LOGINช่วงบ่ายหลิวตงหัวและหลิวเฟยหลงก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน ท้องของพวกเขาคำรามเสียงดังด้วยความหิวโหย
“พี่ใหญ่กลับเรือนเถอะข้าหิวจนไม่มีแรงทำงานแล้ว ท่านพ่อย่อมต้องเห็นใจแน่เพราะพวกเราทำงานมาทั้งวันไม่ให้กินอะไรเลยจะไม่เป็นการทารุณพวกเราเกินไปหรือ”
หลิวตงหัวพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องชาย จากนั้นพวกเขาก็ปลุกภรรยาของตนที่กำลังนอนกรนเหมือนหมูให้กลับเรือน
“ท่านพ่อท่านแม่พวกเรากลับมาแล้ว เหนื่อยเหลือเกินหิวด้วยพวกท่านมีอะไรให้เรากินหรือไม่”
หลิวเฟยหลงส่งเสียงมาก่อนที่ตัวจะเข้ามาในเรือนสกุลหลิวเสียอีก พวกเขานั่งลงดื่มน้ำด้วยความกระหายผู้เฒ่าหลิวเห็นว่าลูกชายและลูกสะใภ้ทำงานมาทั้งวันข้าวก็ยังไม่ได้กินจึงเกิดใจอ่อนขึ้นมา
“แม่เจ้าทำเจียนปิ่งไส้ผักเอาไว้รีบกินแล้วรีบกลับไปทำงาน”
พูดจบผู้เฒ่าหลิวก็เดินจากไป หลิวฟู่เฉิงเดินออกมาจากห้องพอดีจึงได้เห็นคนทั้งสี่กินเจียนปิ่งเหมือนคนตายอดตายอยากมานาน เขาเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อไปหาแม่เฒ่าจาง
“ท่านย่าข้ามีธุระจะต้องเข้าไปในอำเภอ ท่านมีเงินให้ข้าสักห้าตำลึงหรือไม่”
แม่เฒ่าจางส่งเสียงอึกอักดวงตาของนางกลอกไปมาเหมือนไม่เต็มใจที่จะบอกเขา ความจริงนางอยากจะเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้ แต่หลิวฟู่เฉิงเหมือนจะรู้ความคิดของแม่เฒ่าจางเขาจึงแสร้งถอนหายใจออกมาเบาๆ
“หนังสือที่ข้าอ่านอยู่ตอนนี้นั้นไม่ค่อยให้ความรู้เท่าไหร่ ข้าจึงต้องเขาไปที่อำเภอหลิงจือหาหนังสือใหม่ๆ มาอ่าน ปีหน้าต้องสอบแล้วความรู้ของข้ายังงูๆ ปลาๆ อยู่เลย”
พูดเสร็จหลิวฟู่เฉิงแสร้งทำท่าเดินจากไป แม่เฒ่าจางเห็นดังนั้นนางก็รีบเอ่ยห้ามหลานชายทันที
“เดี๋ยวก่อนอาเฉิง รอย่าสักเดี๋ยว”
แม่เฒ่าจางค้นกล่องบนหัวเตียงออกมาจากนั้นเทเงินก้อนตำลึงวางลงบนมือหลิวฟู่เฉิง
“ขอบคุณท่านย่ามากขอรับ ข้ารู้ว่าเป็นท่านย่าที่หวังดีกับข้าที่สุด รอให้ข้าสอบได้ตำแหน่งจีว์เหรินเมื่อใดท่านย่าจะได้เป็นฮูหยินผู้เฒ่าแน่นอนขอรับ”
พูดจบหลิวฟู่เฉิงก็เดินจากไป แม่เฒ่าจางถึงแม้จะตื่นเต้นไปกับคำพูดที่หอมหวานของหลานชายแต่สายตาของนางก็มองตามเงินห้าตำลึงในมือเขาด้วยความเสียดาย
ตอนนี้ผมของหลิวฟู่เฉิงที่ถูกตัดเหมือนโดนหนูแทะยาวออกมาเล็กน้อยแล้วปกติเขาจะเกล้าผมครึ่งหัวเท่านั้นอีกครึ่งจะปล่อยให้ละลงไปด้านหลัง เพราะมันทำให้ดูเป็นบัณฑิตผู้อ่อนโยนและสง่างาม ตอนนี้เขาต้องเกล้าผมขึ้นทั้งหมดเพราะรอยที่ถูกตัดยังยาวไม่เท่ากัน
