ログインเจิ้งซูอี้ให้หลิวซีฮันนั่งเฝ้าตะกร้าเอาไว้จากนั้นนางจึงไปยืนบนโขดหินข้างลำธารที่ห่างออกมา ทุกอย่างเงียบสงบมีเพียงเสียงน้ำไหลและสายลมพัดเอื่อยๆ เจิ้งซูอี้หลับตาทำสมาธิสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบข้าง นางไม่รู้ว่าวรยุทธของนางจะยังใช้ได้กับร่างของหลิวอันอันหรือไม่
เมื่อเจิ้งซูอี้ลืมตาขึ้นนางซัดไม้ไผ่ลงไปในน้ำเต็มแรง จากนั้นดึงมันขึ้นมา ปลาเฉ่ายวี (ปลาจีน) ตัวใหญ่ก็ดิ้นไปมาอยู่ในซีกไม้ไผ่ของนาง หลิวซีฮันตบมือเสียงดังด้วยความดีใจชาวบ้านแถวนี้อยากจะกินปลานั้นช่างยากนักเพราะมันว่ายน้ำรวดเร็วหากไม่ใช่คนที่มีฝีมือจริงไหนเลยจะจับมันมาทำอาหารได้ เจิ้งซูอี้โยนมันไปให้หลิวซีฮันที่นั่งรออยู่บนฝั่ง
เมื่อนางจับปลาได้หกเจ็ดตัวเจิ้งซูอี้จึงหยุดมือแล้วพาหลิวซีฮันเดินขึ้นเขาเก็บผักป่าเพื่อไปทำอาหารให้ท่านแม่ที่กำลังบาดเจ็บของพวกเขา
“ท่านพี่ท่านเก่งมากเลย”
หลิวซีฮันใช้ขาสั้นๆ เดินตามหลังนางพลางส่งเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนนกกระจิบ เจิ้งซูอี้เดินช้าลงเพื่อให้หลิวซีฮันตามทัน เขาอายุห้าขวบแล้วเป็นช่วงอายุที่กำลังดีในการฝึกวรยุทธ
ตอนที่นางเริ่มฝึกกับท่านปู่นางพึ่งจะแค่สามขวบเท่านั้น เจิ้งซูอี้วางแผนฝึกเด็กน้อยน้องชายของหลิวอันอันให้เก่งกาจเพื่อที่เขาจะได้สามารถปกป้องครอบครัวนี้ได้ เพราะบางทีในอนาคตนางอาจจะออกไปจากที่นี่ เมื่อนางไม่อยู่นางจะได้วางใจฝากเขาเอาไว้ได้
เจิ้งซูอี้พาหลิวซีฮันเดินเข้าไปในภูเขาจนกระทั่งมองไม่เห็นร่องรอยของชาวบ้านที่เข้ามาหาของป่า ถึงแม้จะเดินมานานแทบไม่ได้หยุดพักแต่หลิวซีฮันที่เดินตามนางมากลับไม่บ่นสักคำ เขาค่อนข้างจะมีความอดทนนางชอบส่วนนั้นของเขา เด็กคนนี้เป็นต้นกล้าที่ดีในการฝึกวรยุทธ
เจิ้งซูอี้สอนหลิวซีฮันขุดหลุมทำกับดักจับสัตว์ป่า นางใช้ปลาที่จับมาได้ส่วนหนึ่งเป็นเหยื่อจากนั้นปิดปากหลุมด้วยใบไม้และใช้ดินกลบเล็กน้อย ทั้งสองเดินห่างออกมาจากตรงนั้นแล้วปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อรอดูผลงาน
ผ่านไปราวสองชั่วยามที่พวกเขานั่งอยู่บนต้นไม้ เสียงเดินของหมูป่าตัวเขื่องที่ใช้จมูกดมๆ เดินตามกลิ่นมาเมื่อถึงหลุมที่เจิ้งซูอี้และหลิวซีฮันขุดเอาไว้มันจึงตกลงไป เสียงร้องแหลมเสียดแก้วหูของเจ้าหมูป่าเพราะตกใจจนหลิวซีฮันต้องยกมือขึ้นมาปิดหูไว้ เจิ้งซูอี้ไม่รอช้านางกระโดดเพียงครั้งเดียวก็ลงมาจากต้นไม้ได้
จากนั้นจึงวิ่งตรงไปที่หมูป่าชะตาขาดตัวนั้น มันพยายามดิ้นรนเพื่อขึ้นจากหลุมกับดัก นางใช้ไม้ปลายแหลมที่เหลาเตรียมเอาไว้แทงไปที่คอของหมูป่าทันที หลุมที่ขุดเอาไว้ไม่ลึกมากนางจึงต้องรีบเร่งเช่นนี้เพราะกลัวว่ามันจะหนีไปได้ เสียงเขาเจ้าหมูป่าเงียบไปเจิ้งซูอี้จึงกลับไปรับหลิวซีฮันลงมาจากต้นไม้ จากนั้นสองพี่น้องจึงช่วยกันลากหมูป่ากลับไปที่เรือนของตน
เจิ้งซูอี้และหลิวซีฮันกลับมาถึงเรือนของพวกเขาก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ทั้งสองคนใช้กำลังทั้งหมดไปกับการลากหมูป่ากลับมาที่เรือน เมื่อมาถึงหน้าเรือนเจิ้งซูอี้และหลิวซีฮันจึงหมดแรงล้มตัวนอนที่หน้าเรือนไม่ขยับไปไหน
