ซัน หรือ นายอาทิตย์ ทอแสง ชายหนุ่มหัวไฟสีส้มอิฐ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน คิ้วเข้มพาดเฉียง ใบหน้าเรียวได้รูป พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม ขี้เล่น ช่างแกล้ง หากแต่ใครจะรู้ ความคิดที่มีอยู่ภายในจิตใจ.... เบส หรือ คุณหนูเบส นายรพีพัฒน์ ราชบดินทร์ หนุ่มหล่อมาดนิ่ง เส้นผมสีดำสนิท นัยน์ตาเย็นชา แววตาที่เย็นชานั้นมีความลับที่ซุกซ่อนอยู่ ที่เก็บความรู้สึกไว้ภายในใจเนินนานถึง 12 ปี แต่ก็ไม่คิดจะบอกออกไปเพราะหวั่นเกรงว่าจะทำลายความสัมพันธ์!!
더 보기เพี้ยะ!
“ถ้าไม่รักจะมาคบกันทำไมว่ะ!!!” ใบหน้าหล่อร้าย มาดนิ่ง หันสะบัดตามแรงตบกระทบ จนใบหน้าขาวๆ นั้นขึ้นรอยฝ่ามือชัดเจน เขาทำเพียงมองตอบกลับไปด้วยใบหน้านิ่งๆ เฉยชา และไร้ความรู้สึก แตกต่างจากหญิงสาวตรงหน้าที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มือกำแน่น ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า มองจ้องอย่างเจ็บแค้นและโกรธเคือง
“เสียชาติเกิด!! ไอ้หน้าตัวเมีย!!” อีกฝ่าตะโกนด่าดังลั่นอีกครั้ง ซึ่งเขาเองก็ทำเพียงยืนมองอยู่เฉยๆ ยอมรับคำกล่าวหา ไม่เถียงอะไรออกไปสักคำ
“จบแล้วใช่ไหม กูจะได้ไปสักที” พูดพลางหันหลัง ก้าวเดินจากมา ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ต่างจากคนที่ด้านหลังกรีดร้องเป็นเจ้าเข้า
“ไอ้เบส!! กูขอให้มึงอกหัก!! ไม่สมหวังในความรัก!!! น้ำหน้าอย่างมึงเขาไม่เอามึงหรอก!! อีวิปริต!! อีผิดเพศ!!! ขอให้มึงตกนรกทั้งเป็น!!! กรี้ดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” เขาเดินก้าวจากมาช้าๆ พร้อมๆ กับคิดในใจไปด้วยว่า
ไม่ต้องแช่งกูหรอก แค่ตอนนี้กูก็ตกอยู่ในสถานะนั้นแล้ว....
ย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีก่อน.....
“ไอ้อ้วน!!! ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ไอ้ลูกหมู!!! ไอ้ขี้มูกกรัง!!” เด็กชายตัวน้อยนั่งลงกับพื้นทรายในสวนสาธารณะ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับที่ ยกแขนป้อมๆ นั้นขึ้นปาดน้ำตาตัวเองปอยๆ
“ฮึก! คุณเบสไม่อ้วน!! คุณป๊าบอกว่าคุณเบสเจ้าเนื้อ!! ไม่ใช่อ้วนนะ!!!” เด็กน้อยร้องออกมา มองจ้องหน้าของเด็กผู้ชายที่อายุไม่ต่างกันเท่าไหร่นักด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา กัดริมฝีปากเอาไว้แน่น
“ฮ่าๆ อีลูกคุณหนู ที่นี่ไม่ต้อนรับ!! ไปเล่นคนเดียวนู้นไป!!” เด็กชายที่เป็นหัวโจกของกลุ่ม เดินเข้ามาผลักเด็กชายตัวกลมจนล้มกลิ้งไปบนพื้นทราย เส้นผมสีดำมีฝุ่นทรายติดอยู่ เด็กน้อยเองก็ผุดตัวลุกขึ้นนั่งในทันทีเช่นกัน สูดน้ำมูกรุนแรง ก่อนจะคลานเข้าไปหา
