ลิขิตรัก 6
สัตว์อสูร
บรรยาย: จิวฮวา
“ตาเจ้าแล้วสาวน้อย…” ชายด้านข้างเอ่ยบอกข้าหลังจากการต่อสู้เมื่อกี้จบลง นับเป็นการประลองที่น่ายกย่องยิ่งนัก ชายผู้นั้นต่อสู้กระทั่งสู้ต่อไม่ไหว ร่างกายสะบักสะบอม ขณะที่ร่างของเขากำลังถูกยกออกไป สายตาสีเทาหม่นหันมาสบตาข้าโดยบังเอิญ ดวงตานั้นสร้างความแปลกใจให้แก่นางจนอดขมวดคิ้วไม่ได้
ดวงตาของคนสิ้นหวัง…
“หมายเลข 13” เสียงประกาศลั่นอีกรอบทำให้ข้าตื่นจากภวังค์ ลุกขึ้นยืนอย่างจำใจ
“ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ไหวหันมามองข้าทันที” ชายชุดเหลืองบอก ข้าใช้หางตาไปมองเห็นแต่ดวงตาระยิบระยับคล้ายกำลังรอชมเรื่องน่าตื่นเต้น หากห่วงใยกันจริง ทำไมไม่เอาป้ายเฮงซวยนี่ไปถือแล้วสู้แทนข้าเองเลยล่ะ
“อะ เอ่อ เจ้าหมายเลข 13 ใช่หรือไม่” ผู้ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้ตัดสินเอ่ยถามข้าคล้ายไม่แน่ใจตอนที่ข้าเดินออกมาด้านหน้าลานประลอง
“ใช่”
ฮือฮา
เสียงตกใจจากผู้คนดังขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็ว่าข้าบ้าที่เอาชีวิตตัวเองมาทิ้งไว้ที่นี่ บ้างก็ว่าสติฟั่นเฟือน เสียงซุบซิบจากผู้คนในห้องโถงดังจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนข้าเริ่มรู้สึกลำคาน
“อะแฮ่ม ๆ เนื่องจากในลานประลองของเราไม่มีกฎห้ามสตรีต่อสู้ ฉะนั้นเจ้าเข้าร่วมลานประลองได้ !!” เสียงประกาศจากชายคนเดิม นั่นทำให้เสียงซุบซิบเมื่อสักครู่หยุดลง แต่ก็ยังได้ยินคำดูถูกตามสายลม
ข้าเดินมาตรงกลางลานประลองกะจะไม่ต่อสู้ แค่หลบและแสร้งบาดเจ็บแค่นี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา ข้าคิดก่อนจะมองไปด้านหน้าตรงประตูเหล็ก ต้องบอกว่าแค่ประตูก็ใหญ่กว่าตัวข้าสักสิบเท่าได้ ประตูเปิดออกเห็นสัตว์อสูรด้านใน
นี่ไม่ใช่ตัวเมื่อกี้
กรรภ์ ! มันขู่ดังลั่น
เสียงพูดคุยในตอนแรกเงียบกริบในทันที ข้าหันไปมองรอบๆบนแท่นคนดู ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ บางคนสั่นด้วยความกลัว ดูเหมือนมันจะทำให้คนในห้องนี้กลัวไม่มากก็น้อยล่ะซินะ
รูปร่างของมันใหญ่โต สูงกว่าสักสามสี่เท่าได้ ลำตัวมีขนปกคลุม ขนสีเทาฟ้า ดวงตาสีแดงฉานดูดุร้าย มีเขี้ยวสองข้างไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันแหลมคมมากแค่ไหน ดูไปดูมาคล้ายหมาป่าหรือจิ้งจอกเหมือนกันนะ
ครืดด ครืดด
เสียงโซ่ที่ผูกคอของเจ้าสัตว์อสูรกระทบพื้นทำให้ข้าหรี่ตามอง คอเจ้านี่เป็นแผลเหมือนโดนโซ่บาดขนาดใหญ่ ให้เดาคงมาจากที่มันพยายามจะหนีหรือขัดขืน มันค่อยๆเดินตรงมาที่ข้า แววตาหิวกระหายคล้ายกำลังจ้องตะครุบเหยื่อ แต่ทำไมข้ากลับมองว่ามันกำลังพยายามแสดงกันนะ
กรรภ์ !