หลิวตงจวิ้นได้ยินเสียงจึงออกไปดูเมื่อเห็นบุตรสาวและบุตรชายนอนอยู่หน้าเรือนตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและมีหมูป่าตัวใหญ่กว่าพวกเขาสองคนรวมกันนอนตายอยู่ก็ตกใจคิดว่าเด็กๆ ถูกเจ้าหมูป่าทำร้ายจนเลือดอาบ
“เกิดอะไรขึ้นเด็กๆ พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ”
หลิวตงจวิ้นจับบุตรชายและบุตรสาวพลิกดูทีละคนเพื่อหาบาดแผล ทั้งสองคนหมดแรงจนไม่สามารถขัดขืนการกระทำของท่านพ่อได้แล้ว เจิ้งซูอี้โบกมือปฏิเสธ
“ท่านพ่อพวกเราไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ เลือดพวกนี้เป็นของหมูป่าท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
จากนั้นนางจึงดันตะกร้าที่ใส่ปลาเอาไว้หลายตัวมาตรงหน้าหลิวตงจวิ้น
“ท่านรับไม้ต่อทีตอนนี้ข้าเหนื่อยมาก ไปเถอะซีฮันไปอาบน้ำกัน”
กล่าวจบสองพี่น้องก็ลากร่างอันเหนื่อยล้าเดินเข้าเรือนไปทิ้งให้หลิวตงจวิ้นมองตามหลังพวกเขาไปอย่างมึนงง หลิวตงจวิ้นมองไปที่หมูป่าที่นอนตายอยู่หน้าเรือนอย่างจนใจ เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับมันดี จึงไปตามสหายของเขาสองสามคนให้มาช่วยชำแหละเนื้อหมู่ป่าที่เรือน
“อาจวิ้นข้าดีใจกับเจ้านัก พวกเราเข้าป่าล่าสัตว์มาด้วยกันหลายปีเพียงนี้แต่กลับจับหมูป่าไม่เคยได้เลย เจ้านี่ช่างเก่งกาจจริงๆ หลังจากที่ตัดขาดกับสกุลหลิวแล้วดูเหมือนว่าดวงของเจ้าจะดีขึ้นด้วยนะ”
อู๋เซียนเว่ยสหายสนิทของหลิวตงจวิ้นเอ่ยเย้า หลิวตงจวิ้นได้แต่พยักหน้ายิ้มรับแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เขาจะบอกสหายเหล่านี้ได้อย่างไรว่าหมูป่าตัวนี้บุตรสาวและบุตรชายทั้งสองเป็นคนลากลงมาจากภูเขา หากว่าบอกไปชาวบ้านได้มองพวกเขาเป็นตัวประหลาดแน่ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับคนในครอบครัวเขาจะรับเอาไว้เองทั้งหมด
แล้วข่าวลือเรื่องที่หลิวตงจวิ้นจับหมูป่าได้ก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน มีคนมาเยือนที่เรือนของเขาไม่ขาดสายเพื่อให้เขาช่วยขายเนื้อหมูป่าในราคาที่ถูกกว่าตลาดให้พวกตน หลิวตงจวิ้นแบ่งเนื้อหมูป่าให้สหายที่มาช่วยชำแหละไปบางส่วน เขาเก็บเอาไว้กินเพียงเล็กน้อยจากนั้นจึงขายทั้งหมดไป เจิ้งซูอี้ไม่สนใจว่าหลิวตงจวิ้นจะทำอย่างไรกับเนื้อหมูป่าเหล่านั้น วันนี้นางเหนื่อยมากแม้แต่อาหารเย็นนางก็ไม่ลุกขึ้นมาทาน ทั้งนางและหลิวซีฮันหลับยาวไปจนถึงเช้าของอีกวัน
แม่เฒ่าจางเมื่อรู้ว่าหลิวตงจวิ้นจับหมูป่าได้ก็ตีอกชกตัวด้วยความโมโห ความจริงถ้าหากยังไม่ตัดขาดกันเนื้อหมูทั้งหมดต้องเป็นของบ้านหลิวของนาง เป็นเพราะเจ้าเด็กขี้ขโมยคนนั้นแท้ๆ ที่ทำให้เรื่องมันบานปลายเช่นนี้
“ท่านแม่ข้าอยากกินเนื้อ”
หลิวลี่จูและหลิวลี่หมิงบุตรชายและบุตรสาวฝาแฝดอายุหกขวบของหลิวเฟยหลงบุตรชายคนเล็กของแม่เฒ่าจาง ร้องไห้ออกมาระหว่างที่กำลังทานอาหารเช้า เนื้อทั้งหมดของแม่เฒ่าจางนางเก็บเอาไว้ให้หลิวฟู่เฉิงหลานชายคนโปรดเท่านั้นคนในเรือนคนอื่นไม่มีสิทธิ์กินแม้แต่ตัวนางเอง