“ให้คุณเบสเล่นด้วยนะ คุณเบสไม่มีเพื่อน นะๆ” เหตุเพราะเขาพึ่งจะย้ายบ้านมาอยู่แถวนี้ได้ไม่นาน สภาพแวดล้อมที่แตกต่างทำให้ไม่คุ้นชิน ทำให้เด็กน้อยที่เติบโตในเขตเมืองหนาวตั้งแต่เกิด จนตอนนี้ก็อายุ 7 ขวบ พึ่งจะได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอน ใช่ เขาเกิดที่เยอรมัน เป็นคนเยอรมัน สัญชาติเยอรมัน และพึ่งจะย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศไทยตามครอบครัวมา แม้ว่าเขาจะเป็นคนไทยแท้ๆ ไม่มีสายเลือดต่างชาติเจือปน แต่เพราะหน้าที่การงานของทั้งพ่อและแม่ ทำให้ต้องไปอยู่ต่างประเทศ และพอหมดสัญญาจ้าง พ่อและแม่ของเขาก็เลือกที่จะย้ายกลับมาอยู่ที่ไทย เริ่มก่อตั้งบริษัทของตัวเอง ทำให้เด็กน้อยตัวกลมไม่มีเพื่อนเลยสักคน และแอบหนีพ่อแม่มาเล่นคนเดียวที่สวนสาธารณะแห่งนี้ เอาจริงๆ ไม่ต้องหนีหรอ... เดินออกมาให้เห็นโต้งๆ เลยนี่ละ แต่ถามว่าสนใจไหม? ก็ไม่น่ะสิ เพราะมีงานที่รัดตัวมากกว่าจะมาสนใจลูกชายเพียงคนเดียวนี่ยังไงละ
“ไม่เอา!! ไม่เล่นด้วยหรอ อ้วนขนาดนี้แค่เดินยังหอบเลยมั้ง!! ไม่ให้เล่น!!!”
“ฮึก ให้คุณเบส ฮึก เล่นด้วยนะ”
“พวกมึงดูดิ คำพูดคำจา อีตุ๊ด!”
“ฮึก ฮึก” เด็กน้อยตัวกลมได้แต่นั่งสะอึกสะอื้นอยู่ที่พื้น ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเดินเข้ามาใกล้ เทน้ำหวานที่ถืออยู่ในมือรินรดบนหัวของเขา จนเลอะเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว เสื้อผ้าที่เคยสะอาดสะอ้านมีคราบน้ำเหนียวๆ สีเขียวปรากฏ
“อี๋ สกปรก ชิ้วๆ ๆ ๆ ไปไกลๆ เลยไป๊” เด็กคนที่เป็นคนเทน้ำหวานใส่เขาเองกับมือแกล้งพูดขึ้น ทำให้เด็กๆ คนอื่นพากันหัวเราะร่าอย่างสนุกสนาน ต่างจากเขาที่น้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“ฮึก ฮืออออ ฮึก ฮึก” ในตอนนั้นเองที่มีคนในกลุ่มเด็กๆ นั้น เดินเข้ามาใกล้ ฝ่ามือของเด็กคนนั้น จับกระชากตัวเขาให้ลุกขึ้นอย่างรุนแรง
“ฮืออออ ไปไหน ไม่ไป ไม่ไปนะ คุณเบสไม่ไป” เขาพยายามร้องเรียก และไขว่คว้าสิ่งของตามทาง รวมถึงพยายามจะจับมือพวกเด็กๆ ที่ยืนล้อมอยู่ แต่ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือเขาสักคน กลับมองการกระทำของเพื่อนตัวเองนิ่งๆ อย่างสนอกสนใจ จนเด็กคนนั้นลากเขามาหยุดอยู่ที่ข้างสระน้ำและ.....
ตู้ม!!!
เขาถูกผลักให้ตกลงไปในสระน้ำที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะพยายามตะเกียกตะกายให้โผล่พ้นจากน้ำ ก่อนที่จะมีอีกเสียงตามมาติดๆ
ตู้ม!!!!