มันหยุดและขู่อยู่ตรงหน้า สายตาบอกประมาณว่าเจ้าจงรีบๆยอมแพ้ไปซะ ผิดกับขาทั้งสี่ของมันที่สั่นจนแยกไม่ออกว่ามาจากอาการบาดเจ็บหรืออะไรกันแน่ ทำให้ข้าตัดสินใจทำบางอย่าง
ตึก ตึก
นั่นนางจะทำอะไร !
ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
ขะ ข้า ทนดูไม่ได้
เสียงผู้คนรอบๆไม่ได้ทำให้ข้าหยุดเดิน แววตาของมันจ้องมองการกระทำของข้านิ่งๆ ทว่าหวาดระแวงไม่น้อย
และสุดท้าย
ตุ้บ !
จู่ๆมันทรุดตัวลงตรงหน้า
“โอ๋ๆ เป็นเด็กดีนะเด็กน้อย” ข้ายกมือลูบหัวของมันเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้ สัตว์อสูรตัวนี้หงอยลงจนสัมผัสได้ มันมองข้าตาปรอย เสมือนสุนัขผู้ซื่อสัตย์ หากถามว่าทำไมตอนแรกข้าถึงไม่กลัวมัน อาจเป็นเพราะสายตาของมันล่ะมั้ง สายตาลุกลี้ลุกลนแต่พยายามทำเก๋า เป็นสัตว์ที่โกหกไม่เก่งจริงๆ
ข้าไม่รู้หรอกนะทำไมมันถึงปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ หากเป็นเพราะข้าคือราชินีปีศาจก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตอนนี้ข้ากลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไปแล้ว แต่ข้าไม่คิดให้เสียเวลาหรอก สัตว์อสูรตัวนี้น่ารักจะตายไป ว่าแล้วก็ยีขนฟูๆมันเล่น
“แบบนี้เรียกว่าข้าชนะหรือไม่เจ้าคะ ?” หันไปถามผู้ตัดสินเสียงดังเนื่องจากอยู่ห่างประมาณ 3 ผิง (1 ผิง = 3.3 เมตร) แต่เขากลับอ้ำอึ้ง ตาตะลึงมองค้าง
“เอ่อ….”
“เจ้าชนะแล้วสาวน้อย” ชายชุดเหลืองโผล่มาจากไหนไม่รู้เดินมาในลานประลอง หยุดใกล้ๆ ไม่มีความหวาดกลัวเหมือนคนอื่นอยู่เลย ผู้ตัดสินที่ตั้งสติได้รีบคุกเข่าเคารพ
“นายท่าน !”
