ณัชชาเดินเข้ามาในห้องพักแพทย์ สีหน้าของเธอหม่นหมองลงเล็กน้อยกว่าทุกวัน เธอเห็นภีมวัชนั่งที่มุมส่วนตัวจึงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พยายามชวนคุย
“หมอภีมวันนี้มีเรื่องอีกแล้วเหรอคะ”
ภีมวัชเงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงไปอ่านเอกสารต่อ
“ครับ”
บรรยากาศในห้องเงียบลงทันที ณัชชาไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นชาและระยะห่างที่ภีมวัชสร้างขึ้นมาอย่างชัดเจน นับตั้งแต่วันที่เธอตัดสินใจสารภาพรักกับเขาไป เขาก็พยายามทำตัวให้ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน
“หมอภีมโกรธฉันเหรอคะ” เธอถามเสียงแผ่วเบา
ภีมวัชหยุดอ่านเอกสาร เขาวางมันลงบนโต๊ะ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาณัชชาตรงๆ แววตาของเขาเรียบนิ่งจนเธอไม่สามารถอ่านความรู้สึกใดๆ ได้
“ผมไม่ได้โกรธหมอนัท แต่ผมแค่คิดว่าเราควรรักษาระยะห่างที่เหมาะสม”
“แต่เราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วนะคะ สิบสามปีแล้วที่เรารู้จักกัน ทำไมต้องทำเย็นชากับฉันเหมือนคนอื่น” ณัชชาพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือ
“ก็เพราะเราเป็นเพื่อนกันผมถึงต้องชัดดเจน ผมกำลังจะแต่งงานแล้ว ผมไม่อยากให้ว่าที่ภรรยาผมเข้าใจผิด และไม่อยากให้คนอื่นมองคุณไม่ดี” ภีมวัชตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง คำพูดของภีมวัชเหมือนมีดกรีดลงบนหัวใจของณัชชา เธอรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว
“แต่งงาน”
“ใช่ครับ” ภีมวัชตอบสั้นๆ แต่หนักแน่น
น้ำตาของณัชชาเริ่มไหลออกมาอย่างเงียบๆ เธอพยายามเช็ดมันออก แต่ก็ไม่สามารถหยุดมันได้
“ฉัน...ฉันขอโทษที่ทำให้คุณลำบากใจ”
“ไม่เป็นไรครับ” ภีมวัชพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน
เขาเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ณัชชานั่งร้องไห้อยู่คนเดียว เธอไม่ต้องการเป็นแค่เพื่อน แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเธอจะเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ไปเสียหมดแล้ว
************************
ภายในห้องทำงานส่วนตัวของภีมวัชในบ้านของเขา อิงลดากำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ บนโต๊ะไม้สักมีเอกสารกองโตวางอยู่เต็มไปหมด เธออยู่ในชุดลำลองที่ดูสุภาพ สายตาและท่าทางแสดงออกถึงความมุ่งมั่นและจริงจังอย่างเห็นได้ชัด
ภาพแผนผังโรงงานขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ อิงลดาใช้ปากกาชี้ไปที่จุดต่างๆ บนหน้าจออย่างคล่องแคล่ว เสียงของเธอดังออกมาอย่างหนักแน่นผ่านไมโครโฟน
“ตรงนี้คือโซนรับวัตถุดิบนะคะ ต้องออกแบบให้รถบรรทุกสามารถเข้าออกได้สะดวก ไม่ต้องตีวงเลี้ยวเยอะ แล้วก็ต้องมีพื้นที่ให้รถบรรทุกสวนเข้าออกได้”
“ค่ะคุณอิง เดี๋ยวจะส่งแบบแก้ไขให้ทางวิศวกรดูอีกครั้งค่ะ” ปลายสายเป็นเสียงของพนักงานในบริษัทที่รับฟังคำสั่งของเธออย่างตั้งใจ
“ส่วนเครื่องบรรจุและเครื่องบ่มไวน์ที่สั่งไว้” อิงลดาชี้ไปที่โซนถัดไป ก่อนจะพูดต่อ
“ให้รีบตามเรื่องกับทางโรงงานด้วยค่ะ บอกเขาว่าผลิตตามแบบที่เราส่งให้ สัญญาส่งงานต้องเป็นไปตามเวลาที่กำหนด”
