LOGIN
“ผมมีข้อเสนอจะให้คุณ”
น้ำเสียงทุ้มพร่าเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ หากแต่กังวานอยู่ในความเงียบของห้องราวกับมนตร์สะกด หลินซีเผลอกลั้นหายใจ หัวใจกระตุกวูบไปกับสุ้มเสียงที่นุ่มนวลดุจเครื่องดนตรีชั้นเลิศ
“ค่ะ”
เธอตอบรับเสียงแผ่ว พยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่น ลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากขณะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มคู่นั้น ดวงตาที่เปล่งประกายคมปลาบราวกับรัตติกาลที่ประดับด้วยดาวนับล้านดวง
ทว่าแววตาที่จ้องกลับมากลับเจือไปด้วยความหยอกเย้า หรือบางทีอาจเป็นความเย้ยหยัน เธอรอ...รอให้เขาเอ่ยประโยคถัดไป แต่เขากลับนิ่งเงียบ ปล่อยให้ความเงียบทำงานของมันอย่างเลือดเย็น บีบคั้นเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
ความอึดอัดเริ่มเกาะกุมจนเธอทนไม่ไหว
“แล้ว...ข้อเสนอของคุณคืออะไรเหรอคะ”
ริมฝีปากหยักได้รูปของเขาค่อย ๆ เผยอออกเป็นรอยยิ้มอย่างเชื่องช้า เป็นรอยยิ้มที่เผยให้เห็นไรฟันขาวสะอาด แต่กลับไม่ได้ทำให้บรรยากาศดีขึ้นเลย เขายังคงไม่พูดอะไร ปล่อยให้เธอจมอยู่กับความสับสนของตัวเองต่อไป
“หรือว่าคุณไม่มีอะไรจะพูดคะ” ครั้งนี้หลินซีกระแทกเสียงถาม ความหงุดหงิดฉายชัดขึ้นมาในแววตา
ในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปาก
“ผมมีเรื่องจะพูดเยอะแยะเลยล่ะครับ” ฝ่ามือแกร่งยกขึ้นลูบไล้ไปตามเส้นผมสีดำขลับของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน ทุกการเคลื่อนไหวของเขาดูสง่างามจนน่าโมโห “แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณพร้อมที่จะฟังมันแล้วรึยัง”
“ก็เห็นอยู่ว่าฉันพร้อมแล้ว”
เธอสวนกลับทันควัน พลางเสมองไปทางอื่นอย่างรวดเร็วเกินไปจนดูมีพิรุธ แผงอกกำยำที่โผล่พ้นสาบเสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งไม่ได้ติดกระดุมสองเม็ดบนนั้น ดึงดูดสายตาอย่างร้ายกาจ จินตนาการบ้า ๆ แล่นพล่านเข้ามาในหัว อยากให้เขาปลดกระดุมเม็ดที่เหลือ...อยากเห็นกล้ามเนื้ออกที่ซ่อนอยู่ภายใต้เนื้อผ้า...อยากกระชากเนคไทที่คลายออกอย่างหลวม ๆ นั่นทิ้งไป แต่เธอก็ทำได้เพียงกำมือแน่น พยายามสะกดความปรารถนาของตัวเองไว้ เธอจะไม่มีวันให้เขารู้เด็ดขาดว่าเธออ่อนแอต่อเสน่ห์ของเขามากแค่ไหน
“ดีครับ” เขาก้าวเข้ามาใกล้เธออีกหนึ่งก้าว ตัดระยะห่างระหว่างพวกเขาทันที
หลินซีกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออีกครั้ง หัวใจในอกเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมาข้างนอก ผิวเนื้อร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“แล้ว...ข้อเสนอของคุณคืออะไรคะ”
น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาราวกระซิบ เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว สัญชาตญาณกำลังกรีดร้องให้ออกห่างจากชายคนนี้ เธอพอจะเดาได้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร แต่ใจหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะหาคำตอบรับมือกับเกมบ้า ๆ ของเขาได้อย่างไร เธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะมีสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกับใคร ยิ่งกับคนที่แทบไม่รู้จักอย่างเขาด้วยแล้ว
