใหม่ให้ผมสวมทับ—พร้อมกับรอยยิ้มที่ซ่อนความเปราะบางของตัวเองไว้ยังดีผมทำเพียงยักไหล่ เดินฝ่าแสงแฟลชไปข้างหน้า
มือยังกำกุญแจแน่นราวกับกำลังเตือนตัวเองว่า คืนนี้…อย่างน้อย ‘ผม’ จะเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองสักไม่กี่ชั่วโมงก็ตามเช้านี้ฉันตื่นเร็ว กว่าปกตินิดหน่อยไม่ใช่เพราะเสียงนาฬิกาปลุกแต่เพราะหัวใจที่เริ่มกระเพื่อมตั้งแต่ก่อนลืมตา เหมือนมันรู้...ว่ามีอะไรบางอย่างรออยู่ข้างหน้าฉันยังไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานหรือเพราะ “ภารกิจวันนี้” ที่ทำให้ความรู้สึกในอกมันตุ่ม ๆ ต่อม ๆ จนไม่เป็นตัวเองทั้งที่ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงขอบบางอย่าง และต้องเลือกจะก้าวออกไป...หรือถอยกลับมาฉันใช้เวลายืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าพักใหญ่ เสื้อเบลาส์สีเรียบ กระโปรงทรงเอ รองเท้าคู่เดิมที่เดินคล่องไม่ใช่เพราะอยากดูดีหรอก—แค่ไม่อยากสะดุดอะไรอีกครั้ง เมื่อวานมันก็หนักพอแล้ว… และที่สำคัญ มันน่าอายเกินกว่าจะย้ำซ้ำอีกวันนี้ ผู้จัดการของบริษัท นัดฉันไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็น ตอนที่ฉันยังนั่งนิ่ง ๆ กับความคิดวนเวียนซ้ำ ภาพบางภาพที่พยายามผลักไสออกไปแต่เหมือนมีแรงบางอย่างดึงกลับมาให้ใกล้กว่าที่คิด เหมือนสนามแม่เหล็กที่ฉันหนีไม่พ้น(และก็คงไม่ต้องเดา ว่าภาพนั้นคือใคร... “ผู้ชายคนนั้น” นั่นแหละ)และใช่—นัดหมายนี้แหละที่ดึงฉันกลับมา ฉันยังมี “หน้าที่” ให้รับผิดชอบ ยังมี “บทบาท” ที่สวมได้แนบเนียน และแค่
ผ่านไปสองอาทิตย์หลังจากคืนวันศุกร์ที่คลับ 669ฉันนึกว่าทุกอย่างจะจบลงแค่คืนนั้น เรื่องมันควรจะเป็นแบบนั้นแหละ แต่ชีวิตมันชอบเล่นตลกแบบไม่ปรึกษากันล่วงหน้าและเช้าวันนี้ ที่บริษัทอินไซท์ ไฟแนนซ์ (บริษัทบัญชีเล็ก ๆ ที่ฉันทำงานอยู่) เสียงแป้นพิมพ์ดังแข่งกับโทรศัพท์โต๊ะข้าง ๆ เหมือนทุกวัน ฉันเพิ่งจะจิบกาแฟได้คำเดียว รองผู้จัดการก็โผล่มาจากทางเดิน“ลินลี่! พอจะออกไปข้างนอกบ่ายนี้ได้ไหม? มีงานด่วนเข้ามา”ฉันหันชวับ “ได้ค่ะ ไปที่ไหนคะ?”เขาโยนแฟ้มสีเทามาให้ ก่อนพูดแบบขอไปที “สำนักงานใหญ่ของกลุ่มนี้แหละ แต่ให้ที่อยู่มาแล้ว บอกให้เราเข้าไปเก็บเอกสารบัญชีเก่าที่ฝ่ายการเงินเตรียมไว้”ฉันเปิดแฟ้ม ไล่ดูเอกสารเร็ว ๆ ก่อนเงยหน้าถาม “ลูกค้ารายไหนเหรอคะ?” จริงจังเลยนะ เพราะรายชื่อที่โผล่มาในเอกสารพวกนี้...ไม่คุ้นเอาซะเลยรองผู้จัดการได้แค่ยักไหล่ “กลุ่มใหญ่ระดับบน ๆ เขาให้เราดูแลบัญชีบริษัทลูกบางตัวที่มีเรื่องกับสรรพากร เขาบอกแค่ว่า ‘อย่าไปถามว่าใครเซ็น’ เข้าไปเอาเอกสารแล้วก็กลับมา”“โอเคค่ะ” ฉันพยักหน้ารับโดยไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากว่าจะต้องออกไปทำธุระตามหน้าที่แค่นั้น⟡ณ ห้องประชุม ชั้นบนสุด