หลังจากนั้นเธอก็อธิบายรายละเอียดต่างๆ อย่างเชี่ยวชาญ ทั้งการวางระบบท่อส่งน้ำ ระบบระบายอากาศ และระบบความปลอดภัยต่างๆ ราวกับเป็นสถาปนิกที่เคยผ่านงานก่อสร้างมาแล้วนับไม่ถ้วน
“พื้นที่เก็บไวน์ต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้คงที่ตลอดเวลา ห้ามให้แสงแดดส่องถึงโดยตรง และต้องมีระบบสำรองไฟที่พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง”
“รับทราบค่ะ” ตัวแทนพนักงานปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
หลังจากที่การประชุมเสร็จสิ้น พนักงานหลายคนก็ออกจากการประชุมไป เหลือเพียงพนักงานคนหนึ่งในสาย เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอึกอักเล็กน้อย
“เอ่อ คุณอิงคะ...คือว่าตอนนี้คุณภาณุมาเฝ้ารออยู่ที่หน้าบริษัทค่ะ”
สีหน้าของอิงลดาเปลี่ยนไปในทันที รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนใบหน้าหายไปในพริบตา
“มาทำไม”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เขาบอกว่าถ้าไม่ได้เจอคุณอิงจะไม่ยอมกลับ”
อิงลดาถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เธอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเขาเฝ้าไปเถอะ ในช่วงนี้ฉันจะยังไม่เข้าบริษัท ถ้าเขาอยากจะเฝ้าก็ปล่อยให้เฝ้าไป” อิงลดาพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด
“ค่ะ”
“ถ้ามีอะไรด่วนจริงๆ ให้ส่งเอกสารมาให้ฉันทางอีเมล ฉันจะจัดการเอง”
“ได้ค่ะ” พนักงานสาวรับคำสั่ง
อิงลดากดวางสาย ความเคร่งเครียดบนใบหน้ายังคงอยู่ เธอถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ มองออกไปข้างนอกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล
หญิงสาวรู้ดีว่าการที่ภาณุยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเธอแบบนี้ จะส่งผลเสียต่อตัวภีมวัชและทุกคนที่อยู่รอบตัวเธอแน่นอน เธอไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะเธออีกแล้ว
************************
หลังจากผ่านขั้นตอนการลงทะเบียนและยื่นเอกสารต่างๆ จนครบถ้วน ภีมวัชและอิงลดาก็ถูกเรียกให้เข้ามาในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ทะเบียน“เชิญคุณภีมวัชและคุณอิงลดาลงชื่อในทะเบียนสมรสได้เลยค่ะ” เจ้าหน้าที่ยื่นปากกามาให้ทั้งสองคนอิงลดาใจเต้นแรง เธอรับปากกามาถือไว้ในมือ แล้วมองไปที่ภีมวัชที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาส่งยิ้มบางๆ ให้กับเธอ เป็นยิ้มที่ทำให้ความตื่นเต้นและความประหม่าของเธอคลายลงเล็กน้อยมือเรียวของหญิงสาวสั่นเล็กน้อยขณะจรดปลายปากกาลงบนกระดาษ ตัวอักษรแต่ละตัวที่เธอเขียนลงไปมีความหมายมากกว่าแค่การเซ็นชื่อ มันคือการเริ่มต้นบทใหม่ของชีวิต และเธอก็หวังว่ามันจะเป็นบทสรุปที่สวยงามอย่างที่มารดาของภีมวัชตั้งใจเมื่อเซ็นชื่อเสร็จแล้ว เธอส่งปากกาให้ภีมวัช เขารับมันมาด้วยรอยยิ้มที่มองเห็นได้ชัดกว่าทุกครั้ง มือแกร่งจรดปลายปากกาลงบนกระดาษอย่างมั่นคงและเด็ดเดี่ยว ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย ตามด้วยลายเซ็นของพยาน“ยินดีด้วยนะคะคุณภีมวัช คุณอิงลดา หลังจากนี้ก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วค่ะ” เจ้าหน้าที่เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