เวลาทานอาหารหลิวฟู่เฉิงจะทานในห้องส่วนตัวของเขาไม่ทานรวมกับคนอื่น เขาให้เหตุผลว่าตนจะต้องอ่านตำราไม่อยากให้ใครมารบกวนเพื่อที่ปีหน้าเขาจะได้สอบจีว์เหรินให้ได้ ทุกคนต่างคาดหวังในตัวเขาจึงได้ตามใจและให้ทุกอย่างที่เขาต้องการ
ซีหยวนไห่หนานพูดอย่างอารมณ์ดีเพราะตอนนี้เจ้านกน้อยที่หลับใหลมาอย่างยาวนานได้ฟื้นคืนสติแล้ว เจิ้งซูอี้ยังไม่หลุดจากภวังค์นางพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เขาบอกภายในหัว ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่องค์ชายห้าอีกต่อไปแล้วตอนนี้เขาคือรุ่ยอ๋อง นางหลับไปเพราะบาดเจ็บหนักถึงสิบห้าวัน แล้วครอบครัวของนางล่ะ“คนในครอบครัวของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ศพพวกนั้นอีก”เจิ้งซูอี้เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบถามเขาอย่างร้อนรน นางไม่ต้องการให้ครอบครัวของนางต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้“ศพพวกนั้นได้ถูกจัดการอย่างถูกต้องจากคนของทางการ บิดามารดาและน้องชายของเจ้าก็ปลอดภัยดีพวกเขายังอยู่ที่เดิมแต่ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการตัวปัญหาของครอบครัวของเจ้าให้เจ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”จากนั้นซีหยวนไห่หน่านก็เล่าเรื่องราวหลังจากที่นางสลบไปให้ฟัง เจ้าหน้าที่ทางการเดินทางมาหมู่บ้านตระกูลสือเพื่อยืนยันศพที่นางสังหารและพบว่าพวกมันคือโจรตามใบประกาศจับที่ทางการต้องการตัวมาช้านานจากนั้นมีคนไปแจ้งเบาะแสว่าเห็นหลิวฟู่เฉิงติดต่อกับกลุ่มโจรเหล่านี้เขาจึงถูกจับตัวไป แม่เฒ่าจางเองก็ถูกจับไปข้อหารับเงินจากกลุ่มโจรเช่นกัน หลักฐานคือเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่พบในเรือนข
เงาที่ถูกยิงส่งเสียงร้อง อึก!! เพียงเท่านั้นจากนั้นจึงล้มลง เงาเหล่านั้นเมื่อเห็นพรรคพวกของตนถูกสังหารพวกมันก็ตกใจหันรีหันขวางอย่างร้อนรน จากนั้นธนูดอกที่สองสามสี่ก็ตามมา เหล่าเงาที่ต้องการเข้าไปในเรือนของนางล้มลงไปกองที่พื้นดั่งใบไม้ร่วงซีหยวนไห่หนานกับเหล่าองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อเฝ้าดูว่าเจ้านกน้อยของเขาจะจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างไร ท่าทางของเขาดูคึกคักจนออกนอกหน้าทำให้จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านหลังแอบกลอกตาให้กับความสนุกที่ไม่ดูเวลาของเจ้านาย ไม่ยอมช่วยนางแล้วยังมาแอบดูอีก หากนางรู้เข้าคงเอาธนูนั่นยิงแสกหน้านายท่านแน่นอนลูกธนูสิบดอกของนางถูกยิงออกไปจนหมด เจิ้งซูอี้ทิ้งคันธนูไปจากนั้นจึงกระโดดลงมาจากต้นอู๋ถงประจันหน้ากับเงาเหล่านั้น นางดึงมีดสั้นออกมาจากเอวจากนั้นพุ่งเข้าใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญยามวิกาลพวกนี้ ดูเหมือนว่าในเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นจะยังมีคนที่พอมีฝีมืออยู่บ้างเขาใช้ดาบใหญ่เข้าปะทะมีดสั้นของนาง ทั้งสองต่อสู้กันหลายกระบวนท่า เสียงการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่เข้านอนไปแล้วเริ่มออกจากเรือนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เจิ้งซูอี้ใช้มีดสั้นฟันแขนของชายร่างให