แขนอวบๆ ของเด็กชายตัวจ้อย ถูกจับดึง แล้วลากขึ้นไปที่ริมสระน้ำ ทำให้เขาสำลักน้ำออกมาแล้วร้องไห้จ้าทันที
“ฮึกๆ แงงงงงงง ฮือออออ แงงงง” เขาร้องไห้ไป ปาดน้ำตาของตัวเองไป ก่อนจะได้ยินเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านข้าง
“เงียบน่า ก็ลงไปช่วยแล้วไง” เสียงนั้นทำให้เขาหันหน้าไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นเด็กผู้ชายคนเดียวกันกับที่ลากเขามา และผลักเขาตกน้ำอย่างไม่ปรานี และก็เป็นคนเดียวกันนี้ที่กระโดดน้ำลงไปช่วยเขาขึ้นมาเช่นกัน ทำให้เขาเงียบเสียงที่กำลังแหกปากร้องลงอย่างุนงง ก่อนที่เด็กชายคนข้างๆ จะยันตัวขึ้น แล้วฉุดให้เด็กชายตัวกลมลุกตาม เดินจับมือพากลับบ้าน ไม่สนใจเด็กๆ ที่รายล้อมอยู่สักนิด
“ไอ้ซัน จะไปไหนอะ” เด็กคนที่ว่าหยุดชะงัก หันกลับมาบอกพวกเพื่อนๆ ของตัวเอง
“พวกมึงไม่อยากมีเขาเป็นเพื่อน แต่กูอยาก จบนะ” พูดพลางกอดคอเด็กชายตัวกลมจนไขมันกระเพื่อมแล้วออกแรงลากให้เดินตามกันไป เด็กชายตัวกลมก็เดินตามไปอย่างงงๆ จนเมื่อถูกพามาที่บ้านหลังหนึ่ง ขนาดกลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่ ดูอบอุ่นแตกต่างจากบ้านของเขาลิบลับ
“อ้อ กูชื่อซันนะ ส่วนมึงก็เบสใช่ไหม กูขอละ เลิกเรียกตัวเองว่าคุณเบสเถอะ สาวแตกฉิบ แบบนี้หาเพื่อนไม่ได้หรอก” พูดจบก็เดินนำเข้าบ้าน ก่อนจะได้ยินเสียงหวีดร้องของคนเป็นแม่ดังลอยออกมา
“ซัน! ทำไมตัวเปียกแบบนี้ละลูก ไปทำอะไรมา! แล้ว เจ้าหนูนี่เป็นใคร” คนพูดจับลูกตัวเองหมุนซ้ายหมุนขวา ก่อนจะมองเลยมาที่เขาซึ่งกำลังกะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจสถานการณ์ซักเท่าไหร่
“เพื่อนใหม่ มันโดนแกล้งอะ ก็เลยพาไปล้างตัว” คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะถามอย่างงงๆ
“แล้วล้างตัวยังไง ทำไมถึงเปียกแบบนี้”
“พาลงน้ำ” คนตอบก็ตอบหน้าซื่อ แต่ทำให้คนเป็นแม่ตาโต
“ลงน้ำที่ไหน!”
“ที่สวน”
“ซัน!! เกิดเขาจมน้ำตายขึ้นมาทำไง แม่ไม่มีปัญญาไปทำใช้คืนเขาหรอกนะ ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ แล้วนี่พ่อแม่เขารู้เรื่องไหมเนี้ย!!”
“แม่ หนวกหู” เด็กที่ชื่อซันยกมือขึ้น ทำท่าปิดหูของตัวเอง เหมือนกับว่าเสียงของแม่ตัวเองน่ารำคาญเสียเต็มประดา ก่อนจะร้องบอกออกมาอีกครั้ง
“ซันก็ไปช่วยมันแล้วไงแม่ ไม่เห็นจะตายสักหน่อย” พูดพลางยักไหล่ คนเป็นแม่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง
“ไป พาเพื่อนไปอาบน้ำแต่งตัวไป เราก็ด้วย ซนนัก” ดังนั้นแล้วเขาจึงถูกลากขึ้นมาที่ชั้นบน เข้าห้องๆ หนึ่ง ซึ่งมีเตียงเดี่ยวลายอุนตร้าแมน กับของเล่นจำนวนหนึ่งกองไว้ที่มุมห้อง มีโต๊ะทำการบ้านพร้อมกับโคมไฟ ถูกจัดเรียงอย่างลวกๆ เอาจริงๆ ก็เรียกได้ว่า รก....