“บอกคนของเรา ให้สืบว่าผู้ใดให้นำสัตว์อสูรตัวนี้ออกมา !!!” ตาคมกริบบอกเสียงเข้ม อ้าว ตัวนี้ไม่ใช่สัตว์สำหรับประลองหรอกหรือ
“เจ้าทำดีมาก” เขาหันมาพูดกับข้าแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ
“เรื่องที่กล่าวเมื่อกี้…”
“เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้วแม่นาง” สายตาเคร่งเครียดเอ่ยบอก แถมยังเรียก ‘แม่นาง’ ไม่ใช่ ‘สาวน้อย’ อย่างเคย นั่นทำให้ข้าพอจะเดาได้ว่าเขาเริ่มจริงจังแล้ว
“แล้วสัตว์อสูรตัวนี้ล่ะ” ข้ามองมัน ซึ่งมันก็เหมือนจะรู้ว่าข้าคิดอันใดจึงส่งสายตาออดอ้อนมาให้
หงิง หงิง
“ให้มันไปพักก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน”
“สัตว์อสูรตัวนี้ไม่ใช่สัตว์สำหรับประลอง มันดุร้ายกว่ามาก” เขาเอ่ยบอกทันทีหลังจากเรามานั่งห้องด้านใน ในห้องมีเพียงเขาและนางสองคน ข้านึกภาพตามสัตว์ดุร้ายที่ว่านั้นก่อนหน้านี้มันหมอบอยู่ตรงเท้าให้ลูบขนนุ่มๆมันเล่นอย่างสบายใจ
ดุร้ายตรงไหน ? แค่คิดแต่ไม่ได้เอ่ยออกไป
“นั่นทำให้ข้าแปลกใจ ทำไมอสูรนักล่าอย่างมันถึงยอมจำนนต่อเจ้า” เขาพูดต่อ
“ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“แต่ตอนนี้ข้าสงสัยยิ่งกว่าเจ้าได้สร้างศัตรูที่ใดหรือไม่”
“ข้าพึ่งขึ้น เอ่อ ข้าเข้ามาเมืองนี้เพียงแค่วันเดียว ไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน…” นางคิดตามที่พูด เว้นเสียแต่…
“หรือว่า…”
“หรือว่าอันใด”
“ข้าไปมีเรื่องกับคนผู้หนึ่งมาเจ้าค่ะ” นางพูดก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ยกเว้นเรื่องที่นางใช้ดาบรับการโจมตีของข้ารับใช้ชายผู้นั้น
“เจ้าจะบอกว่าผู้ที่เจ้ามีเรื่องคือคุณชายเฉิน ” เขาเลิกคิ้วถาม
“คุณชายเฉิน?”
“ก็จากที่เจ้าเล่าผู้ที่มีนิสัยเช่นนั้นเห็นทีจะมีแต่ เฉินจินเทียน ผู้นั้น”
“เขาแค้นข้าถึงขนาดปล่อยสัตว์อสูรตัวที่ดุร้ายกว่ามาเพื่อทำร้ายข้าเลยหรือ” เอ่ยสรุปหลังพอจับใจความได้
“ข้าก็ไม่แน่ใจ จากนิสัยของคุณชายเฉินถึงแม้จะอันธพาลแต่ข้าก็ไม่เคยเห็นเขารังแกผู้ใดลับหลังเช่นนี้”
“แล้วจะเป็นผู้ใดเล่า” เอาตามจริงข้าหาได้โกรธเคืองผู้ที่ทำแบบนี้แล้วล่ะ โกรธไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น แก้แค้นหรือก็ไม่ใช่ทางและข้าก็ยังไม่ได้บาดเจ็บอันใด
“หากเป็นอีกผู้หนึ่งก็ไม่แน่” ชายชุดเหลืองพูดเป็นปริศนา
อีกด้าน
“หึๆ เยือนแคว้นเฟิงครานี้เห็นทีมิเปล่าประโยชน์ เจ้าว่าหรือไม่เฟยหลง” สุรเสียงหนึ่งบนลานประลองเอ่ยขึ้นหลังจากการต่อสู้ได้จบลง เขาไม่เคยเห็นการต่อสู้ของแคว้นใดที่สัตว์อสูรยอมสยบให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งที่ยังมิได้ต่อสู้ นับว่าหญิงผู้นั้นน่าสนใจทีเดียว