หลายเดือนที่หลิวฟู่เฉิงหมกตัวอยู่แต่ในเรือนทำให้เขาคิดได้หลายอย่าง เรื่องราวทั้งหมดที่มันเริ่มผิดเพี้ยนไปจนไม่สามารถควบคุมได้ มันเริ่มขึ้นตั้งแต่หลิวอันอันถูกท่านย่าตีจนสลบ หลังจากวันนั้นนางก็เปลี่ยนเป็นคนละคนบางครั้งเขาก็คิดว่าที่หลิวอันอันเป็นเช่นนี้อาจเพราะถูกวิญญาณมาเข้าสิง เขาได้แต่ส่ายหัวให้กับความคิดเหลวไหลของตน
โลกใบนี้มีผีที่ไหนกันเขาไม่เชื่อเรื่องผีสางอะไรทั้งนั้น และเขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะไม่สามารถควบคุมได้ หลิวฟู่เฉิงเข้าไปในอำเภอหลิงจือในช่วงบ่ายและเขาไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านตระกูลสือในคืนนั้น
วันนี้เจิ้งซูอี้เข้าไปในอำเภอหลิงจือแต่เช้าเพื่อซื้อของหลายอย่างตามที่แม่นางหวังสั่ง ช่วงนี้บ้านหลิวตงจวิ้นกำลังเริ่มก่อสร้างให้ทันแล้วเสร็จก่อนฤดูหนาว หลิวตงจวิ้นเองก็ต้องอยู่ช่วยด้วยเช่นกัน หน้าที่เข้าเมืองซื้อของจึงกลายเป็นของเจิ้งซูอี้ไป หลิวฟู่เฉิงสังเกตว่าทุกสองสามวันนางจะต้องเข้าไปในอำเภอหลิงจือ ก่อนหน้านั้นเขาจึงเข้าไปรอที่นั่นเพื่อวางแผนเล่นงานนาง
เจิ้งซูอี้เดินสะพายตะกร้าออกห่างจากอำเภอหลิงจือเล็กน้อย วันนี้นางไม่ได้นั่งเกวียนโดยสารกลับเพราะของที่ซื้อไม่ได้มากมาย นางสังเกตว่ามีคนสามสี่คนกำลังเดินตามนางมา เมื่อเจิ้งซูอี้ผ่านโค้งที่มีต้นไม้หนาทึบนางก็ใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นไปหลบบนต้นไม้ รอดูว่าพวกที่ตามนางมาต้องการอะไร
“นางหายไปแล้วพี่ใหญ่”
ชายฉกรรจ์สี่คนเหลียวซ้ายมองขวาเพื่อหาร่างของเด็กสาวที่พวกเขาเดินตาม
“ถนนโล่งเพียงนี้นางจะหายไปได้อย่างไรไม่ใช่ผีสักหน่อย รีบตามหานางเร็วหนีไปได้ไม่ไกลหรอก”
ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ถุยน้ำลายลงพื้นพลางสอดส่ายสายตาหาเด็กสาวที่เดินนำหน้าพวกตน เจิ้งซูอี้มองเจ้าโง่สี่คนที่กำลังวิ่งพล่านหานางดั่งสุนัขถูกน้ำร้อนลวกด้วยท่าทางสบายอารมณ์บนต้นไม้
นางไม่เคยมีศัตรูที่ไหนนอกจากคนตระกูลหลิว หากว่าพวกนี้เป็นโจรก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ การแต่งตัวที่ดูซอมซ่อของนางดูอย่างไรก็ยากจนชัดๆ ไม่อาจเป็นเป้าหมายของพวกโจรได้เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะถูกใครบางคนจ้างวานมา
เจิ้งซูอี้ใช้วิชาตัวเบาทะยานลงมาจากต้นไม้เท้าของนางแตะลงที่พื้นแผ่วเบา ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ที่กำลังปรึกษากันถึงกับตกใจเมื่อเด็กสาวที่พวกเขากำลังตามหามายืนอยู่ตรงหน้า ท่าทางถือดีของนางไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวเขาเลยสักนิด
“ใครส่งพวกเจ้ามา คนที่ตอบก่อนข้าจะไว้ชีวิต”
เจิ้งซูอี้เอ่ยเสียงเย็น ชายฉกรรจ์ทั้งสี่มองหน้ากันไปมาจากนั้นจึงพุ่งเข้าหานางอย่างรวดเร็ว