เจ้าของห้องทำการดุนดันหลังของเขาให้เดินเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมด แล้วหันมาบอกเขาด้วย
“มึงก็ถอดดิ ไม่คันไง” ว่าจบก็เดินเข้าไปใต้ฝักบัว แล้วเปิดน้ำออกจนสุด เริ่มต้นอาบน้ำ เขาเองก็ทำตามอย่างว่าง่าย ถอดเสื้อผ้าออกจนหมด แล้วจึงพาร่างตุ้ยนุ้ยไปยืนอยู่ใต้ฝักบัว แย่งกันอาบน้ำถูสบู่ เล่นแชมพูสระผมกันไปมา จนเมื่อแม่ของอีกฝ่ายมาตามและพบว่าห้องน้ำเต็มไปด้วยฟองลื่นๆ จึงถูกดุไปตามระเบียบ แล้วจึงรีบเร่งอาบน้ำอย่างจริงๆ จังๆ และปัญหาก็มาเยือนอีกครั้งตอนที่ต้องใส่เสื้อผ้า
“กูว่านะ มึงต้องลดๆ บ้างนะของกินน่ะ” อีกฝ่ายนั่งเท้าค้างมองอยู่กับพื้นห้อง เมื่อตอนนี้เด็กชายตัวกลมสวมใส่เสื้อผ้าของเขาซึ่งแทบจะปริขาด เสื้อเปิดพุงออกครึ่งหนึ่ง ปิดได้เพียงยอดอกเล็กๆ ทั้งสองข้าง ยาวลงมาเหนือสะดือเล็กน้อย ส่วนกางเกงนั้น.... ติดอยู่ที่ต้นขา ไม่สามารถสวมใส่เข้าไปได้
“ซัน คุณเบสอึดอัด” เขาร้องบอกเพื่อนหมาดๆ ของตัวเองเบาๆ ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ เจ้าของห้องถึงได้ไปรื้อเสื้อผ้าอีกครั้ง ก่อนจะสั่งให้เขาถอดเสื้อผ้าออก แล้วให้ใส่ผ้าขนหนูแทน พาลงไปที่ด้านล่างของบ้าน
“ตายแล้ว ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าละลูก!”
“มันอ้วนอะแม่ ซันไม่มีชุด”
“อ่อ” คนเป็นแม่ถึงกับอึ้งไป เมื่อมองขนาดตัวของลูกชาย กับเพื่อนใหม่ที่ถูกพามา เมื่อลูกชายของเธอนั้นออกจะล่ำๆ ไปสักหน่อย ตัวก็สูงกว่ามาตรฐานเล็กน้อย แถมยังผอมเพรียว ปราดเปรียวและว่องไว แต่เพื่อนที่ถูกพามานั้น ดวงตาเล็กแคบ ตาตี่ แก้มยุ้ยเป็นพวง แขนเป็นปล้องๆ ไหนจะพุงน้อยๆ ที่กลมโตจนเป็นชั้น
ในตอนที่ทุกคนกำลังคิดหาทางหาเสื้อผ้าให้เด็กชายตัวกลมได้สวมใส่ เสียงออดก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน เรียกความสนใจของคนทั้งหมดให้หันไปมอง ก่อนจะพากันเดินออกไปดู ส่วนเขาเองก็โดนลากออกไปด้วยเช่นกัน โดยเด็กชายที่ชื่อว่าซันนี่เอง
“ขอโทษนะครับ เห็นคุณหนูเบสไหมครับ พิกัดบอกว่าอยู่ที่บ้านหลังนี้”
“อ่อ คนนี้หรอคะ” เขากะพริบตาปริบๆ เมื่อแม่ของเพื่อนผายมือมาทางเขา ทำให้เห็นคนสนิทที่ดูแลเขามาตั้งแต่เล็กๆ ในชุดสูทสีดำ รถคันโก้ที่จอดนิ่งสนิทอยู่ ก่อนจะตอบรับเบาๆ