“คุณชายขอรับท่านกำลังหาอะไรอยู่หรือ”จื่อรุ่ยเอ่ยถามจากทางด้านหลัง ซีหยวนไห่หนานหันกลับมามองเขา จากนั้นทำนิ้วประกบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม“ข้าต้องการกล่องที่งดงามสักหน่อย ขนาดเท่านี้”จื่อรุ่ยเข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกสักพักจากนั้นกลับมาพร้อมกล่องไม้สลักลวดลายดอกไห่ถังบนฝากล่องยื่นให้ผู้เป็นนายดู“กล่องขนาดเท่านี้ได้หรือไม่ขอรับ”ซีหยวนไห่หนานรับกล่องมาดูจากนั้นนำหยกพกที่เอววางลงไป จื่อรุ่ยตกใจจนตาโตเขาไม่นึกว่าองค์ชายจะลงทุนยกหยกประจำตัวที่สลักคำว่าไห่หนานให้เป็นของขวัญแก่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา“คุณชายแน่ใจว่าจะใช้หยกนี้จริงๆ หรือขอรับ”จื่อรุ่ยถามนายเหนือหัวอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซีหยวนไห่หนานพยักหน้าจื่อรุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ช่างเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นถึงผู้ครองแคว้นยังห้ามองค์ชายห้าผู้นี้มิได้ เขาที่เป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ เท่านั้นจะทำได้อย่างไร หลิวซีฮันที่ยังยืนอยู่ในห้องมองคนนั้นทีคนนี้ทีแต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เมื่อรู้สึกเบื่อเขาจึงอุ้มเสี่ยวหลงเดินกลับเรือนไปหลังจากที่หลิวซีฮันกลับมาที่เรือนแล้ว จากนั้นไม่นานซีหยวนไห่หนานเองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน ครอบครัวของหลิวตงจ
คนสกุลหลิวต่างตกใจไม่คิดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้ อาหารการกินที่มีสำหรับพวกเขาสกุลหลิวยังแทบจะไม่พอ นี่ยังจะเพิ่มชายร่างใหญ่ผู้นี้เข้ามาอีกเห็นทีพวกเขาจะอยู่ไม่พ้นหน้าหนาวแน่“อาเฉิงหลานช่วยมาคุยกับย่าสักหน่อยได้หรือไม่”แม่เฒ่าจางเดินไปหาหลานชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะข้างกายเขามีชายร่างใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นยืนอยู่ แม่เฒ่าจางดึงแขนหลานชายเข้ามาคุยในห้องของนาง“เฉิงเอ๋อย่าไม่ว่าอะไรหรอกที่หลานจะมีผู้ติดตามเพราะอีกหน่อยหากหลานได้เป็นขุนนางในราชสำนักหลานจะมีคนติดตามมากมายแน่นอน แต่ตอนนี้ครอบครัวของเราเกรงว่าจะไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้....หลานช่วยคิดดูอีกครั้งได้หรือไม่”หลิวฟู่เฉิงนึกว่าแม่เฒ่าจางมีปัญญาหาเรื่องฟู่เถี่ยโถวที่ติดตามเขามาเสียอีกที่แท้ก็เรื่องเงิน หลิวฟู่เฉิงหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อวางไว้ด้านหน้าของนาง“นี่คือเงินหนึ่งร้อยตำลึงขอรับท่านย่า ทีนี้คงไม่มีใครมีปัญหากับการที่ฟู่เถี่ยโถวอยู่ที่นี่แล้วนะขอรับ”หลิวฟู่เฉิงพูดกับแม่เฒ่าจางทั้งยังบอกผู้ที่แอบฟังอยู่นอกห้องให้รับรู้โดยทั่วกัน แม่เฒ่าจางรีบตะครุบถุงเงินทันที นางไม่เคยจับเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต แม่เฒ่าจาง