(พายุ: คืนนี้ไม่มีใครได้ใจไปง่าย ๆ)บนรูฟท็อปสุดชิคของชานน วิวัฒน์ แสงนีออนกระพริบสลับกับควันบุหรี่ในอากาศ แก้ววิสกี้ในมือสะท้อนแสงวิบวับ ผมยกแก้วขึ้นแตะริมฝีปากเบา ๆ คลี่ยิ้มจางๆ ยิ้มของคนที่รู้ว่า คืนนี้ทั้งเกมอยู่ในมือผมหลายคนอาจมองว่ามันคือเกม เพื่อเข้าใกล้ใครสักคน แต่สำหรับผม นี่ไม่ใช่เกม มันคือบททดสอบ กระดานหมากรุกที่ผมนั่งดูอยู่จากมุมสูงผมไม่ได้รอให้ใคร “ชนะใจ” ผมรอแค่คนที่ “ใช่” คนที่เดินผ่านไฟ ความลวง และแรงปรารถนา โดยไม่รู้เลยว่า...ตัวเองกำลังถูกจับตาอยู่ทุกฝีก้าว“คุณพายุคะ… ผู้หญิงที่โต๊ะมุมบาร์ ฝากเครื่องดื่มมาให้ค่ะ”เสียงบาร์เทนเดอร์สาวเอ่ยขึ้น ฝ่าเสียงเพลงเบา ๆ ผมเหลือบตามองไปตามปลายแก้วในมุมเงามืดนั้น แสงนีออนสีส้มสะท้อนกับเงาของเธอพอดี ผมดำขลับเคลียบ่า เดรสกำมะหยี่สีเลือดนกเน้นสัดส่วนชัดเจน ริมฝีปากแดงสดยกยิ้ม...แบบที่คนรู้เกมทุกตาเท่านั้นจะยิ้มได้ผมมองเธอด้วยแววตารู้ทัน จ้องลึกลงไปในแววตาและท่าทางที่เหมือนจะรู้ทุกอย่าง ก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ก้าวออกไปอย่างนักล่าที่กำลังเริ่มไล่ล่าผู้คนรอบตัวเบี่ยงหลบให้โดยอัตโนมัติ แรงดึงดูดของผมรุนแรงไม่แพ้ว
(ลินลี่: วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา)เริ่มต้นสัปดาห์ ด้วยความวุ่นวายที่เคยชินฉันก้าวลงจากรถเมล์หน้าตึกออฟฟิศ ก่อนเข้างานสิบห้านาทีพอดี รอบตัวเต็มไปด้วยผู้คนที่ดูเหมือนกำลังวิ่งแข่งกับเวลาแต่ไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าเส้นชัยอยู่ตรงไหน เมืองยังเคลื่อนไหวไม่หยุด เหมือนกลไกที่ถูกตั้งเวลาเอาไว้ ไม่มีปุ่มพักแต่ในขณะที่ทุกอย่างเร่งไปข้างหน้า ใจฉันกลับหยุดอยู่กับบางสิ่ง"ความรู้สึกจากคืนนั้น"…ถามว่าฉันได้ประสบการณ์มั้ย? — มาก สนุกมั้ย? — ใช่ แต่...มันมีบางคำที่ยังติดอยู่ในหัว…..ติดใจขึ้นมาละสิ?..ก็ไม่รู้สินะ หรือคงต้องไห้ทุกคนลองเดาดู ;)..“สวัสดี ลินลี่” เสียงพี่อุษาหัวหน้าฉัน พลางชูแก้วกาแฟไว้ระดับอก ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าเราสบตากันพอดีก้อง เพื่อนร่วมงานสายอารมณ์ดี ยกยิ้มมุมปาก ด้วยรอยยิ้มแบบเดิมที่ อบอุ่นและปลอดภัยเสมอ “วันนี้ดูสดใสนะ ลินลี่”ฉันยิ้มตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิดมาก ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ประจำ โต๊ะเดิม มุมเดิม ที่เต็มไปด้วยเอกสาร ใต้แว่นหนาฉันกวาดตามองรอบออฟฟิศ เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดเริ่มดังขึ้นเป็นจังหวะ กลิ่นกาแฟจาง ๆ ลอยมาปะปนกับแสงฟลูออเรสเซนต์ที่สะท้อนจากจอคอมฯ ที่นี่คือโ
