แชร์

ลิขิตรัก 8 เทพเซียน

ผู้เขียน: ดุจเพชร
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-09-25 21:37:41

ลิขิตรัก 8

เทพเซียน

ยามจื่อ (23.00 - 24.59 น.)

“ฝั่งนั้นมีกี่ตัว”   ข้าสวมชุดสีดำทะมัดทะแมง พร้อมผ้าคาดผืนบาง เหลือเฉพาะดวงตา  มองไปมาเหมือนนักฆ่าไม่มีผิด 

“2 ตัวขอรับ”  ฮุ่ยเฉินที่แต่งตัวไม่ต่างจากข้าเอ่ยบอก  ตอนนี้บาดแผลเขาสมานกันดีแล้ว เหลือเพียงรอยขีดข่วนจากกรงเล็บที่แขนนั่นนิดหน่อย  พละกำลังก็เหมือนจะฟื้นตัวแล้วด้วย  ข้าคงลืมบอกอีกอย่างสินะ  เลือดของข้าหน่ะ นอกจากจะรักษาบาดแผลแล้วยังฟื้นฟูพลังตบะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้  เพราะข้าเกลียดความวุ่นวาย

“จัดการ”  ข้าบอกเขาเสียงเรียบก่อนที่ตัวเองจะปรี่ตัวเข้าไปจัดการอีกฝั่งที่มี 5 ตัว  ลักษณะของมันแตกต่างจากซือเป่าลิบลับ  เหมือนสัตว์อสูรกายมากกว่าเป็นสัตว์อสูร มันมองมาอย่างหิวโหยแต่ก่อนที่มันจะกระโจนใส่  ข้าชิงเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก่อนจะฟันไปที่ลำตัวของมันจนเลือดสีดำคล้ำสาดกระเด็นเปื้อนชุดข้าและนี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เลือกหยิบชุดสีนี้มาใส่

ตัวแล้วตัวเล่าที่ข้าฟาดฟันใส่มัน  เสมือนกำลังเริงระบำเพลิงดาบ  ท่ามกลางซากศพ ดวงตาข้าไร้ความปราณี  ไร้ซึ่งแสงใดๆมีเพียงความมืดมิดจากแสงรัตติกาล  แต่ตอนที่ข้ากำลังฟาดฟันตัวสุดท้ายกลับมีอีกตัวไม่รู้มาจากไหนโผล่ด้านหลัง มันหมายจะจู่โจมฉีกรั้งร่างกายข้า  

ทว่ากลับโดนซือเป่าน้อยซึ่งบัดนี้ไม่น้อยกำลังใช้กรงเล็บฉีกร่างมันแทน  ข้ารู้อยู่แล้วแหล่ะว่าต้องเป็นเช่นนี้

หึ แอบตามมาสินะเจ้าหมาน้อย

“อะ อุ้บบบบ”  ข้ายกมือปิดปากเด็กชายผอมแห้งที่สูงประมาณอก  ทำตัวลับๆล่อๆและกำลังจะส่งเสียงร้อง

“ชู่วว  คนอื่นอยู่ไหน”  ทำเสียงเพื่อบ่งบอกไม่ให้ส่งเสียงใดๆให้สัตว์อสูรมันแห่มา

“ตะ ตรงนั้นขอรับ”  เด็กนั่นพูดเสียงสั่นก่อนจะชี้ไปตรงบ้านเล็กๆหลังนึง 

“แล้วเจ้าออกมาทำไม” 

“สัตว์อสูรมันวนเวียนรอบๆ ข้าเลยจะไปตามคนมาช่วย”  เจ้าเด็กนี่พูดอย่างกล้าหาร  แม้นดวงตาจะเต็มไปด้วยความกลัว แข้งขาจะสั่นแต่กลับเลือกที่จะทำอะไรมากกว่านั่งรอให้ผู้อื่นมาช่วย 

“แล้วทำไมออกมาคนเดียว”  ข้ายังซักถามเนื่องจากมองไปตอนนี้ก็ยังเห็นพวกมันเดินวนเวียนแถวนั้นอย่างเจ้าเด็กตัวเล็กนี่พูด  จะออกไปช่วยตอนนี้ก็เกรงว่าพวกมันจะแห่มามากเกินไปจนทำให้คนในนั้นพลอยโดนลูกหลงไปด้วย