“ยอมแต่โดยดีเถอะแม่นาง หากเจ้ายังไม่อยากเจ็บตัว”
เจิ้งซูอี้ดีดก้อนหินที่เก็บมาจากข้างทางใส่พวกเขาทีละคนจนกระเด็นลอยไป กำลังภายในของร่างหลิวอันอันยังไม่มากพอเท่าร่างเดิมของนางทำให้ชายฉกรรจ์ทั้งสี่เพียงแค่ช้ำในเท่านั้น
“โชคของพวกเจ้ายังดีที่ข้ายังฝึกได้ไม่มากเท่าไหร่ไม่อย่างนั้นแค่ลูกหินก้อนเดียวข้าก็สามารถทำให้พวกเจ้าก็ตายไปหลายครั้งแล้ว”
เจิ้งซูอี้โยนก้อนหินในมือเล่น ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ยังไม่ยอมแพ้คิดจะกระโจนเข้าเล่นงานนางอีกครั้ง
“หุบปากของเจ้าซะนางตัวดี”
เจิ้งซูอี้มองชายร่างยักษ์เหมือนมองคนโง่ นางเตะเข้าที่หน้าอกของเขาเต็มแรง ร่างใหญ่โตของเขาลอยละลิ่วกระแทกต้นไม้จนกระอักเลือดออกมา
“ทีนี้จะบอกข้าได้หรือยังว่าใครจ้างพวกเจ้าให้มาทำร้ายข้า”
ชายฉกรรจ์ทั้งสามคนเมื่อเห็นพี่ใหญ่อยู่ในสภาพอนาถพวกเขาก็ทิ้งอาวุธในมือแล้วนั่งคุกเข่าลง
“จอมยุทธหญิงโปรดไว้ชีวิตด้วย พวกข้าบอกแล้วยอมบอกแล้ว”
ใครจะไปคิดล่ะว่าแค่รับงานฉุดหญิงสาวคนหนึ่งจะได้เงินถึงสิบตำลึง ทั้งยังสามารถเล่นกับนางอย่างที่ต้องการได้หากพวกเขารู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้มีวรยุทธเขาคงไม่รับเงินมาหรอก ไม่คุ้มกับชีวิตที่อาจจะต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่เลยสักนิดเดียว
“ชายหนุ่มอายุราวสิบเก้ายี่สิบปีแต่งกายคล้ายบัณฑิต เมื่อวานเขามาที่บ่อนพนันที่พวกข้าดูแลอยู่เขาจ่ายเงินสิบตำลึงให้ใครก็ตามที่รับงานนี้ พวกข้าเห็นว่าเป็นงานง่ายๆ จึงรับมาอีกทั้งเขายังบอกว่า จะเล่นกับเหยื่ออย่างไรก็ได้ขอแค่ไม่ให้ตายก็พอ”
ประโยคสุดท้ายเขาเอ่ยเสียงเบา เพราะกลัวว่าเจิ้งซูอี้จะอัดเขาเหมือนกับที่พี่ใหญ่โดน เจิ้งซูอี้เดินวนไปวนมาอย่างใช้ความคิด
“ดูเหมือนว่าข้าจะใจดีกับเขาเกินไปจริงๆ สินะ คิดทำร้ายข้าลับหลัง คงต้องถามกำปั้นข้าก่อนว่าจะยอมให้เจ้าหรือไม่”
ซีหยวนไห่หนานพูดอย่างอารมณ์ดีเพราะตอนนี้เจ้านกน้อยที่หลับใหลมาอย่างยาวนานได้ฟื้นคืนสติแล้ว เจิ้งซูอี้ยังไม่หลุดจากภวังค์นางพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เขาบอกภายในหัว ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่องค์ชายห้าอีกต่อไปแล้วตอนนี้เขาคือรุ่ยอ๋อง นางหลับไปเพราะบาดเจ็บหนักถึงสิบห้าวัน แล้วครอบครัวของนางล่ะ“คนในครอบครัวของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ศพพวกนั้นอีก”เจิ้งซูอี้เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบถามเขาอย่างร้อนรน