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณพร้อมแล้วจริง ๆ” เขาหัวเราะในลำคอขณะก้าวตามเข้ามาอย่างคุกคาม
“ฉันบอกว่าพร้อมแล้วไงคะ” ครั้งนี้เธอหยัดยืน ไม่ยอมถอยอีก เธอจะไม่ยอมให้เขาได้ใจไปมากกว่านี้
“ผมต้องแน่ใจก่อนว่าคุณจะรับมือผมไหว”
เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองช้า ๆ เป็นภาพที่อันตรายและเซ็กซี่อย่างเหลือร้าย ในชั่วขณะนั้น หลินซีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกแกะที่กำลังจะถูกหมาป่าเจ้าเล่ห์ขย้ำ
“รับมือเรื่องอะไรคะ”
เธอกลืนน้ำลายอีกครั้ง สายตาเจ้ากรรมกลับทรยศความคิดโดยเลื่อนไปจับจ้องยังต้นแขนแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม สมองเจ้ากรรมกลับวาดภาพว่ามันจะรู้สึกอย่างไร หากแขนคู่นั้นจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงเธออยู่บนเตียง เธอหน้าแดงก่ำกับความคิดของตัวเอง
ให้ตายสิ เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่...
“ทุกเรื่อง” เขาเอ่ยเรียบ ๆ แต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับลากไล้สำรวจเรือนร่างของเธออย่างจาบจ้วงราวกับจะเปลื้องผ้าเธอด้วยสายตา
“ทุกเรื่องเหรอคะ” เธอเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง
“ผมอยากจะให้คุณยอมจำนนต่อผม...หลินซี” น้ำเสียงของเขาแหบพร่าลงราวกับเสียงคำราม เปลวไฟแห่งความปรารถนาลุกโชนขึ้นอย่างเปิดเผยในดวงตาของเขา
“ว่าไงนะคะ!” ดวงตาของเธอเบิกกว้าง เขาไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด เธอคาดว่าเขาจะอ้อมค้อมกว่านี้ แต่ดูเหมือนชายคนนี้จะชอบตัดเข้าประเด็นเลย
“ผู้ชายอย่างผม...อยากได้อะไรก็ต้องได้...เมื่อไหร่ที่ต้องการ” กู้เทียนอี้ปลดเนคไทของตัวเองออกแล้วโยนมันลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี ราวกับกำลังปลดเปลื้องพันธะชิ้นสุดท้าย “นั่นคือสิ่งที่คุณต้องจำไว้”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เธอมองตามเนคไทที่กองอยู่บนพื้น แล้วเงยหน้ามองเขา
เขาจะทำอะไรต่อไป?
“แน่ใจเหรอครับ”
ร่างสูงขยับเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ปลายนิ้วแกร่งเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าแต่เด็ดขาด ค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองออกทีละเม็ด...ทีละเม็ด...ทุกวินาทีที่ผ่านไปเหมือนถูกยืดออกจนยาวนาน หลินซีรู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวถูกสูบออกไปจนหมดขณะจ้องมองแผ่นอกสีมะกอกที่ค่อย ๆ เผยออกมา นี่มันเหมือนความฝัน ช่างเป็นฝันร้ายที่แสนยั่วยวน
“ค่ะ” เธอพยักหน้า พยายามกลืนน้ำลายอีกครั้ง แต่ในคอกลับไม่มีน้ำลายเหลืออยู่แล้ว เขาถอดเสื้อเชิ้ตออกแล้วโยนมันไปกองอยู่ข้าง ๆ เนคไท “คุณ...คุณกำลังทำอะไรคะ” เธอถามเสียงสั่นเมื่อปลายนิ้วของเขาเลื่อนไปที่หัวเข็มขัด เธอมองตามมือของเขาที่ปลดมันออกอย่างชำนาญ
ไม่นะ...เขาคงไม่ได้จะถอดเสื้อผ้าทั้งหมดจริง ๆ ใช่ไหม
“ดูเหมือนอะไรล่ะครับ” เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองแล้วก็ยิ้มมุมปากใส่เธอ
“ทำไมคุณถึงถอดเสื้อผ้า”
“แล้วคุณคิดว่าทำไม” เขาไม่ตอบ แต่กลับก้มลงถอดกางเกงสีกรมท่าของตัวเองออก บัดนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ เกือบจะเปลือยเปล่า เหลือเพียงบ็อกเซอร์สีขาวที่ปกปิดความเป็นชายของเขาไว้เท่านั้น
“คุณกู้เทียนอี้...”