“ข้าบอกให้น้องๆ ดูแลคนอื่นๆ ก่อนที่ข้าจะออกมาคนเดียวขอรับ”  เด็กนี่คงไม่อยากให้เด็กคนอื่นได้รับอันตราย ถึงได้เอาตัวเองมาเสี่ยงคนเดียว  ทั้งๆที่ดึกป่านนี้ไม่รู้จะพบผู้คนหรือไม่ นับเป็นการเดิมพันชีวิตเลยก็ว่าได้ 

อยากถามฮุ่ยเฉินจริงๆว่าเลี้ยงดูเจ้าเด็กพวกนี้มาอย่างไรถึงได้กล้าหารและเสียสละเช่นนี้

“เอาล่ะ ข้ามาเพื่อช่วยพวกเจ้า กลับไปบอกผู้คนข้างในว่าหากมีเสียงอันใดห้ามออกมาเป็นอันขาด !” 

 “เอ่อ ขะ ขอรับ  ตะ แต่…”

“แต่อันใด?”

“พี่ฮุ่ยเฉินออกไปตามคนมาช่วยตั้งแต่พลบค่ำ  เขาจะปลอดภัยดีหรือไม่ขอรับ”  เด็กชายตัวน้อยถามด้วยสายตาเป็นห่วงขณะเดียวกันก็มองตาแป๋วเพื่อรอคำตอบอย่างมีความหวัง

“อืม ปลอดภัยดี” 

 “ท่านพี่  จิงหลี่กลัว ฮื่อๆ”  เด็กอายุ 9 หนาว ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ชุดเก่าๆกลายเป็นสีดำจากเลือดที่สาดกระเด็นใส่ ภายในบ้านเล็กๆหลังนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคราวเลือดจนน่าสะอิดสะเอือนแทบหายไม่ออก 

ใครก็ได้ช่วยด้วย

นางเห็นสัตว์อสูรพวกนั้นฉีกร่างเพื่อนๆและกินคนในหมู่บ้านของนางต่อหน้าต่อตา สัตว์อสูรตัวใหญ่ หน้าตาน่ากลัว  พวกมันกินคนจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก  คิดมาถึงร่างเล็กๆที่ผอมแห้งเนื่องจากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอก็สั่นไปด้วยความกลัว

“ใจเย็นๆ หลี่เอ๋อร์  พี่ใหญ่และพี่ฮุ่ยเฉินต้องตามคนมาช่วยเราได้แน่”  ร่างเด็กชายซึ่งอายุเยอะกว่าประมาณ 2-3 ปีเอ่ยปลอบ  เขาก็กลัวไม่ต่างจากจิงหลี่ แต่ด้วยอายุที่เยอะกว่า เขาต้องเป็นที่พึ่งให้เด็กคนอื่น  

ซึ่งพวกเขาทุกคนล้วนเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่  ตั้งแต่จำความก็ได้คนในหมู่บ้านและพี่ฮุ่ยเฉินช่วยเลี้ยงดู  ถึงแม้พี่ฮุ่ยเฉินและผู้อาวุโสไม่เคยบอกเกี่ยวกับท่านพ่อท่านแม่   พวกเด็กทุกคนก็พอเดาออก  พลางมองออกไปทางช่องเล็กๆ เห็นสัตว์อสูรยังเดินวนเวียนอยู่

   อยากแก้แค้นให้ท่านพ่อ ท่านแม่และคนในหมู่บ้านยิ่งนัก แต่ข้ามันอ่อนแอเกินไป   เด็กชายคิดอย่างเศร้าใจ

แต่เดี๋ยวนะ นั่นอะไรหน่ะ !

จู่ๆ สายตาพลันมองเห็นภาพตรงหน้าจากช่องไม้เล็กๆ  ปรากฏร่างนิรนามผู้หนึ่งสวมชุดดำปิดหน้าตา  เคลื่อนย้ายว่องไวกำลังฆ่าสัตว์อสูรทีละตัว  คล้ายเทพเซียนร่ายรำอย่างที่พี่ฮุ่ยเฉินเคยเล่านิทานให้ฟัง  ใจเด็กชายสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น 

“ทุกคนมีคนช่วยเราแล้ว !!”  แต่แล้วเสียงของเด็กชายที่พวกเขาเรียกว่าพี่ใหญ่พลันดังขึ้น