“ครับ คุณหนูเบสครับ คุณท่านแจ้งว่าให้แต่งตัวเป็นการด่วนครับ คุณท่านจะพาออกงานคืนนี้” ดังนั้นแล้วเขาจึงพยักหน้ารับน้อยๆ หันไปยกมือไหว้สวัสดีแม่ของเพื่อน ไม่ลืมที่จะบอกลาเพื่อนใหม่
“ไปก่อนนะ เดี๋ยวว่างๆ จะมาหา”
“เออ” อีกฝ่ายตอบรับกลับมาเบาๆ ก่อนจะร้องเรียกออกมาอีกครั้ง
“เดี๋ยว”
“?” เขาหันกลับไปมองอย่างสงสัย ก่อนที่จะถูกกระตุกผ้าเช็ดตัวลายอุนตร้าแมนออกจากเอวหนา เปิดเผยเรือนร่างเปลือยเปล่าล่อนจ้อนที่หน้าบ้าน ทำให้เขากะพริบตาปริบๆ ด้วยความอึ้ง ไม่ต่างจากแม่ของเพื่อนสักเท่าไหร่ที่ยกมือทาบอก อ้าปากเหวอ
“นี่ผ้าโปรดกู” ในขณะที่ยืนอึ้งอยู่นั้น เสื้อสูทสีดำก็ถูกสวมทับลงมาแทบจะทันที ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะถูกยกขึ้น ทำให้เขาได้สติคืนมา หันไปร้องบอกคนสนิทเบาๆ
“เสื้อผ้าน้องเบสอยู่ในบ้าน”
“เอาไว้เดี๋ยวฉันซักให้ก็ได้ค่ะ ไว้น้องเบสมาเมื่อไหร่ค่อยมาเอาไปนะลูก” เขาทำท่าคิดนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วหันมาสนใจพี่เลี้ยงที่ลมหายใจหอบหน่อยๆ
“พี่คม เป็นอะไรครับ”
“ปะ เปล่าครับคุณหนูเบส กลับกันเถอะครับ” แม้คนพูดจะตอบปฏิเสธ แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าแขนที่กำลังโอบอุ้มเขาอยู่สั่นน้อยๆ ลมหายใจหอบแรงขึ้น และเมื่อเขาถูกวางให้นั่งลงที่เบาะเรียบร้อย พี่เลี้ยงคนสนิทก็ค่อยๆ คืนสู่สภาพเดิม ไม่มีอาการตัวสั่นแขนสั่น หรือลมหายใจหอบกระชั้นออกมาให้ได้ยิน
เขานั่งมองรถที่เคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านหลังขนาดกลางนั้นช้าๆ ดวงตามองจ้องเพื่อนคนแรกของเขาในประเทศไทย ที่กำลังถือผ้าขนหนูลายอุนตร้าแมนเอาไว้แน่น จนหายออกไปจากสายตา เมื่อหันกลับมาก็พบว่าถึงบ้านของตัวเองพอดี บ้านของเขาอยู่ในสุด ลึกสุด ท้ายซอย ในขณะที่บ้านของเพื่อนใหม่ อยู่กลางซอยค่อนไปทางด้านหน้า และมีสวนสาธารณะอยู่ตรงกลาง เพื่อให้สมาชิกลูกบ้านมาพักผ่อนหย่อนใจ
และนั่นเป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นความสัมพันธ์ของเพื่อนที่คิดไม่ซื่อเช่นเขา.....