เช้าวันใหม่มาถึงพร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องเข้ามาในห้องนอนของอิงลดา หญิงสาวตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นจนแทบนอนไม่หลับมาทั้งคืน เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญที่เธอจะได้จดทะเบียนสมรสกับภีมวัชอหญิงสาวเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เธอใช้เวลาอยู่หน้าตู้อยู่นานหลายนาที มือเรียวไล่ไปตามชุดต่างๆ ที่แขวนอยู่ภายในตู้ เธออยากจะเลือกชุดที่สวยที่สุดในวันนี้ชุดเดรสสีขาวสะอาดตา ชุดเดรสสีชมพูหวานๆ ชุดเดรสสีฟ้าอ่อนสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจหยิบชุดเดรสสีขาวเรียบๆ ที่มีลูกไม้ประดับที่คอเสื้อออกมา ร่างบางหมุนตัวไปมา มองดูตัวเองในเงาสะท้อนของกระจกที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขกับชุดที่เลือกได้ในขณะเดียวกัน ที่อีกห้องหนึ่ง ภีมวัชกำลังเผชิญหน้ากับความตื่นเต้นไม่แพ้กัน เขายืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า กำลังเลือกหยิบเนกไทสีต่างๆ ออกมาวางเรียงกันบนเตียงอย่างชั่วใจเขาลองหยิบเนกไทสีน้ำเงินเข้มขึ้นมาทาบกับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เตรียมไว้ แต่ก็ต้องส่ายหน้าให้กับตัวเอง เขารู้สึกว่ามันดูทางการเกินไป เขาจึงวางมันลง แล้วหยิบเนกไทสีเทาเงินขึ้นมาทาบแทน แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ เขายืนนิ่งอยู่หน้ากองเนกไทบนเตียง
อิงลดาก้าวออกมาจากห้องทำงานของภีมวัชด้วยสีหน้าครุ่นคิด เธอรู้สึกหนักใจกับปัญหาที่ภาณุก่อขึ้น แต่ก็ต้องรีบสลัดความกังวลทิ้งไปเมื่อเหลือบไปเห็นดาริกากำลังนั่งอ่านนิตยสารอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วยิ้มให้เธอเป็นเชิงเรียกให้เข้าไปนั่งด้วย“วันนี้คุณแม่ไม่ได้ออกไปงานเลี้ยงกับเพื่อนเหรอคะ” อิงลดาเอ่ยทักทายพร้อมกับรอยยิ้ม“เพิ่งกลับมาจ้ะ เพื่อนๆแม่เขาพูดอวดเรื่องหลานกัน แม่ไม่มีหลานกับเขา คุยไม่สนุกเลยกลับมาก่อน” ดาริกาวางนิตยสารลงแล้วยิ้มตอบอิงลดาเดินไปนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับดาริกา เธอนั่งตัวตรงด้วยกิริยาที่สำรวม“เรื่องจดทะเบียนสมรสน่ะ แม่ดีใจนะที่ลูกสองคนตกลงกันได้” ดาริกาเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นเล็กน้อยอิงลดาไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เธอจึงแค่ยิ้มรับ“แม่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้อาจจะเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาของหนู แต่แม่หวังว่ามันจะยาวนานและแม่ก็อยากได้หนูมาเป็นลูกสะใภ้จริงๆ ไม่ใช่แค่การแต่งงานบังหน้า” ดาริกาพูดต่ออิงลดาเงยหน้าขึ้นมองหญิงวัยกลางคนด้วยความซาบซึ้ง“แม่รักหน