“พะย่ะค่ะ” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นเรียบๆ เขาไม่สนใจการต่อสู้นี้อยู่แล้ว ที่มาก็เพื่อสอดส่องแคว้นใกล้เคียงหลังจากผลัดเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ แต่ชายผู้รักสนุกด้านข้างกลับลากเขามาชมการต่อสู้ มันก็เหมือนๆกันหมดหากแต่หญิงภายใต้ผ้าคลุมผู้นี้แตกต่าง…
“คิดอันใดอยู่ อย่าบอกนะว่าสนใจสาวน้อยผ้าคลุมนั่น” ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าหลางเอ่ยหยอกเย้าผู้ที่เป็นเหมือนสหายและควบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้น
“กระหม่อมมิสนผู้ใดนอกจากเหมยฟาง” เสียงทุ้มเอ่ยหนักแน่น เหมยฟางที่ว่าคือคู่หมั้นของตนที่กำลังหมั้นหมายกันในอีกมิช้า
“หึๆ เจิ้นจะรอดู”
“ช้าก่อน”
“มีอะไรหรือสาวน้อย” เฟิงหวง เป็นชายในชุดเหลืองผู้นั้น ดูแล้วเขาน่าจะอายุเยอะกว่าข้าสัก 2-3 ปี อายุข้าก็อาจประมาณ 18 ปีของโลกมนุษย์ เขาบอกว่าอยากรับผิดชอบที่ปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น อีกอย่างนี่เป็นชื่อเสียงของหอสุขสรรค์ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยผิดพลาด ทั้งที่ข้าปฏิเสธไม่ติดใจเอาความอันใดแต่เขากลับยืนยันจะหาตัวผู้ก่อเหตุมาให้ได้
“ชายชาวยุทธที่แขนขาดผู้นั้นอยู่ไหนหรือ” หันซ้ายขวาเมื่อเดินออกมาจากห้องไม่พบชายผู้นั้นเลย นางรู้สึกตงิดใจบางอย่างกับคนผู้นั้น
“หืมม เจ้าสนใจ?” เขาเลิกคิ้วถาม
“ข้าแค่มีเรื่องอยากคุยกับเขา”
ลิขิตรัก 13 อนุคนแรก“อ๊ะ อื้มมมม” ไม่ทันได้ตอบกลับ ริมฝีปากโดนปิดด้วยริมฝีปากหนาของคนที่คร่อมอยู่ทันที มือของเขาอยู่ไม่นิ่ง จับร่างกายไปทุกส่วน ข้าสะดุ้งทันทีที่เขาจงใจกดร่างกายท่อนล่างกับส่วนนั้นของข้าทั้งที่ตัวเองยังมีเสื้อผ้าอยู่ครบ แต่มันก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้“อื้มมม” เขาครางกระหึ่มอย่างพอใจและยิ่งกระหายในกายข้ามากยิ่งขึ้นเมื่อมือแกร่งจับมือนิ่มของข้าให้เลื่อนลงไปสัมผัสกลางลำตัวที่บัดนี้โป่งพองแข็งสู้มือข้าจนแทบจะระเบิด แต่ดูเหมือนเขาพยายามข่มอารมณ์ไว้คล้ายอยากเล่นสนุกกับร่างกายข้ามากกว่านี้“อ้าปาก” ดุเสียงเข้มเมื่อข้าปิดปากไม่ให้ลิ้นร้อนนั่นเข้ามาได้อีก“อ๊ะ!” เขากัดริมฝีปากข้าเมื่อเห็นว่าข้ายังดื้อไม่ยอมเปิดปากตามเขาสั่ง ก่อนจะครางอย่างพอใจเมื่อลิ้นร้ายกาจเข้ามาไล่ต้อนข้าได้อย่างจนมุมปากหนายังไซร้คอข้าอยู่และมีทีท่าว่ากำลังจะเลื่อนลงมายังหน้าอกหน้าใจที่มันใหญ่จนล้นมือเขา มือทำหน้าที่ไม่อยู่นิ่ง บีบคลึงหน้าอกอย่างมันมือ ส่วน