“ไงมึง โดนมาอีกแล้วอะดิ”
“เออ” เขาตอบรับเพื่อนสนิทเพียงเบาๆ มองเพื่อนของเขากับหญิงสาวอีกคนด้วยแววตาที่อ่านได้ยาก เมื่อคนๆ นั้นกำลังกอดคอแฟนสาว แล้วยื่นหน้าไปหอมแก้ม
“ไงพลอย”
“หวัดดีเบส” เขาทักแฟนสาวของเพื่อนสนิทด้วยความรู้สึกที่เจ็บอยู่ลึกๆ ข้างใน แต่ก็แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้รู้สึกอะไร ก่อนจะหันไปสนใจเพื่อนสนิทอีกครั้ง
“แล้วนี่จะพากันไปไหน” เขาถามพลางชี้นิ้วไปที่กระเป๋าเป้ใบโตของทั้งคู่ เพื่อนเขาก็กระตุกยิ้มมุมปากออกมานิดๆ แววตาขี้เล่น แล้วเอ่ยตอบ
“ไปเสม็ด จะพาพลอยไปเสร็จว่ะ ฮ่าๆ ๆ” จบคำที่ว่า สาวเจ้าก็ฟาดเข้าที่อกดัง อัก! เขาก็แกล้งทำเป็นหัวเราะขบขัน หากแต่ในใจกลับร่ำไห้ออกมาเบาๆ เพราะรู้ว่าแม้มันจะแกล้งพูดเล่น แต่ในความเป็นจริงคือเรื่องจริงล้วนๆ และอดที่จะมองหญิงสาวด้วยความเห็นใจไม่ได้ เมื่อรับรู้ว่าพอกลับมาแล้วอีกคนก็คงจะถูกเขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดี
“เออ ขอให้สนุกแล้วกัน” เขาตอบรับกลับไปเพียงแค่นั้น แล้วเดินมุ่งตรงไปที่รถคันงามที่จอดรออยู่ พอปิดประตูรถได้ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เงยหน้าพิงไปกับเบาะรถ สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยปาก
“ออกรถ” เขายกยิ้มเศร้าส่งให้เพื่อนสนิท ที่คงไม่มีทางได้มองเห็น ก่อนจะถอนสายตากลับมา มองตรงไปข้างหน้า หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู นิ้วมือเลื่อนไปช้าๆ ในแต่ละรูปภาพในความทรงจำ คิดไปถึงคำพูดของแฟนเก่าหมาดๆ ที่พึ่งจะฝากฝังรอยนิ้วทิ้งเอาไว้
“ไม่ต้องแช่งกูหรอก แค่นี้กูก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว.....”
หลังจากนั่งรอฟังผลสักพักใหญ่ ผมก็ผ่านการคัดเลือกในรอบ 100 คน จะทำการแข่งขันรอบละ 10 คน และจะเลือกออกมา 5 คน ไม่จำกัดว่าต้องเป็นเพลงภาษาอะไร ผมเดินออกจากห้องฟังผล แล้วมุ่งตรงไปหาเพื่อนๆ ที่รออยู่ มีไม่กี่คนหรอกครับ ไอ้นายกับไอ้วุฒิ แค่ 2 คน เพราะไอ้เพชรมันต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก“เป็นไงบ้างมึง”“อืม ผ่านรอบ 100 คน รอแข่งอีกทีอาทิตย์หน้า” เพื่อนทั้งสองคนส่งยิ้มให้ ตบหลังตบไหล่ให้กำลังใจ พร้อมกับร้องบอกไปพลาง“เรื่องตามหาไอ้เบส เดี๋ยวพวกกูช่วยต่อเอง นี่นะ ขนาดให้พี่เนมช่วย ป๊าไอ้เบสยังไม่ยอมบอกอะไรเลย นอกจากว่าส่งลูกชายไปฝึกงานที่ต่างประเทศเฉยๆ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปเฉยเลย”“พี่เนมเขาทำด้านยานยนต์กับโรงแรม แล้วก็อาหาร มันจะไปเกี่ยวข้องกับเครื่องสำอางได้ไงว่ะ” ไอ้วุฒิถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่นัก“ก็บอกว่าจะเปิดร้านขายของใต้โรงแรม จะมีจัดตั้งโซนช้อปปิ้งมอลล์เล็กๆ ก็เลยมาถามดูว่าจะลงของไหม แค่นั้นแหละ” ผมพยักหน้ารับ พร้อมกับร้องบอก“ฝากขอบคุณพี่เนมให้ด้วยนะ”