“พี่ใหญ่กลับมาหาหลี่เอ๋อร์แล้ว !!!”  เสียงแหลมเล็กที่สั่นกลัวในคราแรกร้องขึ้น พร้อมวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย

“พี่สาวผู้นั้นบอกว่าหากได้ยินเสียงอันใดห้ามออกไปเด็ดขาด”   เด็กชายผู้ถูกเรียกกอดผู้เป็นน้องพร้อมเอ่ยบอกเกือบยี่สิบชีวิตที่เบียดเสียดกันอยู่ในบ้านเก่า ถึงจะสงสัยแต่สายตาทุกคนกลับมามีความหวังอีกครั้ง

อะ อึก  ร่างกายมนุษย์มีขีดจำกัด  ข้าบ่นในใจ  อ่อนล้าเต็มทน  แต่พอเหลือบมองไปยังบ้านไม้ที่มีมากกว่าสิบชีวิตอยู่ในนั้น มันทำให้ข้ายอมแพ้ไม่ได้

ฮุ่ยเฉินถึงไหนแล้วนะ  ฮุ่ยเฉินยังไม่รู้ว่าข้ารุดหน้ามาก่อน ข้าจึงให้ซือเป่าไปพาเขามาเนื่องจากพวกเราแยกกันคนล่ะทาง 

โฮกกกกก !!

“ดูเหมือนจะแห่กันมาอีกสินะ”  ฟันร่างพวกมันตัวแล้วตัวเล่าจนมิอาจนับได้  เลือดมากมายสาดกระเด็นโดนตัวจนน่าขยะแขยง  กลิ่นคาวเลือดก็รุนแรงจนน่าแทบอาเจียน

ยังมิจบอีกหรือ

วูบบบบ !

จู่ๆ รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่อยู่ตรงไหนสักแห่งกำลังมองมา  ข้าหันไปมองทางทิศทางที่สัมผัสได้  มิตรหรือศัตรูกันนะ

แควกกก

“อะ อึก” ด้วยความใจลอยทำให้โดนกรงเล็บแหลมคมของสัตว์อสูรตัวหนึ่งเข้าบริเวณแขนขวา จิวฮวาลองเพ่งสมาธิไปที่บาดแผลเพื่อไม่ให้เสียเลือกมากเกินไป ไม่นานแผลที่หากเป็นคนปกติเลือดต้องไหลออกมา กลับค่อยๆสมานเป็นปกติเสมือนมิมีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร เล่นเอาเสียพลังไปไม่น้อย

ฉับ !

“ขอโทษขอรับแม่นางที่ข้ามาช้า !”  ข้าต่อสู้ตัวแล้วตัวเล่าจนกระทั่งเหลือเพียงมิกี่ตัว  ฮุ่ยเฉินและซือเป่าเข้ามาพอดีและร่วมสู้กับข้า  ร่างกายโผล่พ้นจากชุดของฮุ่ยเฉินมีรอยกรงเล็บปะปราย และแผลเก่าที่มีเลือดไหลซึมออกมาจากการใช้พละกำลัง  แต่เขากลับยืนหยัดต่อสู้ไม่ถอย

“มิเป็นไรเจ้าจัดการตัวที่เหลือ ข้าจะไปช่วยคนที่อยู่ในนั้น” ข้าบอกเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปส่งสายตาให้ซือเป่าอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือเขา

“ขอรับ”

ตึก ตึก

“พวกเจ้ามิมีใครเป็นอันใดใช่หรือไม่” ข้าเดินเข้ามาภายในเป็นที่แคบ  ด้านในมีคนประมาณ 20 คน นั่งขดกันเป็นกลุ่มๆ  เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวมีรอยแผลแต่เท่าที่สังเกตไม่มีผู้ใดอาการสาหัส ข้ามองดูพวกเขาอย่างเศร้าใจ เด็กอายุเพียงเท่านี้และผู้สูงวัยเพียง 2-3 คน ต้องมาเผชิญเรื่องที่โหดร้ายแทบเอาชีวิตไม่รอด  อีกทั้งไม่รู้ว่าอัดกันได้อย่างไรในบ้านเล็กๆแห่งนี้ แต่พอมองไปรอบๆที่ส่วนใหญ่ผู้รอดชีวิตเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ร่างกายผอมโซที่อายุยังไม่ถึง 15 หนาวเลยเข้าใจ 