ลิขิตรัก 12 หลอกใช้เพล้ง !“เป็นอันใดหรือเจ้าคะท่านพี่เฟยหลง” เสียงหวานเอ่ยถามชายคนรัก เมื่อเห็นร่างสูงปล่อยความกดดัน จนแจกันแตกเป็นเสี่ยงๆ“มิเป็นอันใด ต้องขออภัยเหมยเอ๋อร์ด้วยแล้วที่ทำให้เจ้าตกใจ” ชายหนุ่มหันมองหญิงคนรักที่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ สบถในใจที่เผลอใช้พลังจนอาจเกือบทำให้หญิงคนรักบาดเจ็บ“น้องมิเป็นอันใดเจ้าค่ะ ว่าแต่ผู้ใดหนอที่ทำให้ท่านพี่อารมณ์ไม่ดีเช่นนี้”“เรื่องงานหน่ะ” ร่างสูงไม่ได้โกหก ทุกคืนเขาจะออกไปตรวจในเมืองโดยรอบ จนบางวันปะทะเข้ากับพวกนอกด่านแทบไม่ได้นอน แต่ส่วนหนึ่งคิดไปถึงต้นตอที่ทำให้ตนเป็นเช่นนี้อีกเรื่อง อยากจัดการกับหญิงไร้ยางอายนั่นเด็ดขาด แต่ทำไมใจมันถึงสั่นตลอดเมื่ออยู่กับนางอาคเนย์ที่นางใช้เรียกเขานั้นไม่รู้เป็นชายใด แต่พอนางพูดชื่อนี้ ใจเขามันหงุดหงิดทุกครั้ง แทบอยากกระชากร่างบางให้หยุดเรียกชื่อนั้น แล้วจดจำเพียงชื่อเขา พลันความคิดต้องหยุดชะงักลงยามเขาได้จับไปที่สร้อยท
ลิขิตรัก 11 ไร้ยางอาย “อุ้ย พี่เฟยหลง”“เดินระวังๆสิ เหมยเอ๋อร์” เสียงทุ้มที่เดินตามหลังประคองร่างบอบบางของคนรักไว้ในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม สายตาคมดุคนในอ้อมแขนไม่จริงจังนัก“คิกๆ เหมยเอ๋อร์รู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องไม่ปล่อยให้เหมยเอ๋อร์เป็นอันใด” เสียงหวานใสตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม“พี่อยู่กับเจ้าได้มิตลอด เจ้าก็ต้องระวังตัวให้มาก” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พลันครุ่นคิดเรื่องที่ได้ยินมาตลอดเวลา ศัตรูย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเร้นหาจุดอ่อน หากพวกมันรู้ว่าเขามีคนรักต้องหาทางทำร้ายนางเป็นแน่“อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างงั้นสิเจ้าคะ เหมยเอ๋อร์มิเป็นอันใดง่ายๆหรอกนะ” นางบอกคนรักที่ทำหน้ากลัดกลุ้มใจอย่างชัดเจน“พี่ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”“จริงสิ สร้อยที่น้องให้...”“พี่ใส่ติดตัวไว้ตลอดเลยล่ะ” หยางหลงสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปก่อนจะยกแขนข้างขวาที่สวมสร้อยลูกปัด ซึ่งคนรักร้อยเองกับมือขึ้นมาให้ดู เขาใส่ต
ลิขิตรัก 10ไม่เชื่อใจ“เจิ้นมิเคยเห็นเจ้าทำหน้าเครียด มีเรื่องทุกข์ใจอันใดหรือ” ชายหนุ่มบนบัลลังก์เอ่ยถามสหายที่ยามนี้เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“หามิได้พะย่ะค่ะ” ร่างหนาผู้ถูกถามตอบกลับคล้ายปฏิเสธกลายๆ“อืมม หรือเจ้ากำลังคิดถึงหญิงนางนั้น” สายตาคมปราดมองอย่างหยอกล้อ หญิงนางนั้นที่ว่าคงหนีไม่พ้นนางที่ลานประลองแคว้นเฟิง“กระหม่อมมิสนผู้ใจนอกจากเหมยฟาง” และเขาก็ยังคงกล่าวออกมาเช่นเดิม