แม้จะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ ก็ต้องยอมรับ ความรักที่ผมมีต่อเขามันมากเกินกว่าจะละทิ้งช่องทางที่ทำให้ผมได้เขาคืนมา ยอมโยนทิ้งความตั้งใจของตัวเอง แล้วไล่ตามสิ่งที่ตัวเองปฏิเสธมาตลอด ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อเขา.....ทำให้ตอนนี้ผมมายืนอยู่หน้าตึกๆ หนึ่งภายในประเทศไทย บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งที่มีจุดเด่นในด้านดนตรีและการแสดง เป็นผู้จัดการแข่งขันร้องเพลงในระดับนานาชาติ โดยจะทำการคัดเลือกภายในประเทศก่อนจนได้ที่ 1 แล้วถึงจะขยับไปที่นานาชาติต่ออีกทีตอนนี้ผมนั่งกรอกข้อมูลจนเสร็จเรียบร้อยดี หลังส่งใบสมัครแล้วจึงกลับคอนโด ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะทำ แม้ว่าจะมีแมวมองมาทาบทามให้ไปทำงานด้วย เพราะหวงแหนช่วงเวลาที่เราจะได้ใช้ชีวิตด้วยกัน จึงพยายามออกห่างจากสิ่งเหล่านี้ แม้ว่าจะชอบร้องเพลงมากก็ตาม แต่ตอนนี้ผมต้องยอมละทิ้งสิ่งเหล่านั้นไปเมื่อเขาไม่ได้ยืนข้างกายผมแต่เดิมผมมีความฝันอยากที่จะเป็นนักร้อง จึงคิดที่จะเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ในตอนแรกเริ่มที่ได้เรียน แต่ก็ยอมละทิ้งความฝันนั้นไปเพื่อเข้าไปเรียนในคณะเดียวกันกับเขา และเลือกที่จะปฏิเสธอาชีพที่
“....”“....”“....”“....”ตอนนี้พวกเรา 4 คน อันได้แก่ ผม แม่ พี่ท็อป และเชฟ กำลังนั่งมองหน้ากันไปมาในความเงียบ มันเงียบจนน่าอึดอัด ได้แต่มองกันไปมาภายในห้องนั่งเล่นบ้านของผมเอง ใจผมอยากจะจับมือแม่พาลุกขึ้นไปคุยกันให้รู้เรื่องเสียตอนนี้ หากแต่แม่กลับจับกุมกระชับฝ่ามือของผมเอาไว้แน่น เหมือนต้องการกำลังใจ ทำให้ผมไม่สามารถทำได้ดั่งใจอยาก“พ่อ.... กำลังมาครับ” แม่นั่งมองหน้าพี่ท็อปอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับว่ามองหาความคล้ายคลึงและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคนตรงหน้า เมื่อได้รับข่าวสารแม่จึงพยักหน้ารับน้อยๆ หลับตาลงแล้วผ่อนลมหายใจ ก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง“กิต... สบายดีไหมลูก” ในตอนที่ถาม แม่กุมกระชับมือเอาไว้แน่น เหมือนกับพยายามข่มกลั้นอารมณ์ เมื่อยามที่ต้องพูดคุยกับอีกฝ่าย บรรยากาศชวนอึดอัดเป็นที่สุด“ครับ สบายดีครับ” ที่มือของพี่ท็อปเองก็มีมือของเชฟกุมกระชับไว้ ให้กำลังคนรักของตนเช่นกัน เชฟทำเพียงนั่งนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่แสดงความห่วงใยออ
ผมนั่งอยู่ที่หน้าบ้านของเขาเป็นเวลานาน จนกระทั่งดึกดื่นค่อนคืน แม่ถึงได้ตามมาพบเจอ และลากผมให้กลับบ้านเพื่อนอนพักผ่อน“ซัน แม่ขอนะลูก อย่าทำแบบนี้อีก อย่าทำร้ายตัวเอง ใจแม่เจ็บปวดตามลูกไปด้วย”“ผมขอโทษครับแม่” แม้ว่าเวลานี้จะล่วงเข้าวันใหม่มาหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม แต่แม่ก็ยังคงไม่ไปไหน นั่งอยู่ข้างๆ กัน ผมเองก็ดวงตาเหม่อลอย มองเพดานห้องของตัวเอง“เขา...”“....”