“แม่นางมาช่วยพวกเรารึ”  เสียงสั่นๆเนื่องจากยังหวาดกลัวโพล่งขึ้น ดูแล้วน่าจะอาวุโสสุด 

“เจ้าค่ะท่านตา แต่อันที่จริงฮุ่ยเฉินเป็นคนขอร้องข้า”

“พี่ฮุ่ยเฉิน !!!” เมื่อเด็กๆได้ยินชื่อพี่ชายจึงร้องออกมาด้วยความดีใจ

“เอาล่ะทุกคน ยังลุกกันไหวหรือไม่”  ข้าเอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงที่ดังแซ่ของพวกเด็กๆ

“พวกข้ายังไหวกันขอรับพี่สาว”  เด็กที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่เอ่ยตอบแทนทุกคน  ข้าสำรวจรอบๆเมื่อเห็นทุกคนยังพอเดินได้ จึงเบาใจไปเปราะหนึ่ง

“งั้นตามข้ามา”

โฮกกกกกกก !

“พี่ใหญ่หลี่เอ๋อร์กลัว”  เด็กตัวน้อยจูงมือผู้ที่ถูกเรียกพลางเอ่ยบอกอย่างกลัวๆเมื่อได้ยินเสียงร้องของสัตว์อสูร ดวงหน้าน่ารักทว่ามอมแมมมีน้ำตาคลออย่างน่าสงสาร

“จุ๊ๆ ใจเย็นๆ พี่ฮุ่ยเฉินและพี่สาวต้องปกป้องเราได้แน่”  เด็กชายปลอบน้องสาวจนข้าอดเอ็นดูมิได้  ฮุ่ยเฉินเคยเล่าว่าเด็กพวกนี้ไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือด แต่สิ่งที่ข้าเห็นกลับเป็นความรักของพี่น้องที่ผูกพันยิ่งกว่าสายเลือด

 “แม่นางเราควรรีบออกไป ก่อนที่พวกมันจะแห่กันมามากขึ้น”   ข้าที่กำลังพาทุกคนทยอยออกจากที่ซ่อนทางด้านหลัง  ฮุ่ยเฉินก็วิ่งเข้ามาเอ่ยอย่างรีบร้อน  เนื้อตัวเขาเปราะเปื้อนไปด้วยเลือดของสัตว์อสูรด้านหลังมีซือเป่าที่ปกติมักมีขนยาวสะอาด บัดนี้ชโลมไปด้วยเลือด สภาพไม่ต่างกันตามมาติดๆ

“พี่ฮุ่ยเฉิน…”  เด็กตัวเล็กแก้มป่องที่แทนตัวเองว่าหลี่เออร์ร้องออกมาอย่างดีใจที่เห็นพี่ชาย แถมยังไม่กลัวเลือดผิดกับเมื่อกี้ สงสัยเด็กน้อยคงหลงดีใจจนลืมนึกถึงสภาพของฮุ่ยเฉินไปแล้วล่ะมั้ง

“เยอะเลยหรือ”  ข้าถามสีหน้าเต็มไปด้วยความเครียดขึ้นมาทันควัน

“ข้าจัดการกับตัวสุดท้ายเมื่อกี้ แฮ่ก จู่ๆมันคำรามเสียงลั่นก่อนจะตาย  ข้าเดาว่าไม่นานพวกมันต้องแห่ตามเสียงร้องมาแน่”  เสียงเหนื่อยหอบเอ่ยออกมาพร้อมคาดเดาสถานการณ์ 

“งั้นเจ้าพาทุกคนไป ข้าจะล่อพวกมันไปอีกทางเอง” ข้ามองสภาพของฮุ่ยเฉิยที่ร่างกายพึ่งจะฟื้นตัวและตอนนี้ดูเหมือนเขาจะอ่อนล้าเต็มทน  ก่อนจะตัดสินใจรับหน้าที่เสี่ยงตายนี้เอง

“ข้าขอปฏิเสธ  ข้าจะเป็นคนไปล่อพวกมันเอง”  จู่ๆฮุ่ยเฉินที่มักจะทำตามคำสั่งข้ากลับขัดขืนขึ้นทันที 