สายตาเย็นชาช่างราบเรียบคล้ายเหนื่อยหน่ายกับทุกสิ่ง จนผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นต้าเช่นเขานึกอยากเห็นว่าจะมีหญิงใดในหล้าทำให้แม่ทัพใหญ่ผู้นี้เปลี่ยนไปได้หรือไม่ ซึ่งแม้กระทั่งคู่หมายที่เป็นบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายซ้ายเองก็ยังมิอาจทำได้“หึ ๆ เจิ้นก็ยังตรัสคำเดิมว่าจะรอดู”“หากหวงช่างเชิญมาเพียงเท่านี้ กระหม่อมขอลา” ชายหนุ่มลุกขึ้นโดยยังไม่ได้รับอนุญาต หน้าตานิ่งเฉยบ่งบอกว่าไม่เกรงกลัวอาญาเลยแม้แต่น้อย“ดะ เดี๋ยวเจิ้นมีเรื
ลิขิตรัก 9พบเจอหนึ่งชั่วยามผ่านไปจบเสียที…กี่ตัวกันนะ 10 ตัว 50 ตัว หรือมากกว่านั้น ข้าทิ้งตัวลงนอนที่พื้นอย่างคนหมดแรง เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คิดว่าถ้ากลับไปต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วยามกว่าจะล้างมันออกหมด ตามร่างกายมีรอยกรงเล็บที่ร่างกายสมานบาดแผลไม่ทันเนื่องจากมันมีเยอะเกินไปโฮกกกกกเหลืออีกตัวหรือ ข้าหันไปมองทางต้นเสียง เห็นมันหนึ่งตัวขู่คำราม เห็นเขี้ยวแหลมคมที่สามารถฉีกร่างกายมนุษย์พร้อมกินอย่างไม่เหลือแม้แต่กระดูก มันทำท่าพร้อมกระโจนเข้ามาทุกเมื่อ แต่ข้าหมดแรงแล้วนะ คิดในใจทว่าสมองสั่งให้ลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับหนักอึ้งแขนขาขยับได้อย่างยากลำบากอาจเป็นเพราะนี่มันเลยขีดจำกัดของความเป็นมนุษย์มามากแล้ว สุดท้ายจึงล้มตัวลงนอนที่เดิม จบแล้วสินะ ชีวิตข้าคงมาได้เพียงเท่านี้ ข้าขอโทษท่านพ่อท่านแม่ที่มิอาจกลับไปหาพวกท่าน ลาก่อนท่านอาค
ลิขิตรัก 8 เทพเซียนยามจื่อ (23.00 - 24.59 น.)“ฝั่งนั้นมีกี่ตัว” ข้าสวมชุดสีดำทะมัดทะแมง พร้อมผ้าคาดผืนบาง เหลือเฉพาะดวงตา มองไปมาเหมือนนักฆ่าไม่มีผิด“2 ตัวขอรับ” ฮุ่ยเฉินที่แต่งตัวไม่ต่างจากข้าเอ่ยบอก ตอนนี้บาดแผลเขาสมานกันดีแล้ว เหลือเพียงรอยขีดข่วนจากกรงเล็บที่แขนนั่นนิดหน่อย พละกำลังก็เหมือนจะฟื้นตัวแล้วด้วย ข้าคงลืมบอกอีกอย่างสินะ เลือดของข้าหน่ะ นอกจากจะรักษาบาดแผลแล้วยังฟื้นฟูพลังตบะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ เพราะข้าเกลียดความวุ่นวาย“จัดการ” ข้าบอกเขาเสียงเรียบก่อนที่ตัวเองจะปรี่ตัวเข้าไปจัดการอีกฝั่งที่มี 5 ตัว ลักษณะของมันแตกต่างจากซือเป่าลิบลับ เหมือนสัตว์อสูรกายมากกว่าเป็นสัตว์อสูร มันมองมาอย่างหิวโหยแต่ก่อนที่มันจะกระโจนใส่ ข้าชิงเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก่อนจะฟันไปที่ลำตัวของมันจนเลือดสีดำคล้ำสาดกระเด็นเปื้อนชุดข้าและนี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เลือกหยิบชุดสีน