สองวันผ่านไป... สายวันอาทิตย์ แสงแดดอุ่น ลอดผ่านผ้าม่านบางทาบพื้นห้อง บรรยากาศมันควรจะ ชิลล์ เหมือนเช้าวันหยุดทั่วไปใช่ไหม? แต่ไม่เลย... วันนี้ฉันไม่มีเวลามานอนตากแดดสวย ๆ จิบกาแฟเอ็นจอยกับวันหยุดเพราะตอนนี้ ฉันกำลังนั่งจิกหัวตัวเองอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ มือขยี้แชมพูใส่หัวแบบเอาเป็นเอาตาย ฟองฟูเต็มศีรษะ แชมพูเปลี่ยนสีผมไหลย้อยลงมาตามกรอบหน้า ตาแดง ๆ เพราะแสบ หรือเพราะสำนึกก็ไม่แน่ใจภารกิจหลักวันนี้คือ "กู้ลุคกลับมาจากความใจกล้าสุดฤทธิ์เมื่อสองวันก่อน" ให้ดูเนียนพอที่พ่อกับแม่จะไม่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “ลูก...ไปทำอะไรมา?”ทันใด เสียงกริ๊งหน้าห้องดังขึ้นเป๊ะเหมือนนาฬิกาจับเวลาติ๊ง ต๊อง !“เดี๋ยววว! มาแล้ว ๆๆ!” ฉันวิ่งพรวดทั้งที่หัวฟองยังฟูฟ่อง เปิดประตูให้แยมกับแพรวเพื่อนสาวสายแซ่บ สองนางยืนจ้องฉันตาโตแบบไม่ได้ตั้งตัวแยมเบิกตากว้าง เหมือนเห็นฉันเอาหัวไปจุ่มถังสี “แก...ทำไรกับหัววะ ลี่?”ฉันถอนหายใจยาว หน้าตาเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมา “พรุ่งนี้พ่อแม่จะมา…แกคิดว่าถ้าฉันยังหัวบลอนด์อยู่จะรอดไหมอะ?”“ ต้องรีเซ็ตลุคก่อนโดนสอบสวนยับนะ!”แพรวหัวเราะคิกๆ มือยกมือถือขึ้นตั้
ใช่แล้วค่ะ... ฉันเปลี่ยนหน้าจอคอมจากงบการเงินที่ตัวเลขยังขัดแย้งกันไปหมด ไม่ใช่เพราะสมการไม่สมดุล แต่เพราะสมองฉันมัน ‘ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว’มันมัวแต่ย้อนไปเมื่อคืน ภาพในหัววนซ้ำเหมือนวิดีโอที่กดรีเพลย์ ...เสียงหัวเราะต่ำ ๆ นั่น ...แววตาเจ้าเล่ห์แบบที่ทำให้ฉันอยากหันหน้าหนีแต่ขากลับไม่ยอมก้าว ...และ ‘สัมผัส’ ที่มันดันจุดอะไรบางอย่างในตัวฉันขึ้นมาโดยไม่ขออนุญาตฉันถอนหายใจ แต่ดวงตาฉันกำลังจ้อง Google เหมือนเป็นช่องทางสืบราชการลับ ฉันแปลงนิ้วตัวเองให้เป็นสายสืบพิเศษทันที มือก็ค่อย ๆ พิมพ์ลงในช่องค้นหา... “พายุ”ชื่อเดียวที่ฉันมี ชื่อเดียว ที่มันดังก้องในหัวตลอดเช้านี้...แล้วฉันก็นั่งค้างอยู่ตรงนั้น นิ้วชะงักกลางแป้นพิมพ์ สายตาจ้องจอเหมือนคนโดนสาปเพราะฉันไม่รู้จะต่อยังไงต่อ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่รู้ว่ากำลังจะเจออะไร...หรือว่าอยากเจออะไรมีแค่เสียงในหัวที่ดังก้องอยู่เงียบ ๆ "นี่ฉัน...กำลังจะเริ่มอะไร ที่มันควรเริ่มหรือเปล่านะ?"…แต่ในอีกมุมหนึ่งของเมือง— ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทน้ำเงินเข้ม ยืนนิ่งอยู่กลางเวทีแสงไฟสาดสว่าง แสงแฟลชจากกล้องรอบตัวกะพริบรัวราวกับสายฟ้าในพายุ แ