“ป๊าเขารู้เรื่องของเรา... ก็เลยส่งเขาไปอยู่ที่อื่นแล้ว... ซันจะไปตามหาเขาที่ไหนดีแม่ ซันไม่รู้ว่าเขาถูกส่งไปที่ไหน เหมือนกับเขาหายเข้าไปในกลีบเมฆ ม่านหมอกคอยช่วยบังเขาจากสายตาของผม ซันไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน....” ผมรำพึงรำพันออกมาอย่างทรมานใจ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไร เพราะแบบนี้ใช่ไหมถึงได้บอกเลิกกัน เพราะไม่อยากให้รอ เลิกกัน ทั้งๆ ที่ยังรักอยู่....“ฮึก”“นอนพักซะลูกนะ แม่จะนอนกับหนูด้วยคืนนี้” แม่ของผมพูดพร้อมกับเอนตัวลงนอนข้างๆ ผมเองก็ขยับเข้าไป
Sun Partไม่เคยคิด.... ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ ทั้งๆ ที่ขอเอาไว้แล้วแท้ๆ เคยขอเอาไว้แล้วไม่ใช่หรอ.... คำๆ นั้น คำเลวร้ายแบบนั้น อย่าพูดมันออกมาอีก.....“ที่รัก.... เราเลิกกันนะ”ผมได้แต่นิ่งอึ้งอยู่กับที่เมื่อได้ยินคนรักพูดคำๆ นั้นออกมาทั้งน้ำตา คนตรงหน้าพูดอะไรออกมาอีกหลายอย่างแต่มันไม่เข้าหูของผมเลยแม้แต่น้อย ดวงตาฝ้าฟางและเสียงที่ได้ยินก็อื้ออึง สมองไร้การตอบสนองใดๆ ดวงใจบีบรัดแน่นจนเจ็บปวดไปหมด เกิดคำถามขึ้นมามากมายภายในหัว ทำไม? เกิดอะไรขึ้น? เพราะอะไร? ทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนี้ ทำไมถึงทิ้งผมได้ลง.....ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ กว่าจะรู้ตัวห้องทั้งห้องก็เงียบสงัด มีเพียงเสียงจากทีวีที่ยังคงเล่นวนเพลงเดิมอยู่ซ้ำๆ ไม่รู้ว่าผมยืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่ สิ่งที่รับรู้ได้มีเพียงคนรักของผม เลือกที่จะเดินจากผมไป.... ผมยกมือขึ้นแตะริมฝีปาก เหมือนกับว่าเคยได้รับสัมผัสนุ่มหยุ่นเมื่อนานมาแล้ว ผมเงยหน้ามองห้องไปรอบๆ กวาดสายตาออกไปทั่วบริเวณ เจ็บปวดไปถึง
“โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์” ป๊าพูดพร้อมกับแบมือมาตรงหน้า ทำให้ผมเข้าใจได้ทันที หยิบยื่นให้โดยไม่ได้พูดคำใดออกมา หลังจากที่ป๊ารับไปแล้วก็เอาของใหม่ที่ไม่มีข้อมูลใดๆ เลยให้ผม เมื่อได้รับมาก็เก็บใส่กระเป๋าอย่างไม่คิดจะตรวจสอบตอนนี้พวกเราทั้ง 4 คน อันประกอบไปด้วย ป๊า ม๊า พี่เมธ และผม มายืนอยู่ที่สนามบินแห่งใหญ่ของประเทศ เพื่อรอขึ้นเครื่องเช็คอินในเวลา 5 ทุ่มครึ่ง และตอนนี้มันก็จวนเจียนจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว เพราะผมพึ่งจะมาถึง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ เหลือเพียงแค่ผมเข้าเช็คอินเท่านั้น“ม๊า พี่คมละ” ผมเอ่ยถามม๊าด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอ่อนล้า ตั้งแต่เกิดเรื่องผมยังไม่เจอหน้าพี่คมเลย มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้…..“ฉันมีงานให้มันทำ” ป๊าของผมเป็นคนร้องตอบออกมาเอง ในขณะที่ผมนั้นไม่สนใจแม้แต่จะหันหน้าไปมอง เดินเข้าไปกอดม๊าเอาไว้แน่นๆ“ฮึก ผมไปนะม๊า และจะติดต่อมาบ่อยๆ นะ” พูดพร้อมกอดม๊าแน่นขึ้นอีกนิด“ไม่ต้องห่วงนะเบส ม๊าดูแลตัวเองได้”“ผมฝากม๊าดู ฮึก ไอ้ซันให
댓글