นางไม่ต้องการให้ครอบครัวของนางต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้“ศพพวกนั้นได้ถูกจัดการอย่างถูกต้องจากคนของทางการ บิดามารดาและน้องชายของเจ้าก็ปลอดภัยดีพวกเขายังอยู่ที่เดิมแต่ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการตัวปัญหาของครอบครัวของเจ้าให้เจ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”จากนั้นซีหยวนไห่หน่านก็เล่าเรื่องราวหลังจากที่นางสลบไปให้ฟัง เจ้าหน้าที่ทางการเดินทางมาหมู่บ้านตระกูลสือเพื่อยืนยันศพที่นางสังหารและพบว่าพวกมันคือโจรตามใบประกาศจับที่ทางการต้องการตัวมาช้านานจากนั้นมีคนไปแจ้งเบาะแสว่าเห็นหลิวฟู่เฉิงติดต่อกับกลุ่มโจรเหล่านี้เขาจึงถูกจับตัวไป แม่เฒ่าจางเองก็ถูกจับไปข้อหารับเงินจากกลุ่มโจรเช่นกัน หลักฐานคือเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่พบในเรือนข
เงาที่ถูกยิงส่งเสียงร้อง อึก!! เพียงเท่านั้นจากนั้นจึงล้มลง เงาเหล่านั้นเมื่อเห็นพรรคพวกของตนถูกสังหารพวกมันก็ตกใจหันรีหันขวางอย่างร้อนรน จากนั้นธนูดอกที่สองสามสี่ก็ตามมา เหล่าเงาที่ต้องการเข้าไปในเรือนของนางล้มลงไปกองที่พื้นดั่งใบไม้ร่วงซีหยวนไห่หนานกับเหล่าองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อเฝ้าดูว่าเจ้านกน้อยของเขาจะจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างไร ท่าทางของเขาดูคึกคักจนออกนอกหน้าทำให้จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านหลังแอบกลอกตาให้กับความสนุกที่ไม่ดูเวลาของเจ้านาย ไม่ยอมช่วยนางแล้วยังมาแอบดูอีก หากนางรู้เข้าคงเอาธนูนั่นยิงแสกหน้านายท่านแน่นอนลูกธนูสิบดอกของนางถูกยิงออกไปจนหมด เจิ้งซูอี้ทิ้งคันธนูไปจากนั้นจึงกระโดดลงมาจากต้นอู๋ถงประจันหน้ากับเงาเหล่านั้น นางดึงมีดสั้นออกมาจากเอวจากนั้นพุ่งเข้าใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญยามวิกาลพวกนี้ ดูเหมือนว่าในเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นจะยังมีคนที่พอมีฝีมืออยู่บ้างเขาใช้ดาบใหญ่เข้าปะทะมีดสั้นของนาง ทั้งสองต่อสู้กันหลายกระบวนท่า เสียงการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่เข้านอนไปแล้วเริ่มออกจากเรือนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เจิ้งซูอี้ใช้มีดสั้นฟันแขนของชายร่างให