“ฝากเจ้าไปขอบใจพี่ใหญ่แทนข้าด้วยนะ เมื่ออาเฉิงสอบได้จีว์เหรินเมื่อใดรับรองว่าตระกูลหลิวจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้แน่”นี่เป็นสิ่งที่จางเมิ่งเสวี่ยอยากได้ยิน เมื่อพี่ฟู่เฉิงสอบได้จีว์เหรินท่านปู่ก็จะมาคุยเรื่องแต่งงานของนางกับเขา ถึงแม้สองตระกูลจะรู้กันเรื่องนี้อยู่แล้วก็ตามแต่นางก็อยากประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าพี่ฟู่เฉิงเป็นของนาง แม่พวกดอกท้อที่หวังจะมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลิวจะได้เลิกล้มความคิดนั้นซะจางเมิ่งเสวี่ยอยู่คุยกับแม่เฒ่าจางสักพัก เมื่อรู้ว่าวันนี้ตนไม่สามารถพบหน้าพี่ฟู่เฉิงได้นางจึงไม่อยากอยู่ต่อ จางเมิ่งเสวี่ยขอตัวลาแม่เฒ่าจางจากนั้นจึงเดินออกจากตระกูลหลิวไป นางเดินยังไม่ถึงหน้าหมู่บ้านสายตาก็ไปสะดุดบางสิ่งเข้า ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวกำลังยืนชมบรรยากาศยามเช้าที่กำลังมีหมอกลงหนาอย่างเพลิดเพลินเมื่อก่อนนางคิดว่าหลิวฟู่เฉิงเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น หลิวฟู่เฉิงเทียบไม่ติดเลยสักนิดเดียว เหตุใดหมู่บ้านตระกูลสือถึงได้มีชายหนุ่มรูปงานเกลื่อนกลาดเช่นนี้จางเมิ่งเสวี่ยแสร้งเดินไปใกล้ชายหนุ่มผู้นั้นจากนั้นจึงแสร้งล้มลงใกล้ๆ กับที่
“นี่ท่านป้าสือท่านบอกว่าจะไปหาบ้านของชายหนุ่มมาให้ข้าเลือกไม่ใช่หรือ ผ่านไปหลายวันแล้วเหตุใดท่านยังไม่มาหาข้าสักที”หลิวตงจิ้นถามแม่สื่อแซ่สือที่ทำหน้าที่เป็นผู้หาบ้านชายหนุ่มหญิงสาวที่เหมาะสมให้แต่งงานกัน นางเป็นคนที่เชื่อถือได้ในหมู่บ้านตระกูลสือและหมู่บ้านใกล้เคียง หากถึงเวลาที่บุตรสาวหรือบุตรชายแต่งงานแล้วล่ะก็ไม่ว่าบ้านไหนก็ล้วนมาหานาง แม่สื่อสือที่อายุราวห้าสิบกว่าถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ“ไม่ใช่ว่าข้าไม่หา แต่ละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงไม่มีใครต้องการแต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเลยสักคน”หลิวตงจวิ้นขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ“ก็เรื่องที่บุตรสาวของเจ้ามีวิญญาณร้ายคอยตามติด บ้านฝ่ายชายบ้านไหนก็ไม่กล้าแต่งบุตรสาวเจ้าเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ พวกเขาบอกว่ามันเป็นลางไม่ดี”แม่สื่อสืออธิบายเสียงอ่อย“เหลวไหลทั้งเพ ท่านไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน”หลิวตงจวิ้นโพลงออกมาด้วยความโมโห จริงอยู่ที่บุตรสาวของเขาเคยฝันเห็นท่านพ่อของเขา แต่ท่านพ่อหาใช่วิญญาณร้ายอย่างที่พวกเขาลือกัน“จะที่ไหนซะอีกก็ทุกที่ที่ข้าไปน่ะสิ เรื่องของลูกสาวเจ้าเล่าลือกันไปหลายหมู่บ้านแล้วไม่รู้หรือ เห็นทีครั้งนี้ข้าคงจะช่วยเหลือเจ้