“เจ้าจะไปในสภาพนี้หรือ เจ้ามองดูเด็กพวกนั้นสิ พวกเขารอกลับไปพร้อมเจ้าอยู่นะ” เกลี้ยกล่อมเขาพร้อมมองไปที่เด็กตัวเล็กๆที่ส่งสายตาเหมือนรอคอยพี่ชายแสนดีกลับไปพร้อมกันอยู่

“แต่ว่า…” 

“เจ้าอย่าได้ลังเล  นี่คือการตัดสินใจของข้า มิต้องกังวล”  บอกเสียงราบเรียบทว่าแฝงไปด้วยความกดดันผ่านสายตา

 “เจ้าด้วยซือเป่า คุ้มกันพวกเขา !”  ข้าเอ่ยสั่งเจ้าสัตว์อสูรที่กำลังร้องประท้วงหงิงๆอยู่ด้านหลังฮุ่ยเฉิน  ซึ่งบัดนี้มันย่อขนาดตัวลงมาเท่าลูกสุนัขเพื่อไม่ให้คนอื่นตกใจแต่จะน่ารักน่าเอ็นดูกว่านี้ ถ้าไม่มีเลือดสีดำคล้ำเปื้อนขนสวยๆของมัน

“สักวันข้าจะต้องตอบแทนท่านให้จงได้ !!”  เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจบอกกับข้าด้วยสายตาแน่วแน่ อยากบอกเหลือเกินว่าไม่ต้องทำสายตาเหมือนข้าเป็นนางฟ้านางสวรรค์หรอก  ที่ข้าช่วยเพราะข้าอยากช่วย  ไม่ต้องการให้ใครมาทนแทนคุณ  คิดในใจก่อนจะมุ่งหน้าไปทางป่าลึกที่ที่มีกลิ่นสาปคละคลุ้งจนน่าสะอิดสะเอียนและถ้าข้าเดาไม่ผิดที่แห่งนั้นเป็นอาณาเขตติดกับแคว้นต้าซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่สุด  

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • The Evil Queen ฝืนลิขิตร้ายกลายเป็นลิขิตรัก   ลิขิตรัก 13 อนุคนแรก

    ลิขิตรัก 13 อนุคนแรก“อ๊ะ อื้มมมม” ไม่ทันได้ตอบกลับ ริมฝีปากโดนปิดด้วยริมฝีปากหนาของคนที่คร่อมอยู่ทันที มือของเขาอยู่ไม่นิ่ง จับร่างกายไปทุกส่วน ข้าสะดุ้งทันทีที่เขาจงใจกดร่างกายท่อนล่างกับส่วนนั้นของข้าทั้งที่ตัวเองยังมีเสื้อผ้าอยู่ครบ แต่มันก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้“อื้มมม” เขาครางกระหึ่มอย่างพอใจและยิ่งกระหายในกายข้ามากยิ่งขึ้นเมื่อมือแกร่งจับมือนิ่มของข้าให้เลื่อนลงไปสัมผัสกลางลำตัวที่บัดนี้โป่งพองแข็งสู้มือข้าจนแทบจะระเบิด แต่ดูเหมือนเขาพยายามข่มอารมณ์ไว้คล้ายอยากเล่นสนุกกับร่างกายข้ามากกว่านี้“อ้าปาก” ดุเสียงเข้มเมื่อข้าปิดปากไม่ให้ลิ้นร้อนนั่นเข้ามาได้อีก“อ๊ะ!” เขากัดริมฝีปากข้าเมื่อเห็นว่าข้ายังดื้อไม่ยอมเปิดปากตามเขาสั่ง ก่อนจะครางอย่างพอใจเมื่อลิ้นร้ายกาจเข้ามาไล่ต้อนข้าได้อย่างจนมุมปากหนายังไซร้คอข้าอยู่และมีทีท่าว่ากำลังจะเลื่อนลงมายังหน้าอกหน้าใจที่มันใหญ่จนล้นมือเขา มือทำหน้าที่ไม่อยู่นิ่ง บีบคลึงหน้าอกอย่างมันมือ ส่วน