“คุณชายขอรับท่านกำลังหาอะไรอยู่หรือ”จื่อรุ่ยเอ่ยถามจากทางด้านหลัง ซีหยวนไห่หนานหันกลับมามองเขา จากนั้นทำนิ้วประกบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม“ข้าต้องการกล่องที่งดงามสักหน่อย ขนาดเท่านี้”จื่อรุ่ยเข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกสักพักจากนั้นกลับมาพร้อมกล่องไม้สลักลวดลายดอกไห่ถังบนฝากล่องยื่นให้ผู้เป็นนายดู“กล่องขนาดเท่านี้ได้หรือไม่ขอรับ”ซีหยวนไห่หนานรับกล่องมาดูจากนั้นนำหยกพกที่เอววางลงไป จื่อรุ่ยตกใจจนตาโตเขาไม่นึกว่าองค์ชายจะลงทุนยกหยกประจำตัวที่สลักคำว่าไห่หนานให้เป็นของขวัญแก่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา“คุณชายแน่ใจว่าจะใช้หยกนี้จริงๆ หรือขอรับ”จื่อรุ่ยถามนายเหนือหัวอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซีหยวนไห่หนานพยักหน้าจื่อรุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ช่างเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นถึงผู้ครองแคว้นยังห้ามองค์ชายห้าผู้นี้มิได้ เขาที่เป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ เท่านั้นจะทำได้อย่างไร หลิวซีฮันที่ยังยืนอยู่ในห้องมองคนนั้นทีคนนี้ทีแต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เมื่อรู้สึกเบื่อเขาจึงอุ้มเสี่ยวหลงเดินกลับเรือนไปหลังจากที่หลิวซีฮันกลับมาที่เรือนแล้ว จากนั้นไม่นานซีหยวนไห่หนานเองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน ครอบครัวของหลิวตงจ
คนสกุลหลิวต่างตกใจไม่คิดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้ อาหารการกินที่มีสำหรับพวกเขาสกุลหลิวยังแทบจะไม่พอ นี่ยังจะเพิ่มชายร่างใหญ่ผู้นี้เข้ามาอีกเห็นทีพวกเขาจะอยู่ไม่พ้นหน้าหนาวแน่“อาเฉิงหลานช่วยมาคุยกับย่าสักหน่อยได้หรือไม่”แม่เฒ่าจางเดินไปหาหลานชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะข้างกายเขามีชายร่างใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นยืนอยู่ แม่เฒ่าจางดึงแขนหลานชายเข้ามาคุยในห้องของนาง“เฉิงเอ๋อย่าไม่ว่าอะไรหรอกที่หลานจะมีผู้ติดตามเพราะอีกหน่อยหากหลานได้เป็นขุนนางในราชสำนักหลานจะมีคนติดตามมากมายแน่นอน แต่ตอนนี้ครอบครัวของเราเกรงว่าจะไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้....หลานช่วยคิดดูอีกครั้งได้หรือไม่”หลิวฟู่เฉิงนึกว่าแม่เฒ่าจางมีปัญญาหาเรื่องฟู่เถี่ยโถวที่ติดตามเขามาเสียอีกที่แท้ก็เรื่องเงิน หลิวฟู่เฉิงหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อวางไว้ด้านหน้าของนาง“นี่คือเงินหนึ่งร้อยตำลึงขอรับท่านย่า ทีนี้คงไม่มีใครมีปัญหากับการที่ฟู่เถี่ยโถวอยู่ที่นี่แล้วนะขอรับ”หลิวฟู่เฉิงพูดกับแม่เฒ่าจางทั้งยังบอกผู้ที่แอบฟังอยู่นอกห้องให้รับรู้โดยทั่วกัน แม่เฒ่าจางรีบตะครุบถุงเงินทันที นางไม่เคยจับเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต แม่เฒ่าจาง