ในหัวของเธอหมุนติ้ว ลำคอแห้งผาก ให้ตายเถอะ เขาเซ็กซี่เกินไปแล้ว
“ครับ?”
รอยยิ้มของเขากว้างขึ้น ก่อนจะก้าวออกจากบ็อกเซอร์ชิ้นสุดท้าย ตอนนี้เขาเปลือยเปล่าโดยสิ้นเชิง สายตาของเธอถูกตรึงอยู่ที่แก่นกายของเขา เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาเพิ่งจะเปลื้องผ้าต่อหน้าเธออย่างสบาย ๆ นี่มันชักจะเลยเถิดเกินไปใหญ่แล้ว...เธอต้องหยุดเรื่องนี้เดี๋ยวนี้!
“คุณกู้เทียนอี้!” เธอถอยกรูด ใบหน้าร้อนผ่าวราวกับจับไข้ เธอถลำลึกเข้ามาเกินไปแล้ว...จนกระทั่งแผ่นหลังชนเข้ากับกำแพงเย็นเฉียบ เธอครางออกมาอย่างจนมุม เขาต้อนเธอเหมือนกับที่วางแผนไว้ไม่มีผิด
“ครับ...หลินซี” ดวงตาสีนิลคู่นั้นจ้องลึกเข้ามาอย่างรู้ทัน
“คุณจะทำอะไร” เธอทวนคำถามเดิม น้ำเสียงสั่นเทาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
“ก็แค่...แสดงให้คุณเห็นว่าการปล่อยวางมันง่ายแค่ไหน”
สิ้นคำพูดนั้น เขาก็กระแทกประตูปิดเสียงดัง ปัง!
เสียงลูกบิดที่ถูกล็อกดัง ‘คลิก’ สะท้อนก้องอยู่ในใจของเธอ
“ตอนนี้คุณพร้อมจะฟังข้อเสนอของผมรึยัง”
ความเงียบที่เข้ามาแทนที่เสียงหอบหายใจและเสียงครางแห่งความสุขสมนั้นมันหนักอึ้งและเย็นเยียบจนน่ากลัว หลินซีฟุบหน้านิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานที่แข็งกระด้างและเย็นเฉียบ ร่างกายเปลือยเปล่าและเหนียวเหนอะหนะ ดวงตาจ้องมองไปด้านหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า สภาพห้องที่ยุ่งเหยิง แฟ้มเอกสารที่ตกกระจายเกลื่อนพื้น เศษกระดาษที่ปลิวว่อน ทั้งหมดคือซากปรักหักพัง ไม่ต่างจากสภาพจิตใจของเธอในตอนนี้ ความร้อนแรงเมื่อครู่จางหายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกว่างเปล่า อัปยศ และไร้ค่า หลินซีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงสิ่งของ เป็นเครื่องระบายความใคร่ เป็นโสเภณีที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นภารกิจ หญิงสาวค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ทุกส่วนของร่างกายปวดระบม แต่ความเจ็บปวดทางกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดที่กำลังกรีดลึกอยู่ในใจ เธอรีบกวาดสายตาหาเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกฉีกกระชากและโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แล้วรีบสวมมันกลับคืนอย่างลวก ๆ ราวกับจะใช้เศษผ้าเหล