ณัชชาเดินเข้ามาในห้องพักแพทย์ สีหน้าของเธอหม่นหมองลงเล็กน้อยกว่าทุกวัน เธอเห็นภีมวัชนั่งที่มุมส่วนตัวจึงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พยายามชวนคุย“หมอภีมวันนี้มีเรื่องอีกแล้วเหรอคะ”ภีมวัชเงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงไปอ่านเอกสารต่อ“ครับ”บรรยากาศในห้องเงียบลงทันที ณัชชาไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นชาและระยะห่างที่ภีมวัชสร้างขึ้นมาอย่างชัดเจน นับตั้งแต่วันที่เธอตัดสินใจสารภาพรักกับเขาไป เขาก็พยายามทำตัวให้ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน“หมอภีมโกรธฉันเหรอคะ” เธอถามเสียงแผ่วเบาภีมวัชหยุดอ่านเอกสาร เขาวางมันลงบนโต๊ะ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาณัชชาตรงๆ แววตาของเขาเรียบนิ่งจนเธอไม่สามารถอ่านความรู้สึกใดๆ ได้“ผมไม่ได้โกรธหมอนัท แต่ผมแค่คิดว่าเราควรรักษาระยะห่างที่เหมาะสม”“แต่เราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วนะคะ สิบสามปีแล้วที่เรารู้จักกัน ทำไมต้องทำเย็นชากับฉันเหมือนคนอื่น” ณัชชาพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือ“ก็เพราะเร
ภีมวัชนั่งศึกษาเคสของผู้ป่วยคนหนึ่งในห้องทำงานในบ้านของตัวเองจนดึก เขามองดูนาฬิกาก่อนจะตัดสินใจปิดแฟ้มเอกสารเพื่อที่จะเข้านอนก่อนสี่ทุ่มชายหนุ่มหยุดอยู่หน้าประตูห้อง รอยยิ้มบางๆผุดที่มุมปากพลางคิดว่าเธอคงเข้านอนแล้ว แต่ก็อยากจะเห็นหน้าเธออีกสักครั้ง และไวกว่าความคิดในหัว มือของเขาก็เคาะที่ประตูห้องนอนเธอ พลางคิดว่าเป็นหมอระบบประสาทและสมองแท้ๆ แต่กลับควบคุมความคิดของตนเองไม่ได้ภายในห้องนอน อิงลดาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงสะดุ้งเล็กน้อย เธอรู้ทันทีว่าใครอยู่หลังประตู หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ เธอจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในคืนล่าสุดที่เขาจูบเธอ เจอหน้ากันก่อนนอนทีไรไม่จูบก็พูดจาทำให้หวั่นไหวแต่สุดท้ายหญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้อย่างเต็มใจทันทีที่บานประตูเปิดออก ภีมวัชก็ส่งยิ้มบางๆ ให้กับเธอ “ยังไม่นอนอีกเหรอ”“ถ้านอนแล้วจะลุกมาเปิดประตูได้เหรอคะ” อิงลดายิ้มตอบเขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องของเธออย่างไม่ได้รับเชิญ“พี่แค่อยากจะมาบอกอิงว่าเรื่องจดทะเบียนสมรส พี่เต็มใจ
ภีมวัชขับรถกลับมาถึงบ้านพักในยามเย็น ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เขาก็พบกับร่างเล็กของอิงลดาที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา เธอหันมาตามเสียง วันนี้เธอรอที่จะพูดเรื่องสำคัญกับเขา“กลับมาแล้วเหรอคะพี่ภีม” อิงลดาเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงที่ทำให้หัวใจที่เย็นชาของเขานุ่มลงเล็กน้อย“อืม” ภีมวัชตอบสั้นๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวฝั่งตรงข้ามกับเธอ แอบสังเกตสีหน้าของอิงลดาที่ดูเหมือนมีบางอย่างอยากจะพูด และเอาใจเขาผิดปกติ“พี่ภีมจะกินข้าวก่อนไหมคะ หรือว่าจะรับน้ำเย็นสักแก้วไหม” เธอพูดพลางลุกขึ้นยืนเตรียมตัว หญิงสาวประหม่าเกินกว่าจะพูดขึ้นมาตรงๆ“มีอะไรก็พูดมาเถอะ อ้อมค้อมไปมาเมื่อไหร่จะรู้เรื่อง” เขามองสบตาเธอ สีหน้าเรียบเฉยแต่แฝงแววบางอย่างไว้อิงลดาชะงักไปเล็กน้อย ดวงตากลมโตหลุบลงมองพื้น ก่อนจะกลับมาสบตาเขาอีกครั้งด้วยความลังเล“อิงมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับพี่ภีมค่ะ”“เรื่องอะไร” ภีมวัชรู้ดีว่าเธอจะพูดอะไร แต่ก็ยังคงตีหน้าตาย“คุณแม่อิงของว่าเรายังไม่มีฤกษ์แต่งงานน่ะค่