“ฝากเจ้าไปขอบใจพี่ใหญ่แทนข้าด้วยนะ เมื่ออาเฉิงสอบได้จีว์เหรินเมื่อใดรับรองว่าตระกูลหลิวจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้แน่”นี่เป็นสิ่งที่จางเมิ่งเสวี่ยอยากได้ยิน เมื่อพี่ฟู่เฉิงสอบได้จีว์เหรินท่านปู่ก็จะมาคุยเรื่องแต่งงานของนางกับเขา ถึงแม้สองตระกูลจะรู้กันเรื่องนี้อยู่แล้วก็ตามแต่นางก็อยากประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าพี่ฟู่เฉิงเป็นของนาง แม่พวกดอกท้อที่หวังจะมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลิวจะได้เลิกล้มความคิดนั้นซะจางเมิ่งเสวี่ยอยู่คุยกับแม่เฒ่าจางสักพัก เมื่อรู้ว่าวันนี้ตนไม่สามารถพบหน้าพี่ฟู่เฉิงได้นางจึงไม่อยากอยู่ต่อ จางเมิ่งเสวี่ยขอตัวลาแม่เฒ่าจางจากนั้นจึงเดินออกจากตระกูลหลิวไป นางเดินยังไม่ถึงหน้าหมู่บ้านสายตาก็ไปสะดุดบางสิ่งเข้า ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวกำลังยืนชมบรรยากาศยามเช้าที่กำลังมีหมอกลงหนาอย่างเพลิดเพลินเมื่อก่อนนางคิดว่าหลิวฟู่เฉิงเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น หลิวฟู่เฉิงเทียบไม่ติดเลยสักนิดเดียว เหตุใดหมู่บ้านตระกูลสือถึงได้มีชายหนุ่มรูปงานเกลื่อนกลาดเช่นนี้จางเมิ่งเสวี่ยแสร้งเดินไปใกล้ชายหนุ่มผู้นั้นจากนั้นจึงแสร้งล้มลงใกล้ๆ กับที่
“นี่ท่านป้าสือท่านบอกว่าจะไปหาบ้านของชายหนุ่มมาให้ข้าเลือกไม่ใช่หรือ ผ่านไปหลายวันแล้วเหตุใดท่านยังไม่มาหาข้าสักที”หลิวตงจิ้นถามแม่สื่อแซ่สือที่ทำหน้าที่เป็นผู้หาบ้านชายหนุ่มหญิงสาวที่เหมาะสมให้แต่งงานกัน นางเป็นคนที่เชื่อถือได้ในหมู่บ้านตระกูลสือและหมู่บ้านใกล้เคียง หากถึงเวลาที่บุตรสาวหรือบุตรชายแต่งงานแล้วล่ะก็ไม่ว่าบ้านไหนก็ล้วนมาหานาง แม่สื่อสือที่อายุราวห้าสิบกว่าถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ“ไม่ใช่ว่าข้าไม่หา แต่ละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงไม่มีใครต้องการแต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเลยสักคน”หลิวตงจวิ้นขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ“ก็เรื่องที่บุตรสาวของเจ้ามีวิญญาณร้ายคอยตามติด บ้านฝ่ายชายบ้านไหนก็ไม่กล้าแต่งบุตรสาวเจ้าเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ พวกเขาบอกว่ามันเป็นลางไม่ดี”แม่สื่อสืออธิบายเสียงอ่อย“เหลวไหลทั้งเพ ท่านไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน”หลิวตงจวิ้นโพลงออกมาด้วยความโมโห จริงอยู่ที่บุตรสาวของเขาเคยฝันเห็นท่านพ่อของเขา แต่ท่านพ่อหาใช่วิญญาณร้ายอย่างที่พวกเขาลือกัน“จะที่ไหนซะอีกก็ทุกที่ที่ข้าไปน่ะสิ เรื่องของลูกสาวเจ้าเล่าลือกันไปหลายหมู่บ้านแล้วไม่รู้หรือ เห็นทีครั้งนี้ข้าคงจะช่วยเหลือเจ้