คำว่า ‘อย่าหยุดนะ’ หลุดออกมาเหมือนเสียงกระซิบที่ยอมจำนน มันคือการโยนเศษเสี้ยวสุดท้ายของกำแพงแห่งศักดิ์ศรีทิ้งไป รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของกู้เทียนอี้ มันคือรอยยิ้มของผู้ล่าที่รู้ว่าเหยื่อได้สยบแทบเท้าของเขาโดยสมบูรณ์ เขาไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานกับการรอคอย ปลายนิ้วช่ำชองเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งความปรารถนาอีกครั้ง แต่สำหรับหลินซีแล้ว ทุกสัมผัสที่ทำให้ร่างกายบิดเร่า คือทุกขณะที่หัวใจของเธอกำลังถูกบีบคั้น กฎที่เขาเคยตั้งไว้ดังก้องอยู่ในหัว... ‘ห้ามมีความรู้สึก’ ช่างเป็นคำพูดที่โหดร้ายเหลือเกินในยามนี้ และเมื่อเขาเห็นว่าหญิงสาวใกล้จะหลอมละลายเต็มที ร่างกายของเธอบิดเกร็งจนแทบจะถึงจุดสูงสุดอยู่รอมร่อ กู้เทียนอี้ก็ก้มหน้าลงมา ความร้อนชื้นที่ฉกวูบลงบนจุดที่อ่อนไหวที่สุดทำให้หลินซีสะดุ้งสุดตัว มันคือสัมผัสที่เธอไม่เคยคาดคิดและรุนแรงเกินกว่าจะต้านทาน เขาไม่ได้เริ่มต้นอย่างอ่อนโยน แต่กลับจู่โจมอย่างผู้กระหาย มอบสัมผัสที่ลึกซึ้งและจาบจ้วงที่สุดด้วยลิ้นร้อนชื้นของเขา ลิ้นของเขาทำราวกับมีชีวิต มันทั้งไล้เลีย ตวัด และดูดดึงอย่างช่ำชอง เขาเริ่มต้นด้ว
“กู้เทียนอี้...” หลินซีรวบรวมสติเส้นสุดท้ายพึมพำชิดริมฝีปากชายหนุ่ม เธอไม่อาจถอยหนี...และไม่อยากจะถอยหนี “นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะ” “แล้วมันเป็นความคิดที่เลวร้ายรึเปล่าล่ะ” เขาขยิบตา “อ๊ะ...ไม่ต้องตอบหรอก ผมไม่สนอยู่แล้วว่ามันจะดีหรือจะร้าย ผมชอบทั้งสองอย่าง” “ฉันก็แค่ไม่เข้าใจคุณ...กู้เทียนอี้” เธอพบว่ามันยากที่จะไม่ยิ้มให้เขา ดวงตาของเขาช่างน่าดึงดูด และอารมณ์ขันของเขาก็น่ารัก แม้แต่หลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นเธอก็ยังคงติดอยู่ในบ่วงของเขา “ผมก็เหมือนหนังสือที่เปิดอ่านง่าย ๆ ไม่มีอะไรต้องเข้าใจ แล้วคุณอยากจะรู้อะไรล่ะ” “ฉันอยากจะรู้...” เธอหยุดไปครู่หนึ่ง ตกใจที่ตัวเองเกือบจะเอ่ยชื่อ ‘ซูเฟิน’ ออกไป เธอเสียสติไปแล้วแน่ ๆ “อะไรคือสิ่งที่คุณอยากจะรู้ล่ะครับ” เขาเอียงคอ ดวงตาหรี่ลงขณะจ้องมองเธอ สีหน้าครุ่นคิด “มันไม่สำคัญหรอกค่ะ” “ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันสำคัญกับคุณ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนลงทำให้หลินซีบอกได้เลยว่าเขากำลังพยายามจะอ่านใจเธอ ทำให้เธอประหม่า ไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรดี เธอจะบอกเขาได้ยังไง
ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของเธออย่างจาบจ้วง ไล่ต้อนและช่วงชิงทุกความหอมหวานไปจนหมดสิ้น สมองของเธอขาวโพลน ขาแข้งอ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่ มือที่เคยคิดจะผลักไสกลับขยุ้มเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่นเป็นที่ยึดเหนี่ยว เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจ ไม่ใช่เพราะขาดออกซิเจน แต่เพราะกำลังจมดิ่งลงไปในตัวตนของเขาจนหมดสิ้น “แล้วแบบนี้...ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจรึเปล่าครับ” กู้เทียนอี้ถามเสียงเบาขณะถอนริมฝีปากออกห่าง จ้องลึกลงไปในดวงตาหญิงสาวด้วยแววตาของผู้ชนะ “อืมมม...” เธอพึมพำ หายใจหอบเกินกว่าจะพูดอะไรได้ ฝูงผีเสื้อนับล้านกำลังบินว่อนอยู่ในท้อง ทำไมเขาต้องมีเสน่ห์ร้ายกาจขนาดนี้ด้วยนะ... “‘อืมมม’ เหรอครับ” เขามองเธออย่างเหนื
ก่อหน้านี้ ณ อีกฟากหนึ่งของห้องประชุม กู้เทียนอี้ยืนนิ่งไม่ไหวติง รอยยิ้มหยันที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ได้จางหายไปแล้ว เหลือเพียงความเยียบเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากดวงตาสีน้ำหมึกที่บัดนี้หรี่ลงจนแทบจะเป็นเส้นตรงจับจ้องไปยังภาพบาดตาเบื้องหน้า ภาพของหลินซีที่กำลังส่งยิ้มหวานหยดให้กับพนักงานหนุ่มคนนั้น ภาพที่เธอขยิบตา ภาพที่เธอยื่นโทรศัพท์คืนให้ ทุกการกระทำของเธอคือการตบหน้าเขาฉาดใหญ่ คือการประกาศสงครามที่โจ่งแจ้งที่สุด ความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่คุ้นเคยและไม่เคยต้องการที่จะยอมรับพลุ่งพล่านขึ้นมาในอก มันคือความโกรธ ไม่ใช่ความโกรธที่ดังและเกรี้ยวกราด แต่เป็นความโกรธที่เย็นเยียบ หนักหน่วง และพร้อมที่จะทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า เธอกล้าดียังไง... เขาไม่ได้เดิน แต่เขากำลัง ‘เคลื่อนตัว’
“ต้องเป็นในทางที่ดีแน่ ๆ เลยใช่ไหมครับ” ใบหน้าของเขาจริงจังขึ้นมาทันที และในวินาทีนั้น เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาจริง ๆ เจียสือเป็นคนจริงใจ ดีเกินกว่าจะถูกดึงเข้ามาในเกมบ้า ๆ นี้ “ในทางที่ดีมากเลยค่ะ คุณเป็นคนดีจริง ๆ นะคะเจฟ” “แย่แล้วสิครับ” เขาแกล้งทำหน้าแหย ยกมือขึ้นทาบอกราวกับถูกยิง “อะไรคะ” “โดนชมว่าเป็นคนดีแบบนี้ก็จบกันพอดีสิครับ” “ไม่ค่ะ ไม่ใช่” เธอหลุดหัวเราะออกมากับท่าทีของเขา “ฉันชอบคนดีนะคะ” “ค่อยโล่งใจหน่อยครับ” เขายิ้มกริ่ม ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะค่อย ๆ จางหายไปเมื่อมองข้ามไหล่ของเธอ “แต่ผมว่า...”