  • The Evil Queen ฝืนลิขิตร้ายกลายเป็นลิขิตรัก   ลิขิตรัก 12 หลอกใช้

    ลิขิตรัก 12 หลอกใช้เพล้ง !“เป็นอันใดหรือเจ้าคะท่านพี่เฟยหลง” เสียงหวานเอ่ยถามชายคนรัก เมื่อเห็นร่างสูงปล่อยความกดดัน จนแจกันแตกเป็นเสี่ยงๆ“มิเป็นอันใด ต้องขออภัยเหมยเอ๋อร์ด้วยแล้วที่ทำให้เจ้าตกใจ” ชายหนุ่มหันมองหญิงคนรักที่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ สบถในใจที่เผลอใช้พลังจนอาจเกือบทำให้หญิงคนรักบาดเจ็บ“น้องมิเป็นอันใดเจ้าค่ะ ว่าแต่ผู้ใดหนอที่ทำให้ท่านพี่อารมณ์ไม่ดีเช่นนี้”“เรื่องงานหน่ะ” ร่างสูงไม่ได้โกหก ทุกคืนเขาจะออกไปตรวจในเมืองโดยรอบ จนบางวันปะทะเข้ากับพวกนอกด่านแทบไม่ได้นอน แต่ส่วนหนึ่งคิดไปถึงต้นตอที่ทำให้ตนเป็นเช่นนี้อีกเรื่อง อยากจัดการกับหญิงไร้ยางอายนั่นเด็ดขาด แต่ทำไมใจมันถึงสั่นตลอดเมื่ออยู่กับนางอาคเนย์ที่นางใช้เรียกเขานั้นไม่รู้เป็นชายใด แต่พอนางพูดชื่อนี้ ใจเขามันหงุดหงิดทุกครั้ง แทบอยากกระชากร่างบางให้หยุดเรียกชื่อนั้น แล้วจดจำเพียงชื่อเขา พลันความคิดต้องหยุดชะงักลงยามเขาได้จับไปที่สร้อยท

  • The Evil Queen ฝืนลิขิตร้ายกลายเป็นลิขิตรัก   ลิขิตรัก 11 ไร้ยางอาย

    ลิขิตรัก 11 ไร้ยางอาย “อุ้ย พี่เฟยหลง”“เดินระวังๆสิ เหมยเอ๋อร์” เสียงทุ้มที่เดินตามหลังประคองร่างบอบบางของคนรักไว้ในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม สายตาคมดุคนในอ้อมแขนไม่จริงจังนัก“คิกๆ เหมยเอ๋อร์รู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องไม่ปล่อยให้เหมยเอ๋อร์เป็นอันใด” เสียงหวานใสตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม“พี่อยู่กับเจ้าได้มิตลอด เจ้าก็ต้องระวังตัวให้มาก” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พลันครุ่นคิดเรื่องที่ได้ยินมาตลอดเวลา ศัตรูย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเร้นหาจุดอ่อน หากพวกมันรู้ว่าเขามีคนรักต้องหาทางทำร้ายนางเป็นแน่“อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างงั้นสิเจ้าคะ เหมยเอ๋อร์มิเป็นอันใดง่ายๆหรอกนะ” นางบอกคนรักที่ทำหน้ากลัดกลุ้มใจอย่างชัดเจน“พี่ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”“จริงสิ สร้อยที่น้องให้...”“พี่ใส่ติดตัวไว้ตลอดเลยล่ะ” หยางหลงสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปก่อนจะยกแขนข้างขวาที่สวมสร้อยลูกปัด ซึ่งคนรักร้อยเองกับมือขึ้นมาให้ดู เขาใส่ต

  • The Evil Queen ฝืนลิขิตร้ายกลายเป็นลิขิตรัก   ลิขิตรัก 10 ไม่เชื่อใจ

    ลิขิตรัก 10ไม่เชื่อใจ“เจิ้นมิเคยเห็นเจ้าทำหน้าเครียด มีเรื่องทุกข์ใจอันใดหรือ” ชายหนุ่มบนบัลลังก์เอ่ยถามสหายที่ยามนี้เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“หามิได้พะย่ะค่ะ” ร่างหนาผู้ถูกถามตอบกลับคล้ายปฏิเสธกลายๆ“อืมม หรือเจ้ากำลังคิดถึงหญิงนางนั้น” สายตาคมปราดมองอย่างหยอกล้อ หญิงนางนั้นที่ว่าคงหนีไม่พ้นนางที่ลานประลองแคว้นเฟิง“กระหม่อมมิสนผู้ใจนอกจากเหมยฟาง” และเขาก็ยังคงกล่าวออกมาเช่นเดิม สายตาเย็นชาช่างราบเรียบคล้ายเหนื่อยหน่ายกับทุกสิ่ง จนผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นต้าเช่นเขานึกอยากเห็นว่าจะมีหญิงใดในหล้าทำให้แม่ทัพใหญ่ผู้นี้เปลี่ยนไปได้หรือไม่ ซึ่งแม้กระทั่งคู่หมายที่เป็นบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายซ้ายเองก็ยังมิอาจทำได้“หึ ๆ เจิ้นก็ยังตรัสคำเดิมว่าจะรอดู”“หากหวงช่างเชิญมาเพียงเท่านี้ กระหม่อมขอลา” ชายหนุ่มลุกขึ้นโดยยังไม่ได้รับอนุญาต หน้าตานิ่งเฉยบ่งบอกว่าไม่เกรงกลัวอาญาเลยแม้แต่น้อย“ดะ เดี๋ยวเจิ้นมีเรื

  • The Evil Queen ฝืนลิขิตร้ายกลายเป็นลิขิตรัก   ลิขิตรัก 9 พบเจอ

    ลิขิตรัก 9พบเจอหนึ่งชั่วยามผ่านไปจบเสียที…กี่ตัวกันนะ 10 ตัว 50 ตัว หรือมากกว่านั้น ข้าทิ้งตัวลงนอนที่พื้นอย่างคนหมดแรง เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คิดว่าถ้ากลับไปต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วยามกว่าจะล้างมันออกหมด ตามร่างกายมีรอยกรงเล็บที่ร่างกายสมานบาดแผลไม่ทันเนื่องจากมันมีเยอะเกินไปโฮกกกกกเหลืออีกตัวหรือ ข้าหันไปมองทางต้นเสียง เห็นมันหนึ่งตัวขู่คำราม เห็นเขี้ยวแหลมคมที่สามารถฉีกร่างกายมนุษย์พร้อมกินอย่างไม่เหลือแม้แต่กระดูก มันทำท่าพร้อมกระโจนเข้ามาทุกเมื่อ แต่ข้าหมดแรงแล้วนะ คิดในใจทว่าสมองสั่งให้ลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับหนักอึ้งแขนขาขยับได้อย่างยากลำบากอาจเป็นเพราะนี่มันเลยขีดจำกัดของความเป็นมนุษย์มามากแล้ว สุดท้ายจึงล้มตัวลงนอนที่เดิม จบแล้วสินะ ชีวิตข้าคงมาได้เพียงเท่านี้ ข้าขอโทษท่านพ่อท่านแม่ที่มิอาจกลับไปหาพวกท่าน ลาก่อนท่านอาค

  • The Evil Queen ฝืนลิขิตร้ายกลายเป็นลิขิตรัก   ลิขิตรัก 8 เทพเซียน

    ลิขิตรัก 8 เทพเซียนยามจื่อ (23.00 - 24.59 น.)“ฝั่งนั้นมีกี่ตัว” ข้าสวมชุดสีดำทะมัดทะแมง พร้อมผ้าคาดผืนบาง เหลือเฉพาะดวงตา มองไปมาเหมือนนักฆ่าไม่มีผิด“2 ตัวขอรับ” ฮุ่ยเฉินที่แต่งตัวไม่ต่างจากข้าเอ่ยบอก ตอนนี้บาดแผลเขาสมานกันดีแล้ว เหลือเพียงรอยขีดข่วนจากกรงเล็บที่แขนนั่นนิดหน่อย พละกำลังก็เหมือนจะฟื้นตัวแล้วด้วย ข้าคงลืมบอกอีกอย่างสินะ เลือดของข้าหน่ะ นอกจากจะรักษาบาดแผลแล้วยังฟื้นฟูพลังตบะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ เพราะข้าเกลียดความวุ่นวาย“จัดการ” ข้าบอกเขาเสียงเรียบก่อนที่ตัวเองจะปรี่ตัวเข้าไปจัดการอีกฝั่งที่มี 5 ตัว ลักษณะของมันแตกต่างจากซือเป่าลิบลับ เหมือนสัตว์อสูรกายมากกว่าเป็นสัตว์อสูร มันมองมาอย่างหิวโหยแต่ก่อนที่มันจะกระโจนใส่ ข้าชิงเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก่อนจะฟันไปที่ลำตัวของมันจนเลือดสีดำคล้ำสาดกระเด็นเปื้อนชุดข้าและนี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เลือกหยิบชุดสีน

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status